d - าร์
@drblawkt.bsky.social
23 followers
75 following
140 posts
ปีใหม่ 19 ↑ " การคิด และลองทำ แล้วพลาดหน่ะ มีความหมายนะ " multifandom 🔎dcmk ( shinran ⭐️ , akam 🥃 ) 🏐haikyuu etc. | danmei | OC
Posts
Media
Videos
Starter Packs
Pinned
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
ฟ้าหนาว
@fahnaow.bsky.social
· 17d
d - าร์
@drblawkt.bsky.social
· 16d
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Kyja Noack-Lundberg
@kyjanl.bsky.social
· Aug 27
Isabelle Marie
@isabellemarie.bsky.social
· Aug 26
Our medieval murder maps reveal the surprising geography of violence in 14th-century English cities
A recent YouGov poll found that the word that Americans most associate with the Middle Ages is "violent." Medieval towns may appear to be full of random violence, every alleyway a potential crime scen...
phys.org
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
ประชาไท Prachatai.com
@prachatai.com
· Aug 8
นักปรัชญาชายขอบ: ชาตินิยมในกับดักวัฒนธรรมเลี่ยงปัญหา
นักปรัชญาชายขอบ: ชาตินิยมในกับดักวัฒนธรรมเลี่ยงปัญหา
นักปรัชญาชายขอบ
sarayut
Fri, 2025-08-08 - 07:13
มีคำถามสำคัญสองแบบที่สะท้อนความเป็นไปของชีวิตและสังคม คือคำถามที่ว่า “ทำไม” และ “อย่างไร” โดยทั่วไปคำถามแรกมีนัยเชิงปรัชญา เพราะเป็นคำถามหาความสมเหตุผสมผลว่าทำไมจึงควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะที่คำถามหลังมีนัยเชิงวิทยาศาสตร์ คือการหาวิธีการที่ดีหรือมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดสิ่งที่คำถามแรกบอกว่าควรเป็นหรือควรทำให้เกิดขึ้น
แต่เหมือนว่าบ้านเราจะให้ความสำคัญกับคำถามหลังมากกว่า เช่น เมื่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันว่านักการเมืองคอร์รัปชัน เราก็จะหาคำตอบแบบฮาวทู คือหาวิธีการที่จะปราบโกง และวิธีการที่ได้มาก็คือการชุมนุมขับไล่รัฐบาลด้วยการกล่าวหาว่ารัฐบาลโกงชาติ ขายชาติ กระทั่งเป็นภัยความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ สุดท้ายก็ปูทางสู่รัฐประหารล้มรัฐบาล แล้วเขียนรัฐธรรมนูญปราบโกงที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และสร้างองค์กรอิสระต่างๆ ที่มีที่มาไม่ยึดโยงกับประชาชน แต่มีอำนาจยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิทางการเมืองของตัวแทนประชาชนได้อย่างง่ายดาย กลายเป็นว่าวิธีการปราบโกงที่เราใช้กันมากว่าสองทศวรรษ นอกจากจะปราบโกงไม่ได้จริง ยังเป็นการสร้างรัฐธรรมนูญและกฎหมายมากมายที่ทำลายหลักการประชาธิปไตยและบ่มเพราะความขัดแย้งทางการเมืองที่ต้องใช้เวลายาวนานในการแก้ไข
