ประชาไท Prachatai.com
banner
prachatai.com
ประชาไท Prachatai.com
@prachatai.com
FTA ไทย-อียู : เมื่ออียูพร้อมรุกเหล้าไทย 'นโยบายสุขภาพ' รับแรงกระแทกได้แค่ไหน
FTA ไทย-อียู : เมื่ออียูพร้อมรุกเหล้าไทย 'นโยบายสุขภาพ' รับแรงกระแทกได้แค่ไหน Pazzle Thu, 2025-11-27 - 16:34 เอฟทีเอไทย-อียูจะเปิดช่องให้อียูมหาอำนาจอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รุกตลาดไทยอย่างหนัก ราคาถูกลง ปริมาณการดื่มเพิ่ม นักดื่มหน้าใหม่เพิ่ม นโยบายสุขภาพสั่นคลอน หวังรัฐบาลนำเรื่องนี้ออกจากการเจรจาหากเป็นไปได้ อียูเป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่พร้อมจะบุกตลาดไทยทุกเมื่อ เอฟทีเอไทย-อียูจะเป็นการเปิดประตูบานใหญ่ให้อียูรุกเข้ามาเต็มที่ นโยบายการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และนโยบายด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องจะได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ กมลพัฒน์ มากแจ้ง มูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) เผยให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากไทยยังคงเดินไปข้างหน้าโดยไม่ฟังเสียงภาคประชาชน นโยบายเศรษฐกิจและนโยบายสุขภาพอาจวิ่งสวนทางกัน และไทยอาจได้ไม่คุ้มเสีย กมลพัฒน์ มากแจ้ง มูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) อียู มหาอำนาจแห่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อสำรวจตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โลก ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐและยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดว่าในอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นมากกว่าขณะนี้เกือบ 1 เท่าตัว โดยเบียร์จะมีขนาดตลาดใหญ่ที่สุด รองลงมาคือไวน์ นอกจากนี้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อัดก๊าซหรือ Hard Seltzer ก็เริ่มขยายตัวมากขึ้น มีตลาดสำคัญอยู่ในประเทศกลุ่มอเมริกาเหนือ สหภาพยุโรปหรืออียู และกำลังขยายตัวในตลาดเอเชียแปซิฟิกซึ่งรวมประเทศไทยอยู่ด้วย กมลพัฒน์กล่าวต่อถึงด้านอุปทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พบว่า การส่งออกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมูลค่าประมาณ 98,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 5.5 ของมูลค่าตลาด ซึ่งอียูคือกลุ่มประเทศที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดและมีการส่งออกมากที่สุดในโลกหรือร้อยละ 42 ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โลก (ไม่รวมสหราชอาณาจักร) โดยเฉพาะฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม เมื่อแยกประเภทพบว่าเป็นเบียร์ร้อยละ 37 ไวน์ร้อยละ 26 และสุรากลั่นอีกประมาณร้อยละ 14 “สิ่งนี้สะท้อนว่าอียูมีความได้เปรียบในสินค้าแอลกอฮอล์แน่นอน ได้เปรียบกว่าหลายๆ ประเทศ แน่นอนว่ามากกว่าประเทศไทย ทั้งยังมีอำนาจต่อรองการค้าค่อนข้างสูงเพราะตลาดของอียูใหญ่เป็นอันดับ 1 ใน 3 ของโลก โดย 70 เปอร์เซ็นต์ของอียูมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือ 6 ประเทศที่ว่า เพราะฉะนั้นเวลาเราเจรจากับอียู แน่นอนว่าประเทศเหล่านี้ไม่ยอมทิ้งสินค้าที่ได้เปรียบของเขา” นอกจาก อียูจะเป็นกลุ่มประเทศที่ส่งออกมากที่สุด มีสินค้าที่ได้เปรียบแล้ว อียูยังมีบริษัทแอลกอฮอล์ข้ามชาติที่มีขนาดใหญ่ มีศักยภาพทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ พร้อมที่จะขยายสาขาไปทั่วโลกที่มีโอกาส คนไทยยังดื่มน้อย โอกาสอียูเจาะตลาด เมื่อพูดถึงการสำรวจการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเปรียบเทียบระหว่างค่าเฉลี่ยของโลก อียู และไทย แบ่งเป็น 2 ส่วนคือปริมาณการบริโภคและความชุกในการบริโภค การบริโภคเชิงปริมาณหรือ Alcohol per Capita: APC ทั่วโลกตกราวๆ 6.4 ลิตรต่อคนต่อปี ประเทศในกลุ่มอียูมีการดื่มสูงเกือบ 10 ลิตรต่อคนต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยก็ค่อนข้างสูงอยู่ที่ 8.3 ลิตรต่อคนต่อปี เป็นสุรากลั่นกับเบียร์มากที่สุด ส่วนไวน์ยังค่อนข้างน้อย ในด้านความชุกหรือจำนวนของผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่า ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณร้อยละ 43 แต่เฉพาะในอียูตัวเลขนี้สูงถึงร้อยละ 68-80 ส่วนประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 35.2 โดยเฉพาะนักดื่มผู้หญิงยังมีมค่อนข้างน้อยมากคือร้อยละ 28 “ประเด็นสำคัญก็คือบริบทของอียู ทั้งปริมาณการดื่มและความชุกของนักดื่มสูงอยู่แล้ว ตลาดจึงค่อนข้างอิ่มตัว พร้อมที่จะขยายไปยังตลาดอื่น ส่วนบริบทของประเทศไทยมีผู้ไม่ดื่มอยู่ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ยังไม่ดื่มมีอยู่ประมาณ 72 เปอร์เซ็นต์ซึ่งค่อนข้างสูงมาก แล้วสัดส่วนการดื่มไวน์ของประเทศไทยก็ยังน้อยอยู่ซึ่งสอดคล้องกับประเทศกลุ่มอียูที่มีความได้เปรียบด้านสินค้า โดยเฉพาะไวน์และสุรากลั่น” ตลาดกึ่งผูกขาดของไทย ถ้าดูเฉพาะตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทย พบว่า มูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 23,000 ล้านดอลลาร์คิดเป็นร้อยละ 1.6 ของตลาดโลก ถือว่ายังไม่สูงมาก แต่ก็เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและอาเซียน ส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยเป็นเบียร์และสุรากลั่นครึ่งต่อครึ่ง