B.
@blueasphodel.bsky.social
16 followers 57 following 2.7K posts
Ben Affleck/Genshin Impact/Starrail
Posts Media Videos Starter Packs
ดั๊กได้โอกาสเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกะลาสีแต่รัดผ้าประจำตัวสะพายบ่า เขาสนอกสนใจไปยังหาดทรายมากกว่าเมืองน้อยๆ ความว่างเปล่านั้นชวนใจหายแต่เม็ดทรายกลมไม่เจ็บเมื่อเอนกายนอนพอจะทำให้หวังจะพบพวกเซลกีแถบนี้ เกาะแห่งนี้เป็นจุดแวะพักของชาวเรือก่อนมีการตั้งถิ่นฐาน ไม่มีชาติพันธุ์เฉพาะที่นี่ "มีคนเทียวมาเทียวไปมากกว่าที่คิดหนา"
ดั๊กหยุดหัวเราะไม่ได้ที่สองคนงอนเป็นช้อนหอยไม่ยอมสบตาตนที่ต้องใช้ตะเกียงฉายแสงไล่หมอกมรณะออกไป เจ้าตัวเชิญแสงไฟลงเมื่อเห็นเมืองน้อยๆ สีสันไม่จัดจ้านท่ามกลางแมกไม้กำลังก่อร่างสร้างตัว หันไปหาคนรักพลางชี้ไปยังทิศที่มีแสงพร่า "เราทำสำเร็จแล้ว"
"มีแต่เจ้านั่นล่ะที่คิดไปไกล" ดั๊กหรี่ตาใส่ขณะประคองตะเกียงตนเองขึ้นไปยังเสานำทางตามเดิม ทิศหนึ่งหมอกเริ่มจางและเห็นสีสันอื่นนอกจากฟ้าน้ำทะเล เมื่อสองคนยังบ่นงึมงำเถียงจึงต้องตีต้นแขนดังเพี้ยะ
"เอ๊ะ... คงไม่ได้... เอ่อ เอาเถิด ข้าเห็นเจ้าตาลอยจนเกือบโดนนางจับได้จนต้องคว้าดาบมาไล่" ดั๊กผ่อนลมหายใจเป็นปกติแล้วใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดมาเช็ดตัวคนรัก "เจ้าม้าผียังวนเวียน อย่าให้กลิ่นน้ำทะเลติดหนา" ยื่นผ้าให้ก่อนเทน้ำสะอาดในถังรดตัวเองเพื่อล้างเลือดและรอยเกลือทะเล ชุดทูตศั​ก​ดิ์สิทธิ์แทบจะเปลี่ยนเป็นชุดปีศาจลองใจผู้มีจิตหมกหมุ่นในน้ำถังเดียว
ทูตศักดิ์สิทธิ์เป็นเงือกจึงทนทานต่อเสียงไซเรนชวนสยองพองเกล้าได้ เขายื้อยุดกับคนรักไม่ให้หันหัวเรือตามคำเชื้อเชิญจนแขนล้า แต่เมื่อสองคนจู่ๆ เคาะสันกริชและเดินเข้าไปเก็บตัวเช่นเดียวกับลูกเรือส่วนใหญ่จึงสะดวกจะใช้พลังไฟชำระแสงขาวตัดหมอกจนเปลี่ยนเป็นสีมรกต ส่วนอีกมือก็ใช้ดาบฟันคอเจ้าไซเรนต้นเรื่อง ไอน้ำบริสุทธิ์รอบเรือยังช่วยกันม้าโรคระบาดได้ชั่วคราว "อีกนิดฟ้าก็เปิด ทนไว้หนา..."
ลมอ่อนโยนพัดเบาๆ ในห้องดับความร้อนในอกและดลใจให้ทั้งสองอดทนจนกว่าคลื่นประหลาดที่ซัดเรือเท่าใดก็ไม่โคลงจนคว่ำนี้สงบลง ดั๊กที่ยืนหน้าประตูมีน้ำโหและพยายามทุบประตู ขณะเอ่ยคำหวานไปพลาง เวลาผ่านไปยาวนานจนกระทั่งมีดาบแทงเข้ากลางอก หัวหญิงสาวมีปีกคอตกร่วงลง ผู้ถืออาวุธยกประทีบสูงเพื่อดูให้แน่ก่อนเอากุญแจที่เกี่ยวออก "แฮ่กๆ... บ้าจริง... ญาติลาสเซนประหลาดชะมัด..."