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเราไม่เคยพยายามอย่างจริงจังที่จะหาคำตอบร่วมกันให้ชัดเจนก่อนว่าทำไมเราจึงควรทำอย่างนั้น แต่ถ้าเราตอบคำถาม “ทำไม” ให้ชัดเจนก่อนว่าประเทศของเราควรเป็นประชาธิปไตยที่ทุกสถาบันทางสังคมและการเมืองต้องอยู่ภายใต้หลักเสรีภาพในการวิจารณ์ตรวจสอบ เราก็จะปฏิเสธฮาวทูแบบใดๆ ที่ทำลายประชาธิปไตยโดยอาศัยอำนาจจากรัฐประหาร แต่ต้องการฮาวทูแบบใดๆ ที่สร้างกระบวนการประชาธิปไตย เพื่อแก้ปัญหาการคอร์รัปชันในทุกสถาบันทางสังคมและการเมือง ไม่ใช่มุ่งแก้เฉพาะสถาบันพรรคการเมือง นักการ หรือรัฐบาลเท่านั้น พูดง่ายๆ คือฮาวทูที่จำเป็นก็คือการทำให้ทุกสถาบันทางสังคมและการเมือง เช่น สถาบันรัฐสภา รัฐบาล นิติบัญญัติ ตุลาการ พรรคการเมือง สถาบันกษัตริย์ กองทัพ และอื่นๆ มีความเป็นประชาธิปไตย หรือมีอำนาจและบทบาทหน้าที่สอดคล้องกับคุณค่าหลักของระบอบประชาธิปไตย และโปร่งใสตรวจสอบได้ในมาตรฐานเดียวกัน
เช่นเดียวกัน กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้าเราตอบคำถาม “ทำไม” ให้ชัดเจนก่อน การรบกันก็ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น เช่น ทำไมประเทศเพื่อนบ้านจึงต้องชิงประสาทโบราณบริเวณพื้นที่ทับซ้อน การทำสงครามชิงปราสาทโบราณเช่นนั้นจะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองประเทศอย่างแท้จริงเช่นนั้นหรือ แต่ถ้าเราต่างถือว่าปราสาทโบราณและพื้นที่ทับซ้อนตรงนั้นเป็นสมบัติที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองประเทศ โดยมีการกำหนดพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันและจัดสรรปันส่วนผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ฮาวทูที่เราต้องการก็ย่อมไม่ใช่การรบหรือสงคราม แต่เป็นการเจรจาแสวงหาความร่วมมือเพื่อรักษามิตรภาพและผลประโยชน์ที่จะตกแก่ประชาชนทั้งสองประเทศอย่างแท้จริง ความร่วมมือเพื่อให้เกิดผลดีทางการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา วัฒนธรรมและอื่นๆ ระหว่างสองประเทศก็จะตามมา แทนที่จะเกิดความบาดหมาง สงคราม และความสูญเสียที่ไม่จำเป็น
แต่จะอย่างไรก็ตาม ถึงไทย-กัมพูชาจะเลือกการรบเป็นฮาวทูไปแล้ว เบื้องหลังของการรบก็คือคำตอบของคำถามว่า “ทำไม” ในอีกด้านหนึ่งอยู่ดี ซึ่งคำตอบของทั้งสองประเทศว่าทำไมจึงใช้ฮาวทูการรบ ก็คือคำตอบที่ว่าทั้งสองประเทศต้องยึดมั่นอุดมการณ์ชาตินิยม ความรักชาติ และการปกป้องอธิปไตยของชาติ
ปัญหาอยู่ที่เราต่างก็ “ขาด” การตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์อุดมการณ์ดังกล่าวอย่างถึงราก เพราะอุดมการณ์ชาตินิยมของทั้งสองประเทศ ไม่ใช่อุดมการณ์ชาตินิยมแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย หรือสังคมนิยมประชาธิปไตย แต่เป็นอุดมการณ์ชาตินิยมแบบที่ชนชั้นนำของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเพื่ออภิสิทธิ์ทางสถานะ อำนาจ และผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นนำเองที่เหนือกว่าความเป็นประชาธิปไตย และประโยชน์ส่วนรวมในความหมายที่เป็นสิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรม และสวัสดิการพื้นฐานด้านต่างๆ ของประชาชน ดังนั้น ชาตินิยมและความรักชาติแบบไทยและกัมพูชา จึงเป็นอุดมการณ์ที่เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มชนชั้นนำเป็นด้านหลักที่ถึงที่สุดแล้วประชาชนไม่มีเสรีภาพที่จะตั้งคำถามและวิจารณ์อุดมการณ์เช่นนี้ได้อย่างแท้จริง