ส่วนไวน์คงที่ที่ร้อยละ 3 แต่จุดแข็งของไทยในทางธุรกิจก็คือมีจุดจำหน่ายแอลกอฮอล์จำนวนมาก ในปี 2565 มีใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 500,000 ใบ หมายความว่าทุก 1 ตารางกิโลเมตรจะมีร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 ร้าน ขณะที่ในมิติด้านอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศ พบว่า มีอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างเข้มแข็งโดยเฉพาะสุราและเบียร์ มีลักษณะกึ่งผูกขาดโดย 2 บริษัทยักษ์ใหญ่คือ Thai Beverage และบุญรอด บริวเวอรี่ ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าร้อยละ 80 รองลงมาเป็นบริษัทต่างชาติ ด้านบริบทการค้าระหว่างประเทศ ไทยมีการเจรจาเอฟทีเอแล้ว 14 ฉบับกับ 18 คู่ตกลง ซึ่งประเทศคู่ตกลงส่วนใหญ่ลดภาษีศุลกากรเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหลือศูนย์ไปแล้ว และยังมีที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 8 ฉบับกับ 41 ประเทศ ซึ่งรวมอียูอีก 27 ประเทศอยู่ด้วย ทั้งนี้ 6 ประเทศยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งลดภาษีศุลกากรลงเหลือศูนย์แล้ว ส่วนอีกกลุ่มที่มีแผนเปิดเจรจาในอนาคตคือประเทศกลุ่ม EEA หรือเขตเศรษฐกิจยุโรปที่ประกอบด้วยอียูและสามประเทศจากสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) ได้แก่ ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ และนอร์เวย์ นอกจากนี้ยังมีรัสเซีย กลุ่มประเทศสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ด้านการส่งออกสุรากลั่นเช่นเดียวกัน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอไหลเข้าไทยมหาศาล ปัจจุบันมูลค่าการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยอยู่ที่ 402 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณร้อยละ 1.7 ของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง โดยเป็นการนำเข้าสุรากลั่นมากที่สุดตามด้วยไวน์และเบียร์ กมลพัฒน์ชี้ให้เห็นจุดที่น่าสนใจคือโครงสร้างการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยจะพบว่า ภาพรวมของการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาจากอียูเป็นอันดับ 1 หรือร้อยละ 29 เมื่อแยกรายประเภทพบว่าเป็นไวน์และสุรากลั่นค่อนข้างสูง แบ่งเป็นไวน์ร้อยละ 44 สุรากลั่นร้อยละ 20 “สิ่งที่ต้องสนใจคือเรานำเข้ามากเป็นอันดับ 1 จากอียูอยู่แล้ว แม้ว่ายังไม่ได้ทำเอฟทีเอ ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขปี 65 ตอนนั้นนายกเศรษฐา (ทวีศิลป์) ยังไม่ได้ลดภาษีลงเหลือศูนย์ ภาษีไวน์ยังไม่ได้ลด และสิ่งที่น่าสนใจอีกก็คือแม้ว่ายังไม่ได้ทำเอฟทีเอกับอียู แต่ไทยก็นำเข้ามากกว่าประเทศที่เรามีเอฟทีเอด้วยแล้ว อย่างเช่นออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือแม้กระทั่งอาเซียน ดังนั้น เอฟทีเอจะทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไหลเข้ามาอย่างมหาศาล” อียูพร้อมรุกตลาดไทย หากเอฟทีเอผ่าน เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการนำเข้าช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจนถึงปี 2565 พบว่า ไทยนำเข้าสุรากลั่นจากสหราชอาณาจักรเป็นอันดับ 1 รองลงมาคืออียูซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ไวน์จากอียูนำเข้าเป็นอันดับ 1 ยังพบด้วยว่าประเทศออสเตรเลียและชิลีซึ่งไทยทำเอฟทีเอไปแล้ว มีการนำเข้าไวน์จากออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 2.4 เท่า จากชิลี 1.3 เท่า ดังนั้น การทำเอฟทีเอกับอียูจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่ปริมาณการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยจะเพิ่มสูงขึ้น “สรุปภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของอียูถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพพร้อมมากในเรื่องสินค้าแอลกอฮอล์ ทั้งการผลิต การส่งออก การลงทุน รวมถึงการทำการตลาด มีการบริโภคสูง พร้อมจะขยายสินค้ามายังต่างประเทศ” ในขณะที่ตลาดของไทยก็มีโอกาสเติบโตน่าสนใจ ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเป็นเมือง ช่องทางการจำหน่ายที่พร้อมกระจายสินค้า รวมถึงฐานนักดื่มหน้าใหม่โดยเฉพาะผู้หญิง อีกทั้งรูปแบบการดื่มก็ยังไม่หลากหลายมากนักที่จะนำเข้าสินค้าที่หลากหลายจากอียู ประเด็นที่น่าจับตาก็คืออุตสาหกรรมเครื่องดื่มของอียูได้เข้ามาลงทุนในไทยรอแล้ว มีความพร้อมที่จะขยายการลงทุนและฐานการผลิต อุตสาหกรรมภายในประเทศก็มีความเข้มแข็ง พร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากการค้าเสรีในครั้งนี้ นโยบายดูแลสุขภาพเตรียมรับแรงกระแทก ทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อมิติด้านสาธารณสุข กมลพัฒน์อธิบายว่าก่อนอื่นต้องยอมรับว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าปกติทั่วไป เอทานอลในแอลกอฮอล์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก ตั้งแต่อาการมึนเมา เป็นพิษต่อครรภ์มารดา มีฤทธิ์เสพติด เป็นสาเหตุของมะเร็งหลายชนิด นำไปสู่ปัญหาโรคเรื้อรัง อุบัติเหตุ และปัญหาสังคมต่างๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุม องค์การอนามัยโลกมี 10 ยุทธศาสตร์ในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และ 3 มาตรการที่เป็น Best buy Intervention