"*ยอดรัก ไยเจ้าล็อคห้องกัปตัน_เสียแล้ว'* ดั๊กยืนเคาะประตูไม้อย่างใจเย็น ส่งสายตาออดอ้อนให้คนรักสองผู้นี้ช่วยสะเดาะกลอนที่เคยเปิดกว้างดังเดิม "ยอดรัก#ข้าหนาวเหลือเกิน&-_ลมเย็นนัก*" แม้จะไม่ได้ไขกุญแจลงกลอนแต่มือของทูตนั้นเงอะงะจนไม่สามารถถอดแม่กุญแจที่คล้องคร่าวๆ ได้ คลื่นสีมรกตซัดใส่ลำเรือจนโคลงแต่ทุกคนบนเรือยืนได้สบายเว้นดั๊กที่ตื่นตกใจ
'แค่กๆ คงเพราะหมอกนั่นหนา... อย่าเป็นกังวลเลยยอดรัก" ดั๊กส่ายหัวไม่ให้ใส่ใจตนเอง *ข้าคิดว่าการย้อนเส้นทางน่าจะกลับไปยังเกาะมนุษยล์ได้ดีกว่า'​ เจ้าตัวเอ่ยอย่างขอไปที ประสานสายตากับเจ้าผู้ครองพลังสมุทรมากล้นไว้ไม่วางตา เรือโคลงเคลงราวว่ามีคลื่นสีเขียวมรกตเขย่าซ้ายขวา แต่ไม่มีเสียงแตกตื่นใดๆ บนลำเรือ ลูกเรือประจำที่ ยืนสงบนิ่งไม่หวั่นคลื่นแรง
'เราไม่ลองหันไปทิศที่มาดูหรือ อาจจะโดนน้ำพัดจนหัวเรือเฉก็ได้'​ ดั๊กกอดเรว์จากด้านหลังเพราะอาจเป็นอากาศที่เย็นลง ออดอ้อนซบบ่า มือจับพังงาเล่นไปพลาง หัวเรือมืดลงราวว่าตะวันหมดแสงสิ้น "แย่ล่ะ' มองซ้ายขวารอบๆ '​'​มืดแบบนี้ไม่ไหวแล้วกระมัง" ไอโขลกๆ และกระแอมไล่เสียงพร่าที่อาจอ้างได้ว่าเพราะอากาศ
"หมอกหนาเช่นนี้ถ้าไม่ต้องทิศให้ถูกก็ยิ่งหลงทาง' ดั๊กเอ่ยพลางขยับตัวมาใกล้ นาบมือรวมกับชายที่กำลังคุมพังงากำหนดทิศเป็นหัวเรือหลัก ลูบหลังเบาๆ ให้ใจเย็นลงแม้นหมอกจะเริ่มหนาขึ้นเช่นอากาศ "เจ้าว่าเราอยู่ตรงไหนของแผนที่หนา'​ ละจากหลังมาชี้ยังแผนที่ใกล้เคียง
"หยุดกำหนดทิศทางเป็นไร แม้นหมอกจะหนาจนดูทางลำบาก แต่ข้าคิดว่าเจ้ายืนมาครึ่งวันแล้วหนา" ดั๊กเดินมานวดบ่าแฝดคนกลางที่ใช้กลางคุมพังงามานานเกินมนุษย์
อดีตทูตเปลวเพลิงยังคงนั่งมองไปข้างหน้า ยิ้มรับเสื้อคลุมขนสัตว์ที่มาทาบคลุมบนบ่า กระนั้นก็ปฏิเสธจะเปลี่ยนเป็นชุดกะลาสีเนื้อหนาเพราะต้องการร่ายพรแก่เรือลำนี้จนถึงปลายทาง ได้ยินเสียงม้าร้องแหลมแสบหูแว่วมา ไม่ใช่เสียงเจ้าม้าพยศในอาณัติของจ้าวเวทย์มนตร์ "... แถวนี้มีนัคเคลาวีด้วยหรือ..." เงือกหนุ่มหดคอไม่ชอบใจเจ้าตัวประหลาดครึ่งม้าที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคที่ตนเคยอ่านเจอ