ตลกร้ายของอุดมการณ์ชาตินิยมแบบชนชั้นนำทั้งสองประเทศสร้างขึ้นคือ กลุ่มชนชั้นนำทั้งสองประเทศต่างถือว่าเป็น “จุดแข็ง” ของพวกตน ดังนั้น พวกเขาจึงปลุกกระแสชาตินิยมและความรักชาติ เพื่อสร้างเครดิตให้กับตนเอง ขณะเดียวกันพวกเขาก็มองว่าอุดมการณ์เช่นนี้เป็น “จุดอ่อน” ของฝ่ายตรงข้าม และหาวิธีใช้อุดมการณ์เช่นนี้ปั่นกระแสความขัดแย้งในฝ่ายตรงข้าม เช่นที่ฮุนเซนปั่นความความหวาดระแวงและขัดแย้งระหว่างรัฐบาล-ทหาร-ประชาชนที่ชูกระแสชาตินิยมในไทย ขณะที่ฝ่ายไทยก็พยายามปั่นกระแสว่าฮุนเซนเองก็ไม่ได้ทำเพื่อชาติและประชาชนหรอก แต่ทำเพื่ออำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์ของตนเองมากกว่า กระทั่งเกิดกระแสโซเชียลปั่นประเด็น “เมียน้อย” หลายคนของฮุนเซน ทว่ากลับถูกย้อนศรว่าผู้นำไทยก็มีเมียน้อยหลายคนมากกว่าเสียอีก เป็นต้น
ที่ตลกร้ายอีกอย่างคือ หลังจากเกิดข้อตกลงยุติการรบระหว่างไทย-กัมพูชา ได้เกิดม็อบทั้งในไทยและกัมพูชา แต่ขณะที่ม็อบไทยขับไล่นายกรัฐมนตรีให้พ้นจากตำแหน่ง, ปฏิเสธข้อตกลงยุติการรบ, ให้กำลังใจทหาร กระทั่งแกนนำบางคนประกาศว่า “ต้องยึดพนมเปญ” ม็อบกัมพูชากลับประกาศว่า “เรารักสันติภาพ” สนับสนุนการยุติสงคราม เป็นหนึ่งเดียวกับรัฐบาล เรียกร้องประเทศมหาอำนาจและนานาชาติให้สนับสนุนการยุติสงครามเพื่อสร้างสันติภาพ นี่คือสิ่งที่ม็อบไทยและม็อบกัมพูชาได้ “สื่อสาร” ต่อนานาชาติไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่อง “ขันขื่น” ที่ม็อบไทยเชื่อมั่นเหลือเกินว่าพวกตนฉลาดกว่า และมี “ความเป็นอารยะมากกว่า” ชาวกัมพูในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่ “ความจริงถูกฆ่า” ไปตั้งแต่ช่วงปลุกกระแสชาตินิยมจนแยกไม่ออกระหว่าง “รักชาติ” กับ “คลั่งชาติ” แล้ว
เฉพาะบ้านเราในบริบทปัจจุบัน แก่นแกนของชาตินิยมก็คือ “ราชาชาตินิยมบวกลัทธิทหาร” ที่ถือว่าสถาบันกษัตริย์คือสถาบันที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองของชาติและศาสนาสืบเนื่องมายาวนาน ความมั่นคงของชาติและศาสนาขึ้นต่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ สถาบันกองทัพหรือทหารมีหน้าที่ปกป้องความมั่นคงของสามสถาบันหลักดังกล่าว โดยเฉพาะปัจจุบันทหารมีบทบาททั้งการรักษาความมั่นคงภายในและภายนอก
การรักษาความมั่นคงภายในและภายนอกตามอุดมการณ์ชาตินิยมแบบไทย โดยเนื้อแท้ก็คือการรักษาความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่สถาบันกษัตริย์และทหารมีอำนาจควบคุมความจริง ความเชื่อ ความคิดเห็น หรือจิตวิญญาณของประชาชนให้อยู่ใน “กรอบ” ของราชาชาตินิยม ไม่ให้แตกแถวหรือ “นอกรีต” การควบคุมเชิงนามธรรมดังกล่าว คือรากฐานของการควบคุมเชิงรูปธรรมด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ทหารมีอำนาจแทรกแซงการเมืองด้วยการทำรัฐประหารได้ สร้างรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจนำทางการเมืองแก่สถาบันกษัตริย์ และกองทัพได้ ควบคู่กับการโฆษณาชวนเชื่อในอุดมการณ์ชาตินิยม ความรักชาติ และอื่นๆ