ประกอบด้วยการควบคุมการเข้าถึงทางกายภาพ การควบคุมการตลาด และการควบคุมราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ให้ต่ำเกินไป “ประเทศไทยก็มีมาตรการเรื่องภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต มี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้าไปควบคุมการเข้าถึง ควบคุมการตลาด อายุขั้นต่ำ พื้นที่ห้ามดื่ม ห้ามขาย ช่องทางการจำหน่าย การโฆษณา แล้วก็มีมาตรการควบคุมการดื่มแล้วขับ การกำหนดการกำหนดระดับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด (Blood Alcohol Content: BAC) เป็นต้น กล่าวคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องมีการควบคุมโดยมาตรการทางด้านสุขภาพ" “แต่เอฟทีเอจะเข้ามาบั่นทอนอะไรบ้าง หนึ่งจะเข้ามาส่งเสริมการผลิตและการกระจายสินค้าของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งการขยายตัวของอุตสาหกรรมจะทำให้ความพร้อมในการใช้งานของสินค้าเพิ่มขึ้น ราคาถูกลง การตลาดก็สามารถกระทำได้ง่ายมากขึ้น แล้วอาจจะมีผลต่อนโยบายคุ้มครองสุขภาพต่างๆ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบและพฤติกรรมการดื่ม” นอกจากจะทำให้ราคาถูกลงแล้ว เอฟทีเอยังช่วยปลดล็อกด้านการลงทุน มีผลให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของอียูในไทยมีโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่อุตสาหกรรมต่างชาติถูกจำกัดไว้ที่ประมาณร้อยละ 49 ซึ่งตอนนี้บริษัท Heineken ก็มาร่วมทุนกับบริษัทไทยแล้ว 3 บริษัท ยังมีบริษัทนำเข้าจากฝรั่งเศส พร้อมกันนั้นสหราชอาณาจักรก็มีความพร้อมในการขยายลงการลงทุนในอนาคต ประเด็นต่อมาคือการโฆษณา เนื่องจากเอฟทีเอรวมเรื่องการเปิดเสรีการบริการด้วย ประเทศกลุ่มอียูมีศักยภาพการทำการตลาดออนไลน์สูง ซึ่งจะเข้ามาในไทยอย่างเข้มข้นเพื่อแข่งขันแย่งชิงตลาด นำเหล้าออกจากการเจรจา ทางเลือกที่ดีที่สุด กมลพัฒน์สรุปว่าเอฟทีเอไทย-อียูมีโอกาสจะเพิ่มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค โดย 3 กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบคือกลุ่มนักดื่มปัจจุบันซึ่งอาจเปลี่ยนพฤติกรรมมาดื่มสินค้านำเข้าจากอียูมากขึ้นหรือถ้าดื่มอยู่แล้วก็อาจจะดื่มเพิ่มมากขึ้นจากราคาที่ถูกลง กลุ่มที่ 2 คือผู้ที่ไม่ดื่มที่ยังมีสัดส่วนค่อนข้างสูงก็จะมีโอกาสกลายเป็นนักดื่มจากสินค้านำเข้าที่มีความหลากหลาย มีความตรงกับไลฟ์สไตล์ของตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะไวน์และสุรากลั่นที่มีความหลากหลายมากและก็อาจตรงกับรสนิยมของผู้หญิง กลุ่มที่ 3 คือเด็กและเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจะมีโอกาสกลายเป็นนักดื่มหน้าใหม่จากกลยุทธ์การโฆษณาและการตลาดทางออนไลน์ที่เข้ามาอย่างเข้มข้น “สถานการณ์สำคัญที่ผมอยากจะนำเสนอคือเรามี 2 ประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิด หนึ่งคือประเด็นจากภายนอกหรือความท้าทายจากเศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ การประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ โดยเฉพาะกับอียูร้อยละ 30 จะทำให้มุมมองของอียูต่อตลาดในเอเชียเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อาจจะมาเน้นตลาดเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าแอลกอฮอล์" “ประเด็นที่ 2 คือสถานการณ์ภายในประเทศ โดยเฉพาะมีรายงานว่าพฤติกรรมการดื่มของคนไทยเริ่มเปลี่ยนแปลง มีการบริโภคไวน์มากขึ้น แล้วก็มีการบริโภคสุราขาวซึ่งมาจากสินค้าที่มีความหลากหลายเช่นค็อกเทลก็เริ่มมากขึ้น ซึ่งเราต้องติดตามดูว่ารายงานนี้จะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน” กมลพัฒน์เสนอว่ากฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่กำลังปรับปรุงและมีการประกาศใช้ในในเดือนพฤศจิกายนนี้อาจจะมีมาตรการที่เข้มแข็งขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจมีมาตรการที่ลดทอนความเข้มแข็งลงด้วย ซึ่งจะเป็นช่องว่างให้อุตสาหกรรมใช้ประโยชน์ “สิ่งที่ผมอยากจะเสนอแนะจากศึกษาคืออยากให้เอาออกจากการเจรจาหรือถ้าไม่ได้ก็อาจจะต้องขยายการบังคับใช้ออกไปตามลำดับหรือให้มากที่สุด รวมไปถึงสงวนการเปิดเสรีการลงทุนจากต่างชาติไม่ให้เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบัน คนไทยยังครองสัดส่วนอยู่ที่ 51 เปอร์เซ็นต์ ก็อยากให้คงสงวนตรงนี้ไว้ แล้วในมุมทางวิชาการ ผมอยากให้มีการพัฒนากรอบการติดตามเฝ้าระวังผลกระทบจากเอฟทีเอต่อการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นมิติของผู้ดื่ม การเปลี่ยนแปลงของสินค้า อุตสาหกรรม ธุรกิจ นโยบายต่างๆ แล้วก็ผลกระทบต่อสังคมและชุมชนในระยะยาว" “สุดท้ายก็คืออยากให้มีกลไกการวิเคราะห์หรือพิจารณาความสอดคล้องระหว่างนโยบายทางด้านเศรษฐกิจและนโยบายสุขภาพให้มีความไปด้วยกันบนหลักฐานทางวิชาการและการมีส่วนร่วมของประชาชน”   * รายงานพิเศษ * การเมือง * เศรษฐกิจ * ต่างประเทศ * FTA ไทย-อียู * กมลพัฒน์ มากแจ้ง * มูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ * อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ * การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ * แอลกอฮอล์ * อียู
dlvr.it
November 27, 2025 at 9:47 AM
ปมร้อนคอนโดยักษ์ ‘หมอน 33’ จุฬาฯ กับการจัดการทรัพย์สิน สรุปชนวนนิสิตฟ้องศาลปกครอง