ครั้งนี้ดั๊กไม่นำตะเกียงลงจากเสาใกล้พังงา เรือของพวกเขาล่องผ่านหมอกและคลื่นไปได้อย่างสงบแม้นต้นหนจะรายงานด้วยท่าทีประหลาดใจว่าด้านนอกนั้นลมแรง "ดูเหมือนจะมีบททดสอบเสมอสำหรับผู้ถือครองมงกุฎ" พักเอวบนชานหัวเรือ ฝากคำถามไปยังสองกัปตันที่ตั้งใจควบคุมเรือเป็นพิเศษ
ดั๊กลดระดับตนเองจนประสานตากับหลานตัวน้อย เธอยื่นเกล็ดหางของตัวเองให้เพื่อเป็นเครื่องรางคุ้มครอง เขารับมาพร้อมสัญญาว่าจะรีบนำมาคืน สร้อยแสนสั้นเป็นกำไลเคียงสังวาลย์ล้อมตน ตะเกียงยกขึ้นสูงไปยังทิศที่ตั้งใจ หมอกหนาเหนือธรรมชาติบางลงเมื่อทูตไฟเริ่มร่ายคาถาคุ้มครอง พวกเขาไม่สามารถเหยียบน้ำจึงต้องกลบร่องรอยให้แน่นอน เมื่อสร้างเส้นทางได้ จึงเริ่มอพยพได้
ดั๊กทำตามเสียงเชียร์ด้านหลังแต่นำผ้าหมาดมาซับเหงื่อให้ "ข้าต้องทำพิธีเปิดทะเลกับเจ้าเพื่อพรางร่องรอยเดินทางมิใช่หรือ หากเจ้าเตรียมการเสร็จดี ข้าค่อยให้รางวัล" เสียงโห่ตามหลังเรียกหัวเราะเหมือนเด็กน้อยช่างแกล้งจากทูตศักดิ์สิทธิ์แสนสง่างาม
ดั๊กกระแอมเบาๆ เรียกคนรักที่ทำงานเหงื่อโชกแต่เช้าจึงปฏิเสธไม่ให้กอดแม้จะทำหน้าตาน่าสงสารอย่างไรก็ตาม ซ้ำยังบีบจมูกรั้นด้วย "ดูหน้าฟิลิปส์แล้ว คงรีบปลุกมาตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันเลยซีหนา"
#ตอนแรกไม่คิด #ตอนนี้ชักน่าสนใจ55555
"เฮ้อ...นิสัยแบบนี้จะเลิกเมื่อไหร่นะ" ดั๊กยู่ปากเมื่ออีกฝ่ายชอบล่วงหน้าไปเตรียมพร้อมโดยไม่ทิ้งร่องรอยหรือกระดาษโน้ตไว้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่พอคิดว่าตนแค่ลุกสมทบก็น่าน้อยใจอยู่ หยิบขวดน้ำมากระดกแล้วรีบลุกไปผลัดผ้าพิธีการให้พร้อม เดินไปที่ท่าเรือที่มีเสียงดังโครมคราม
"ดูซี ว่าที่สามีข้าไม่ช่วยลบข้อครหา ซ้ำยังว่าร้ายข้าอีก โอ้ โพไซดอน บุตรชายช่างน่าอดสู อื้ม! จั๊กจี้ ไปโกนหนวดเลยเชียว" ดั๊กหดคอหลบเจ้าแฝดสองที่ทำตัวไม่สมอายุ หลังหัวเราะกันครืนใหญ่ก็ได้เวลาพักผ่อน มองตามแฝดพี่ที่ขอเวลาไปกำชับองครักษ์ให้ดูแลแฝดคนเล็กให้ดี นึกไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเทพสมุทรไม่ถูกใจการถวายตนในคราวนี้