ท่ามกลางการโฆษณาชวนเชื่อของชนชั้นนำ พวกเขามักเตือนประชาชนให้ระวัง “ข่าวปลอม” แต่เมื่อคนอย่าง “อานนท์ นำภา”พูด “ความจริง” ของปัญหาความใม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศนี้ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการเสรีภาพและประชาธิปไตย ศาลกลับตัดสินจำคุกเกือบ 30 ปีแล้ว ที่คือวิธีการที่โหดร้ายและป่าเถื่อนในการควบคุมความจริงภายใต้อุดมการณ์ชาตินิยมแบบไทย
ดังนั้น การปลุกกระแสชาตินิยมในบ้านเราจึงเอื้อประโยชน์แก่สถาบันกษัตริย์และกองทัพเป็นด้านหลัก ไม่ว่าจะเป็นการปลุกกระแสชาตินิยม ความรักชาติ ความสามัคคีของประชาชนในชาติผ่านการทำรัฐประหารครั้งต่างๆ ในนามของการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ที่ผ่านๆ มา หรือการปลุกกระแสชาตินิยมในสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน
แต่น่าเศร้าที่เราต่างก็เห็นกันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าการปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อสร้าง “ความชอบธรรม” รองรับการทำรัฐประหารส่งผลเป็นการทำลายประชาธิปไตยและหลักความยุติธรรมทางสังคมและการเมือง และส่งผลเสียมหาศาลต่อเศรษฐกิจ และสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เราก็ยังคงติดกับดัก “วัฒนธรรมการเลี่ยงปัญหา” เช่น เราโจมตีความเป็นเผด็จการอำนาจนิยม และความล้าหลังของประเทศเพื่อนบ้าน แต่เลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาแบบเดียวกันในประเทศตัวเอง การเมืองภายในประเทศของเราก็เลี่ยงที่จะแก้ปัญหาโครงสร้างที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เลี่ยงที่จะนิรโทษกรรมประชาชนที่สู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย ปล่อยให้เพื่อนเราที่โดนคดี 112 กลายเป็นนักโทษทางความคิดถูกขังลืม พอเกิดปัญหาการเมืองระหว่างประเทศหรือเกิดการพิพาทกับเพื่อบ้าน เรากลับสามัคคีกันโหนกระแสชาตินิยมอย่างเซื่องๆ
ทำไมเราจึงตกอยู่ในกับดักอุดมการณ์ชาตินิยมที่ชนชั้นนำสร้างขึ้นครอบงำประชาชน ทั้งๆ ที่เราอยู่ในยุคสมัยที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเอื้อให้เราได้เรียนรู้โลกกว้าง ทำไมเราถึงไม่ “ตาสว่าง” อย่างแท้จริงกันได้เสียทีว่าภายใต้อุดมการณ์ชาตินิยมเช่นนั้น “ความเป็นมนุษย์” ของประชาชนถูกกดทับ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ต่างจากชาวกัมพูชาที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ถูกกดทับด้วยอุดมการณ์ชาตินิยมภายใต้ลัทธิเผด็จการอำนาจนิยมเช่นกัน