ปมร้อนคอนโดยักษ์ ‘หมอน 33’ จุฬาฯ กับการจัดการทรัพย์สิน สรุปชนวนนิสิตฟ้องศาลปกครอง See Think Thu, 2025-11-27 - 16:01 ◼️ที่มาของโครงการหมอน 33 *  โครงการพัฒนาพื้นที่หมอน 33 (Block 33) เป็นโครงการคอนโดฯ แบบขายสิทธิเช่าระยะยาว ภายใต้การบริหารจัดการของสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) ตั้งอยู่ที่จุดศูนย์กลางของสามย่าน ใจกลางกรุงเทพมหานคร ตึกมีความสูง 50 ชั้น ประกอบไปด้วย คอนโดฯ อาคารสำนักงาน และจอดรถยนต์ มีจำนวนห้องพักทั้งหมด 1,803 ห้อง จำนวน 1 อาคาร (3 ทาวเวอร์) พื้นที่รวม 700-3-52 ไร่ * Block 33 เป็นส่วนต่อขยายจากการปรับผังเมืองของจุฬาฯ ที่ทำต่อเนื่องหลายปี ทั้งสามย่านมิตรทาวน์ สวนจุฬาฯ 100 ปี ลานคนเมือง ทำให้หลายชุมชนต้องปรับตัวและย้ายออก เพื่อพัฒนาโครงการนี้ เช่น ตลาดสามย่านเดิม พื้นที่เชียงกง และโซนศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง เพื่อใช้ก่อสร้างโครงการ พื้นที่ที่ถูกดึงคืนไม่ได้มีเพียงตลาด แต่ยังมีชุมชนสามย่านเดิม อายุเก่าแก่กว่า 60 ปี ◼️ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง * ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลืองปัจจุบันมีอายุมากกว่า 150 ปี ตั้งอยู่ในพื้นที่ Block 33 โดยในเดือนมิถุนายน 2563 ทาง PMCU ประกาศให้ศาลย้ายออกจากพื้นที่เดิมเพื่อเตรียมปรับพื้นที่สำหรับการก่อสร้าง โดยทางจุฬาฯ มีการจัดเตรียมพื้นที่ใหม่ของศาลเจ้าไว้ที่บริเวณสวนจุฬาฯ 100 ปี แนวคิดในการย้ายศาลเจ้าแม่ทับทิมก่อให้เกิดกระแสต่อต้านจากชุมชนและนิสิตบางส่วน * ผู้ดูแลศาลเจ้าและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการย้ายศาล ขึงป้ายผ้าคัดค้าน, ทำจดหมายเปิดผนึกถึงผู้บริหารจุฬาฯ ส่วนเหล่านิสิตจุฬาฯ จัดกิจกรรม Human Chain มีการทำสารคดี The Last Breath of Sam Yan หรือปฏิบัติการที่คนในโซเชียลร่วมใจกันติด #Saveศาลเจ้าแม่ทับทิม เพราะมองว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีคุณค่าที่ควรรักษาไว้ และเป็นสถานที่รวมจิตวิญญาณของผู้คนในชุมชน * ในระหว่างนั้น จุฬาฯ ได้สร้างศาลเจ้าแห่งใหม่ไว้ในโซนสวนจุฬา 100 ปี จนวันที่ 15 มิ.ย.2563 องค์เจ้าแม่ ถูกอัญเชิญไปไว้ที่ศาลใหม่ แต่ด้วยการประท้วงที่ไม่ยอมจบ ทำให้เดือนกันยายน 2563 จุฬาฯ ยื่นฟ้องผู้ดูแลศาลเจ้าแม่ทับทิมจนชนะคดี และเตรียมจะรื้อศาลเจ้าทิ้งพร้อมไล่ผู้ดูแลศาลเจ้าออก แต่กระแสตีกลับไปสนับสนุนฝั่งศาลเจ้าแม่ทับทิมมากกว่า เนื่องจากช่วงเมษายนที่ผ่านมา ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง (อาคารเดิม) ได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2568 รวมไปถึงจำนวนคนที่เดินทางมาไหว้ศาลเจ้าก็มีมากขึ้น * 4 พฤศจิกายน 68 ตัวแทนจากโครงการหมอน 33 ได้เข้าพบกับผู้ดูแลศาลเจ้า เพื่อขอใช้พื้นที่ศาลเจ้าในการทำประชาพิจารณ์ มีเนื้อหาว่าจะไม่รื้อถอนศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง แต่ยังคงเดินหน้าทำการไล่ผู้ดูแลศาลออกจากพื้นที่ คณะกรรมการศาลเจ้าจึงออกหนังสือแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อประชาพิจารณ์ครั้งนี้  ◼️ผลกระทบระหว่างก่อสร้าง Block 33 * ในช่วงที่ผ่านมา ประชาชนละแวกนั้น ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาฝุ่นละออง มลภาวะทางเสียงจากการก่อสร้าง ทางเดินเท้าที่ถูกเบียดโดยรั้วกั้น การสัญจรของรถติดขัดกว่าที่เคย ไหนจะปัญหาการขอคืนที่ดินบริเวณศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง หรือเหตุการณ์วัสดุก่อสร้างหล่นลงมาจากไซต์ก่อสร้าง * วันที่ 13 พ.ค. 67 โครงสแลนจากไซต์ก่อสร้าง ร่วงใส่หลังคาตลาดสามย่าน จนทำให้ไฟดับไปกว่า 4 ชั่วโมง แม่ค้าในตลาดระบุว่า เหตุของหล่นหรือปลิวจากไซต์ก่อสร้างนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว เวลาของใช้เสียหายก็ควักเงินเยียวยาอย่างเดียว แต่ไม่เคยเห็นการแก้ไขปัญหาจริงๆ ◼️เสียงจากผู้ได้รับผลกระทบ * ประชาชนในพื้นที่เล่าว่า ปี 2563 จุฬาฯ มีการตั้งรั้วกั้นไซต์ก่อสร้างจนเลยเข้ามาบนทางเดินเท้า ทำให้คนต้องลงมาเดินสัญจรที่ถนนแทน เขากับเพื่อนจึงพากันไปประท้วงจุฬาฯ ซึ่งได้รับการแก้ไขจริง มีการขยับเข้าไปในพื้นที่ตัวเองก่อนจะขยับออกมาเหมือนเดิม * นักศึกษาจุฬาฯ ที่ได้รับผลกระทบเล่าว่า เพื่อนหลายคนร้องเรียนเรื่องทางเดินเท้าเข้ามาหลายครั้งแล้ว เพราะเวลาเดิน ต้องมาคอยกังวลว่ารถจะชนเขาตอนไหน ทั้งที่ในความเป็นจริง ทางเท้าควรเป็นที่ของคนเดิน ไม่ใช่ของรั้วกั้น เขาจึงทำเอกสารร้องเรียนส่งไปที่สำนักงานเขต เพื่อให้เกิดการแก้ไข แต่กลายเป็นว่าทางจุฬาฯ กลับติดแค่ลูกระนาดลดความเร็ว และปิดป้ายว่าห้ามเดินฝั่งนี้ ให้ไปใช้ทางเดินเท้าฝั่งตรงข้ามแทน กลายเป็นว่าทางเท้าที่เป็นเป็นของคน ตอนนี้เป็นของรั้ว เหลือแต่ถนนให้คนเดินลุ้นชีวิตแทน * การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ค่อนข้างแปลก ในอดีต ตอนก่อสร้างสวนจุฬาฯ 100 ปี เคยมีการร้องเรียนแบบเดียวกัน ซึ่งทางจุฬาฯ ก็ทำทางเดินเท้าให้ แต่ครั้งนี้กลับเงียบเฉย เหมือนไม่ได้สนใจความปลอดภัยของประชาชนจริงๆ ◼️นิสิตไม่ทน * วันที่ 19 พ.