ดั๊กกลอกตาเมื่อเจอน้องเขยฉบับดั้งเดิม ตนยอมปล่อยไปเพราะเห็นว่าวันนี้เป็นวันดี เมื่อครู่แดเนียลให้เก็บความลับเรื่องเวทย์มนตร์ลับที่ทำให้เจ้าตัวขยับได้คล่องแคล่วสองสามวัน หากพลาดอาจหมายถึงชีวิตหรือจำศีลไปอีกร้อยปี อาจไม่ต่างจากการตายทั้งเป็นและเฝ้าดูชีวิตผ่านกระจก
"...พวกข้าวางแผนไว้แล้ว หวังให้เป็นตามนั้น พี่เจ้าเครียดจนผมขาวแล้ว" ดั๊กเอ่ยแซวขณะรินไวน์ให้แฝดคนกลางที่โอบเอวตนอยู่
"ข้าจะเดินไปหยิบแก้วมาให้ และแชมเปญ... ทำไมเล่า ข้าเห็นแต่ชัยชนะที่จะมาถึง" ดั๊กเอ่ยอย่างมั่นใจ ตบบ่าคนรักให้มานั่งบนโขดหินข้างน้องชาย วิ่งปรี่ไปเอาข้าวของในเรือนใกล้เคียง อาสาช่วยรินไวน์ให้แม้ตนจะดื่มเพียงน้ำแร่ขวดน้อยก็ตาม
การในเร็ววันนั้นตกใจ พยายามโน้มน้าวด้วยแผนการอพยพ สิ่งที่ผู้ครองหัวใจเปราะบางต้องการนั้นคือการคุ้มครองบ้านเกิดจนกว่าจะฝังลงในประวัติศาสตร์อย่างแน่แท้ ดั๊กถอนหายใจและอวยชัยให้ คนเป็นพี่ยิ้มรับและขอไข่มุกน้ำตาเม็ดหนึ่งมาเป็นเครื่องแทนกำลังใจ เมื่อร่ำลาเสร็จดีจึงเรียกคนรักมาจูบแนบแน่นก่อนกลับลงทะเล "วาฬตนนั้นกำลังตั้งครรภ์ ข้าเชื่อว่าจะเป็นเข้ากันดีกับลูกเรา ไว้ไปหาด้วยกันหนา"
แดเนียลหัวเราะในคอเมื่อรู้สึกถึงแรงอันแผ่วเบาผ่านการหยิกเตือน จึงจับมือที่เพิ่งปองร้ายตนมาจูบเบาๆ สัมผัสเย็นจากริมฝีปากตนคงร้อนเสียจนอีกคนยกมือหนี เขายืดหลังตรงเมื่อเห็นแสงจากตะเกียงแสนคุ้นตา เจ้าของก็วิ่งกระหืดกระหอบมาชวนสงสาร "ขอข้าคุยกับน้องรักแสนรู้สักครู่" เงือกสีเงินแทบล้มเมื่อดั๊กพุ่งเข้าหาเพื่อกอดเต็มรัก ตนใช้โอกาสนี้เล่าภารกิจที่ตั้งใจและคำสัญญาต่อคนรัก ส่วนทูตศักดิ์สิทธิ์ที่มีแผน
"เช่นนั้นข้าจะถูกนับเป็นหญิงหม่ายหรือชู้รักที่เจ้าแอบซ่อนจนมีลูกน้อยดีเล่า" แดเนียลยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อหยอกล้อชายผู้ขึ้นชื่อว่าถือตนซื่อตรงราวบาทหลวงผู้ถวายชีวิตแก่คู่สมรสและพระผู้มีพระภาคเจ้า ยกมือขึ้นอ่านอักขระประทับบนหน้าแหวนขณะฟังอีกฝ่ายหายใจสะดุดที่ตนหยอกแรงไป
"ข้าขอยืมแหวนเจ้าได้ไหม" แดเนียลจูบขมับคนข้างกายอย่างอ่อนโยนและชี้ไปยังมือที่กอดเอวตนอยู่ และยื่นมือซ้ายให้ "เอามาคืนแน่นอน ข้าให้คำสัตย์"