หากเราจะต่างจากชาวกัมพูชาในทางที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่า เราก็ต้องเป็นฝ่ายที่ “แสดงความสามารถในการนำ” บนการยืนยันแนวทางแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีตามหลักสากลนิยมมากกว่า ไม่ใช่แสดงกำลังรบที่เหนือกว่า เพราะนี่คือวิธีการแบบสังคมยุคเก่า ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรามีคำตอบชัดเจนร่วมกันต่อคำถามพื้นฐานที่ว่า “ทำไมเราจึงควรยึดมั่นอุดมการณ์ชาตินิยมที่ชนชั้นนำสร้างขึ้นเพื่อครอบงำประชาชน” มันยังมีความสมเหตุสมผลที่จะยึดอุดมการณ์เช่นนี้จริงหรือ ถ้าเราเลี่ยงปัญหา หรือเลี่ยงที่จะตอบคำถามพื้นฐานเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะเป็นเพียงพลเมืองที่เชื่องเชื่อฟังและทำตามคำตอบแบบฮาวทูที่ชนชั้นนำกำหนดให้เรายอมรับแบบที่เป็นมาและเป็นอยู่
ทั้งๆ ที่เราสามารถจะสร้างอุดมการณ์ชาตินิยมที่ก้าวหน้ากว่า คือชาตินิยมที่ยึดถือความมั่นคงของประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ และอำนาจของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด อันเป็นชาตินิยมที่ปฏิเสธเผด็จการอำนาจนิยมทุกรูปแบบ ชาตินิยมที่เชื่อมโยงกับหลักสากลนิยมที่เห็นคุณค่าของแนวทางแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีมากกว่าการรบที่ไม่จำเป็น ชาตินิยมที่เห็นคุณค่าของชีวิตประชาชนตามชายแดนของทั้งสองประเทศมากกว่าการแย่งชิงปราสาทโบราณในพื้นที่ทับซ้อน และเห็นความสำคัญของการใช้ประโยชน์ร่วมกันจากมรดกที่บรรพบุรุษสร้างไว้มากกว่าที่จะเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงมรดกเช่นนั้น
แต่ที่เราไม่พบคำตอบว่าทำไมเราจึงสร้างอุดมการณ์ชาตินิยมที่ก้าวหน้ากว่าขึ้นมาไม่ได้เสียที เพื่อนำทางการแก้ปัญหาการเมืองภายในประเทศ และปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็เพราะเราเลี่ยงปัญหา ไม่ร่วมกันตั้งคำถามและหาคำตอบอย่างตรงไปตรงมาให้มีความเห็นร่วมกันได้เสียทีว่าทำไมเรายังต้องยึดอุดมการณ์ชาตินิยมแบบที่ชนชั้นนำสร้างขึ้นเพื่อครอบงำประชาชน ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่ทำให้ประชาชนสูญเสียความเป็นมนุษย์ที่สามารถใช้เหตุผล เสรีภาพ และการมีส่วนร่วมบัญญัติกฎกติกาที่เสรีและเป็นธรรมในการอยู่ร่วมกัน
พูดในทางกลับกันคือ ทำไมเราไม่ควรยึดอุดมการณ์ชาตินิยมก้าวหน้าที่สนับสนุนให้ประชาชนมีความเป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพที่จะใช้เหตุผลในการพูดความจริงและสร้างกติกาทางสังคมและการเมืองในการอยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรี บางคนบอกว่าคำถามนี้เรามีคำตอบชัดเจนกันแล้ว แต่ถ้าชัดเจนกันจริง ทำไมการปลุกกระแสชาตินิยมที่ชนชั้นนำสร้างขึ้นครอบงำประชาชนจึงยังใช้ได้ผลจนกระทั่งทุกวันนี้
* บทความ
* การเมือง
* สิทธิมนุษยชน
* นักปรัชญาชายขอบ
* ชาตินิยม
* ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
dlvr.it
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
Reposted by d - าร์
d - าร์
@drblawkt.bsky.social
· Jul 17