ย. 68 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยประชาชน เดินทางมายังศาลปกครองเพื่อยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร จากกรณีที่ กทม. ออกใบอนุญาตการก่อสร้างให้กับ “โครงการพัฒนาพื้นที่หมอน 33” เป็นโครงการที่สร้างเพื่ออนาคต แต่ตอนนี้กำลังทำลายชีวิตประจำวันของพวกเขา * เนื่องจากโครงการดังกล่าว มีการทำผิดข้อควรปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่กำหนดให้อาคารใหญ่พิเศษต้องมีทางสาธารณะเข้าสู่ที่ตั้งโครงการที่มีเขตกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร และที่ดินที่ติดถนนสาธารณะต้องกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร เพื่อให้รถดับเพลิงเข้าออกได้สะดวก * ถนนรอบ Block 33 แคบเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดสำหรับอาคารสูงใหญ่พิเศษ ทำให้รถดับเพลิงเข้าถึงยาก แต่ กทม. ยังออกใบอนุญาตให้สร้าง พอลองไปวัดพื้นที่ พบว่า 1) ระยะห่างจากฐานอาคารถึงเส้นถนนฝั่งตะวันตกที่ติดกับถนนสาธารณะซอยจุฬาลงกรณ์ 5 มีระยะห่างประมาณ 10 เมตร และมีความกว้างเขตทางถนนประมาณ 11 เมตร  2) ระยะห่างจากฐานอาคารถึงเส้นถนนฝั่งตะวันออกที่ติดถนนสาธารณะซอยจุฬาลงกรณ์ 9 มีระยะห่างประมาณ 6 เมตร และมีความกว้างเขตทางประมาณ 10 เมตร 3) ระยะห่างจากฐานอาคารถึงเส้นถนนฝั่งเหนือที่ติดถนนสาธารณะซอยจุฬาลงกรณ์ 26 มีระยะห่างประมาณ 6 เมตร และมีความกว้างเขตทางประมาณ 8 เมตร 4) ระยะห่างจากฐานอาคารถึงเส้นถนนฝั่งใต้ที่ติดถนนสาธารณะซอยจุฬาลงกรณ์ 32 มีระยะห่างประมาณ 6 เมตร และมีความกว้างเขตทางประมาณ 6 เมตร * โครงการนี้จึงกลายเป็นการก่อสร้างอาคารที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกรุงเทพมหานครมี อำนาจหน้าที่ในการออกใบอนุญาตและควบคุมตรวจสอบการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ควบคุมตรวจสอบให้การก่อสร้างให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด  ◼️คำบอกเล่าจากประชาชน  * ประชาชนที่ร่วมฟ้องกล่าวว่า ผู้คนในละแวกนี้เดือดร้อนกันมาหลายปีแล้วกับการสร้างโครงการนี้ เพราะสร้างผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ทั้งฝุ่น ทั้งรถติด ไหนจะเรื่องเสียงอีก ทางเดินที่เคยใช้ตอนนี้กลายเป็นที่วางรั้ว เธอเคยร้องเรียนไปทางผู้บริหารหลายครั้ง แต่ไร้วี่แววตอบกลับ * เธอและเพื่อนที่ทนกับการลิดรอนสิทธิไม่ไหว จึงตัดสินใจยื่นเรื่องฟ้องผ่านศาลปกครอง เธอเชื่อว่าจะได้รับความช่วยเหลือและความเป็นธรรม ซึ่งก่อนทำการยื่นฟ้อง พวกเธอสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง เนื่องจากถนนที่ล้อมรอบโครงการนี้ เป็นถนนที่ไม่ได้มีความกว้างเท่าที่กฎหมายกำหนด ในการขอ EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ตัวเอกสารไม่ได้ระบุชัดเจนว่าโครงการมีพื้นที่ใช้สอยเท่าไหร่ * ประชาชนในพื้นที่เล่าว่า ปี 2563 จุฬาฯ มีการตั้งรั้วกั้นไซต์ก่อสร้างจนเลยเข้ามาบนทางเดินเท้า ทำให้คนต้องลงมาเดินสัญจรที่ถนนแทน เขากับเพื่อนจึงพากันไปประท้วงจุฬาฯ ซึ่งได้รับการแก้ไขจริง มีการขยับเข้าไปในพื้นที่ตัวเองก่อนจะขยับออกมาเหมือนเดิม * นิสิตจุฬาฯ ที่ร่วมฟ้องกล่าวเล่าว่า เพื่อนหลายคนร้องเรียนเรื่องทางเดินเท้าเข้ามาหลายครั้งแล้ว เพราะเวลาเดิน ต้องมาคอยกังวลว่ารถจะชนเขาตอนไหน ทั้งที่ในความเป็นจริง ทางเท้าควรเป็นที่ของคนเดิน ไม่ใช่ของรั้วกั้น เขาจึงทำเอกสารร้องเรียนส่งไปที่สำนักงานเขต เพื่อให้เกิดการแก้ไข แต่กลายเป็นว่าทางจุฬาฯ กลับติดแค่ลูกระนาดลดความเร็ว และปิดป้ายว่าห้ามเดินฝั่งนี้ ให้ไปใช้ทางเดินเท้าฝั่งตรงข้ามแทน กลายเป็นว่าทางเท้าที่เป็นเป็นของคน ตอนนี้เป็นของรั้ว เหลือแต่ถนนให้คนเดินลุ้นชีวิตแทน * การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ค่อนข้างแปลก ในอดีต ตอนก่อสร้างสวนจุฬาฯ 100 ปี เคยมีการร้องเรียนแบบเดียวกัน ซึ่งทางจุฬาฯ ก็ทำทางเดินเท้าให้ แต่ครั้งนี้กลับเงียบเฉย เหมือนไม่ได้สนใจความปลอดภัยของประชาชนจริง ๆ ◼️ความต้องการของประชาชน * นิสิตจุฬาฯ ที่ยื่นฟ้องกล่าวว่า พื้นที่ของจุฬาฯ มีเยอะมาก ซึ่งได้มาเพื่อการส่งเสริมด้านการศึกษา แต่กลายเป็นว่าพื้นที่เพื่อการศึกษาถูกทำให้เป็นพื้นที่หาผลกำไร หากต้องการรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีของนิสิตก็ควรสร้างหอพักนิสิตเพิ่ม เพราะตอนนี้หอในรองรับนิสิตได้ 3,797 คน ขณะที่จำนวนนักศึกษามีเกือบ 50,000 คน หรืออย่างน้อยควรแก้ไขสิ่งที่เรียกร้องสักที ตอนนี้ประชาชนเดือดร้อนกันหมด มีแต่ผู้บริหารที่ยังเหมือนทองไม่รู้ร้อน “หอในตอนนี้อยู่ได้ 3,000 กว่าคน ซึ่งนิสิตจุฬาฯ มีประมาณ 50,000 กว่าคน มันน้อยมาก แล้วหอพัก รอบๆ นิสิตไม่สามารถจ่ายได้แน่นอน ราคาหลักหมื่น ดังนั้นหอในเนี่ย มันควรมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ว่าพื้นที่มากมาย คุณเอาไปทําอะไร เอาไปทําห้าง เอาไปทำคอนโดฯ เพิ่ม ซึ่งราคาสูงแน่นอน ขนาด CU I-House ยัง ราคา 12,000-13,000 บาท คิดดูว่านี่คอนโดฯ สร้างใหม่สูง 50 ชั้น มันจะแพงขนาดไหน” นิสิตจุฬาฯ กล่าว สิ่งที่มหาวิทยาลัยควรทำ คือการดูแลสวัสดิภาพของนิสิต ก่อนที่จะไปหากำไรจากคอนโดฯ “พื้นที่เยอะขนาดนี้ยังเอาไปหาผลกำไรได้ แต่ทำไมไม่เอามาดูแลสวัสดิภาพพวกเราเลย” นิสิตจุฬาฯ กล่าว * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * โครงการพัฒนาพื้นที่หมอน 33 * จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย * ศาลเจ้าแม่ทับทิม * ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง
dlvr.it
November 27, 2025 at 9:16 AM
ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้องคดี ม.112 ’นรินทร์‘ เหตุติดสติกเกอร์ “กูkult" บนรูป ร.10 ในม็อบ19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร
ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้องคดี ม.112 ’นรินทร์‘ เหตุติดสติกเกอร์ “กูkult" บนรูป ร.10 ในม็อบ19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร รายงานและภาพ: แมวส้ม See Think Thu, 2025-11-27 - 14:41 ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้องคดี ม.112 ’นรินทร์‘ เหตุติดสติกเกอร์ “กูkult" บนรูป ร.10 ในม็อบ19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร  27 พ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 9.00 น. ที่ศาลอาญา รัชดาฯ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ “นรินทร์” ในข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังถูกกล่าวหาว่านำสติกเกอร์ “กูkult” ไปติดบนพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 หน้าศาลฎีการะหว่างการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 โดยวันนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนยกฟ้องจำเลย ทำให้คดีสิ้นสุดลง นรินทร์จึงเดินทางกลับบ้านตามเดิม กรณีนี้สืบเนื่องจากมี พ.ต.อ.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้กำกับการ สน.ชนะสงคราม ในขณะนั้น เป็นผู้กล่าวหา โดยคดีถูกสั่งฟ้องต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 25 มี.ค 2564 นรินทร์ให้การปฏิเสธ และต่อสู้คดีว่าไม่ได้เป็นผู้ติดสติกเกอร์ตามที่โจทก์ฟ้อง รวมทั้งต่อสู้ว่าการกระทำดังกล่าวไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 แต่อย่างใด โดยลำพังการติดสติกเกอร์ข้อความดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่น-หมิ่นประมาทได้ ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่านรินทร์มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 3 ปี ก่อนลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับเป็นยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าหลักฐานโจทก์ยังมีพิรุธสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่  ต่อมาอัยการยื่นฎีกา ขณะฝ่ายจำเลยได้ยื่นโต้แย้งฎีกาของโจทก์ขอให้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ก่อนที่จะนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ โดยวันนี้ (27 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 609 นรินทร์เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมแต่งกายด้วยชุดผ้าคลุมสีเขียว  และพร้อมทั้งมีประชาชนมาให้กำลังใจและร่วมฟังคำพิพากษาในวันนี้ โดยก่อนอ่านคำพิพากษา ผู้พิพากษาแจ้งว่าให้ผู้ที่มาฟังคำพิพากษาในคดีนี้นำบัตรประชาชนและพาสปอร์ต (สำหรับชาวต่างชาติ) มาให้ศาลจดชื่อทั้งหมด พบว่าศาลได้จดชื่อลงในท้ายคำพิพากษาว่าได้รับทราบคำพิพากษาแล้ว และให้ผู้ที่มาฟังคำพิพากษาลงชื่อในเอกสารดังกล่าว เวลา 10.29 น. ผู้พิพากษาเริ่มอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยอ่านสั้น ๆ เพียงแค่ว่า ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้องตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไว้ หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จ นรินทร์ ได้แจกแถลงการณ์สิ้นสุดคดีของจำเลย และถ่ายภาพบริเวณหน้าป้ายศาลอาญา ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้าน ทั้งนี้ ขณะผู้สื่อข่าวถ่ายภาพนรินทร์บริเวณบันไดศาลก่อนที่จะขึ้นไปฟังคำพิพากษา แม้ว่าจะแลกบัตรผู้สื่อข่าวต่อศาลแล้ว พบว่ามีเจ้าหน้าที่มาสั่งให้ผู้สื่อข่าวลบภาพและสั่งห้ามเผยแพร่ * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * คดีมาตรา 112 * นรินทร์ * กูkult
dlvr.it
November 27, 2025 at 7:48 AM
สื่อวิเคราะห์ 'เลือกตั้งพม่า' 68 'กองทัพ' คุมกฎ-ชักใย ยุติความขัดแย้งไม่ได้
สื่อวิเคราะห์ 'เลือกตั้งพม่า' 68 'กองทัพ' คุมกฎ-ชักใย ยุติความขัดแย้งไม่ได้ Pazzle Thu, 2025-11-27 - 14:29 สำนักข่าว SHAN วิเคราะห์ต่อให้พรรค USDP นอมินีของกองทัพพม่าชนะ "การเลือกตั้งลวงโลก" ที่กองทัพจัดขึ้นมาเองและล็อกผลเอาไว้แล้ว การสู้รบในประเทศก็ยังคงจะดำเนินต่อไป โดยการเลือกตั้งในครั้งนี้ถูกมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่จะกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลทหารพม่าเท่านั้น เนื่องจากมีการยุบพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยและจับกุมแกนนำ ในขณะที่พรรคฝ่ายทหารมีอำนาจ ทุน และทรัพยากรล้นมือ   27 พ.ย. 2568 คณะกรรมการความมั่นคงและสันติภาพแห่งรัฐ หรือ SSPC เป็นชื่อขอคณะเผด็จการทหารพม่า ได้วางแผนที่จะจัดการเลือกตั้งในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งก็ใกล้เข้ามาทุกที มีการประเมินว่าการเลือกตั้งนี้จะให้คุณหรือโทษกับฝ่ายใดบ้าง สำนักข่าว SHAN ได้วิเคราะห์ว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือการที่พรรคตัวเต็งอย่างพรรคสหสามัคคีเพื่อการพัฒนา หรือ USDP น่าจะกลายเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง จากเดิมที่พรรคนี้เคยเป็นพรรคนอมินีของเผด็จการทหาร แต่ตอนนี้เริ่มกลายเป็นพรรคที่ได้รับการหนุนหลังจากกองทัพพม่าโดยตรงอย่างเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น และได้กลายเป็นช่องทางในการที่เผด็จการทหารพม่าจะใช้สร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง พรรคสหสามัคคีเพื่อการพัฒนาหรือ USDP นั้นเป็นพรรคที่ก่อตั้งเมื่อปี 2553 ในฐานะที่เป็นผู้รับไม้ต่อจาก สมาคมสหสามัคคีและการพัฒนา หรือ USDA โดยที่ในการเลือกตั้งปี 2553 พรรค USDP ชนะการเลือกตั้งแต่ก็มีข้อครหาเรื่องการโกงการเลือกตั้งด้วยวิธีการนับคะแนนที่ไม่ถูกต้องของกองทัพพม่า แต่ในปี 2558 พรรค USDP ก็พ่ายแพ้อย่างขาดลอยต่อพรรคฝ่ายประชาธิปไตยชื่อพรรค สันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือ NLD มาถึงปี 2563 พรรค USDP ก็พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอีกครั้ง โดยที่คราวนี้ตามมาด้วยการก่อรัฐประหารโดยกองทัพเพื่อยึดอำนาจจากพรรค NLD และในปี 2568 ก็มีการวางแผนจัดเลือกตั้งอีกครั้ง แต่เป็นการจัดเลือกตั้งท่ามกลางการปราบปรามและยุบพรรคการเมืองฝ่ายต่อต้านคณะรัฐประหารอย่างพรรค NLD พรรคที่มาจากทหารตัวแทนของกองทัพพม่า พรรค USDP ได้รับการก่อตั้งโดย เต็งเส่ง อดีตนายพลกองทัพพม่า ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงอื่นๆ เพื่อรับช่วงต่อจาก USDA ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนรัฐบาลทหารที่ตั้งขึ้นเพื่อรักษาอำนาจกองทัพและเพื่อการควบคุมทางการเมืองในพม่า โดยพวกเขามักจะใช้วิธีการแบบรัฐบาลทหารคือใช้ความรุนแรงต่อศัตรูทางการเมืองของตัวเอง แล้ว USDP ก็ได้รับทรัพยากร อิทธิพลทางการเมือง อำนาจในการบีบเค้นคนกลุ่มอื่นๆ สืบทอดต่อมาจาก USDA ทั้งนี้ อุดมการณ์ของ USDP ก็ตั้งอยู่บนแนวคิดแบบชาตินิยมสุดขั้ว, ทหารนิยม และอนุรักษ์นิยม ในตอนที่พรรค USDP ถูกกล่าวหาว่าโกงการเลือกตั้งในปี 2553 นั้น มีพรรคฝ่ายต่อต้านจำนวนมากที่บอยคอตต์การเลือกตั้งที่ถูกมองว่า "ลวงโลก" ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ที่ฝ่ายกองทัพอ้างว่าจะเปลี่ยนการเมืองพม่าสู่รัฐบาลพลเรือน ในปี 2558 ชัยชนะในการเลือกตั้งตกเป็นของพรรค NLD ที่นำโดยอองซานซูจี ส่วนพรรค USDP ได้ที่นั่งร้อยละ 8.4 เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนลดลง ในปี 2563 พรรค NLD ก็ชนะเลือกตั้งแบบขาดลอย จนกระทั่งในปี 2564 กองทัพพม่าก็อ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งแล้วก็ก่อรัฐประหาร มีการจับตัวแกนนำหลักของพรรค NLD อย่างเช่นอองซานซูจี และนำระบอบการปกครองแบบเผด็จการทหารกลับมาอีกครั้ง เรื่องที่เกี่ยวข้อง * กองทัพพม่าใช้กฎหมายคุ้มครองเลือกตั้ง จับคนวิจารณ์ไป 88 ราย * 'ศิรดา' ตั้งคำถามรัฐบาลทหารพม่า 'จัดเลือกตั้ง' แก้ปัญหาการเมืองได้จริงหรือไม่ * 'ณัฐพล' ชี้ พม่าจัดเลือกตั้ง มุ่งสืบทอดอำนาจ-ลดแรงกดดันภายในกองทัพ * 'ฟูอาดี้' เตือน เลือกตั้งพม่าเร่งความรุนแรง รัฐไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ฝ่าย USDP ใช้งบรัฐหาเสียงได้ แต่พรรคอื่นถูกตัดสิทธิ ในขณะเดียวกันพรรค USDP ก็ดูจะเป็นพรรคที่ฝักรากตัวเองให้เป็นนอมินีของกองทัพลึกขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยทรัพยากรจากทั้งของภาครัฐและของอดีตนายทหารระดับสูง มีการออกแถลงการณ์ที่ดุเดือดสะท้อนให้เห็นถึงการยึดมั่นในอุดมการณ์แบบชาตินิยมสุดขั้ว ในขณะเดียวกันก็ได้รับการเสริมแรงจากการใช้กำลังปราบปรามจับกุมคนเห็นต่างโดยกองทัพพม่า การที่พรรค USDP เชื่อมโยงกับกองทัพพม่ากลายเป็นเครื่องการันตีว่าพวกเขาจะสามารถคงอำนาจนำในการปรับโฉมภูมิศาสตร์การเมืองพม่าได้ แม้จะต้องใช้การขู่บังคับและการถูกนานาชาติมองอย่างสงสัย ประวัติที่ผ่านมาของพรรค USDP สะท้อนบรรยากาศทางการเมืองอันแสนวุ่นวายของพม่าที่มีกองทัพครอบงำและถูกลิดรอนประชาธิปไตยมาโดยตลอด อีกทั้งตัวของพรรคนี้ก็สะท้อนแนวทางการเมืองของตัวเอง ในแบบที่เอื้อให้กองทัพพม่าสามารถฝังรากอำนาจอิทธิพลทางการเมืองของพม่าได้ แต่การเลือกตั้งที่จัดโดยกองทัพพม่าก็มีเรื่องให้กังขาด้านความเป็นธรรม เพราะการที่ USDP และเผด็จการทหารพม่าสามารถใช้งบประมาณแผ่นดินไปกับการหาเสียงเลือกตั้งและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ในขณะที่ถ้าหากมีพรรคการเมืองอื่นๆ ใช้งบประมาณรัฐหรือทรัพยากรอะไรสักอย่างเช่นอาคารสถานที่ของรัฐบาลแม้แต่นิดเดียวก็จะถูกสั่งตัดสิทธิ์การลงเลือกตั้งทันที การเลือกตั้งที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 ธ.ค. 2568 พรรค USDP ดูจะกลายเป็นตัวเต็งหลักที่จะได้รับชัยชนะ หลังจากที่มีการยุบพรรคฝ่ายต่อต้านจำนวนมากรวมถึงพรรค NLD การจัดเลือกตั้งโดยเผด็จการทหารพม่าในครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย และมีผู้สังเกตการณ์จากต่างชาติที่บอกว่าเป็นการเลือกตั้งลวงโลกที่หวังจะใช้เป็นเครื่องมือให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาลทหารเท่านั้น เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี หรือ ANFREL เคยออกรายงานเรื่องการจัดเลือกตั้ง 28 ธันวาคม โดยกองทัพพม่าว่า ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ขาดความน่าเชื่อถือ ขาดความชอบธรรม มีการจับกุมกกต.ชุดเดิมไปขัง ก่อนที่จะแต่งตั้ง กกต. จากฝ่ายสนับสนุนกองทัพ นอกจากนี้ยังใช้มาตรการควบคุมอย่างมาก เพื่อให้เหลือแต่พรรคฝ่ายสนับสนุนทหารลงชิงชัยในการเลือกตั้ง อีกทั้งยังมีการสอดแนมพลเมือง จำกัดสิทธิคนเห็นต่างด้วย มีการเล่นงานแม้กระทั่งผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งในครั้งนี้ว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม โดยการออกกฎหมายที่เรียกว่า "กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้ง" โดยแท้จริงแล้วเป็นกฎหมายที่ใช้ปราบปรามแสดงวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความไม่พอใจต่อการจัดการเลือกตั้งโดยกองทัพพม่า ฝ่ายรัฐบาลทหารอ้างว่าพวกเขาได้ใช้กฎหมายนี้จับกุมประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 88 ราย เมื่อการเลือกตั้งเดือนธันวาคมใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นอกเหนือจากองค์กรอย่าง ANFREL และประชาชนทั่วไปในประเทศแล้ว องค์กรนานาชาติอื่นๆ ก็มีความกังขาต่อกระบวนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้เช่นกัน ว่าจะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมจริงหรือไม่ อันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวถึงประเด็นเลือกตั้งพม่าในที่ประชุมแถลงข่าวอาเซียนซัมมิทว่า "ผมไม่คิดว่าจะมีใครเลยเชื่อว่าการเลือกตั้ง(ที่จัดโดยกองทัพพม่า)จะเสรีและยุติธรรม ผมไม่คิดว่าจะมีใครเลยที่เชื่อว่าการเลือกตั้งเหล่านี้จะสามารถแก้ไขปัญหาในพม่าได้ นี่เป็นเวลาที่ต้องมีการเพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมากขึ้น และความรุนแรงควรจะต้องยุติ ในขณะเดียวกันก็ควรจะต้องมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไปสู่การปกครองโดยพลเรือนและมีการเคารพต่อรัฐบาลที่มีที่มาตามหลักรัฐธรรมนูญด้วย" โฟลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เคยกล่าวให้สัมภาษณ์ในสื่อว่า "มันเป็นเรื่องที่นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะจัดการเลือกตั้งภายใต้สภาพเช่นนี้ได้อย่างไร ใครจะบอกได้ว่าการเลือกตั้งนี้เสรีและเป็นธรรม พวกเขาจะจัดการเลือกตั้งได้อย่างไรในตอนที่มีพื้นที่จำนวนมากของประเทศไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของคนใดคนหนึ่ง พวกเขาจะจัดการเลือกตั้งได้อย่างไรเมื่อกองทัพเองก็เป็นผู้มีส่วนในความขัดแย้งแล้วก็ทำการกดขี่ประชาชนของตัวเองมาเป็นเวลาหลายปี" ทอม แอนดรูวส์ ผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนในพม่ามองว่า การเลือกตั้งที่จัดโดยกองทัพพม่าในครั้งนี้นับเป็นการเลือกตั้งลวงโลกอย่างเห็นได้ชัด แอนดรูวส์กล่าววา "คุณไม่สามารถมีการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมได้เมื่อผู้นำฝ่ายต่อต้านถูกจับกุม, ควบคุมตัว, คุมขัง, ทารุณกรรม" นอกจากนี้รัฐมนตรีต่างประเทศจากนิวซีแลนด์และสิงคโปร์ ก็แสดงความกังวลอย่างมากต่อการเลือกตั้งในสภาพที่อยู่ภายใต้ความไม่มั่นคงและยังคงเกิดความรุนแรงภายในประเทศด้วย อันนาเลนา แบร์บ็อค ประธานที่ประชุมของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งที่ 80 แถลงถึงจุดยืนเรื่องการเลือกตั้งในพม่าเช่นกัน โดยระบุว่ามตินานาชาติซึ่งพิจารณาตามหลักการสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยแล้วเห็นว่าแผนการจัดเลือกตั้งโดยเผด็จการทหารพม่านั้น นับเป็น "เรื่องลวงโลก" นอกจากนี้ยังยังเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของยูเอ็นเพราะมีการกีดกันพรรคการเมืองอย่างเอ็นแอลดี และมีการคุมขังผู้นำรัฐบาลพลเรือน รวมถึงมีการจัดในช่วงเดียวกับที่มีสงครามกลางเมือง คำแถลงจุดยืนโดยแบร์บ็อคจึงขอให้พม่าเน้นการสร้างสันติภาพผ่านทางการเจรจาที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายเสียก่อน ถึงค่อยจัดการเลือกตั้ง โดยที่กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติบอกว่า ไม่มีใครเชื่อว่าการเลือกตั้งจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในพม่าตอนนี้ได้ ระบบเลือกตั้งใหม่เอื้อกองทัพครองอำนาจในสภา หลังจากที่มีการรัฐประหารปี 2564 มันก็ได้นำพาพม่าไปสู่ภาวะสงครามกลางเมืองหลังจากที่การประท้วงโดยสันติถูกปราบปรามอย่างรุนแรงโดยกองทัพพม่า มีหลายพื้นที่ที่ยังคงมีความขัดแย้งระหว่างสภากองทัพพม่ากับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังพิทักษ์ประชาชน หรือกองกำลังชาติพันธุ์บางส่วน ก่อนหน้านี้มินอ่องหล่าย ผู้นำเผด็จการทหารได้เสนอว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือน สิงหาคม 2566 แต่ก็มีการเลื่อนออกไปหลายครั้งเนื่องจากมีการสู้รบเกิดขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญพม่ากำหนดให้ต้องมีการจัดเลือกตั้งภายใน 6 เดือน หลังจากที่สิ้นสุดการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ถึงแม้ว่าจะเลื่อนมาหลายครั้งแล้ว แต่รักษาการประธานาธิบดีจาคณะรัฐประหารก็ได้หมดวาระเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 และต่อมากองทัพพม่าก็ได้เสนอวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ในเฟสแรก และวันที่ 11 มกราคม 2569 ในเฟสที่สอง กองทัพพม่าได้ออกกฎหมายการเลือกตั้งใหม่ที่เพิ่มข้อจำกัดในการจดทะเบียนมากขึ้น ห้ามกลุ่มคนที่มีคดีความลงสมัครรับเลือกตั้ง ทำให้พรรค NLD และเหล่าผู้นำพรรคถูกแบนไปโดยปริยาย อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบการพิจารณาคะแนนเสียงจากระบบแบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด หรือ FPTP มาเป็นระบบสัดส่วน ก็ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าจะยิ่งทำให้พรรค USDP มีอำนาจในสภามากขึ้น และทำให้พรรคฝ่ายต่อต้านส่วนใหญ่อ่อนแอลง เพราะจะทำให้กองทัพพม่าปกครองได้แม้จะมีคะแนนเสียงป็อบปูลาร์โหวตเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ชาวพม่าคิดเห็นอย่างไรกับการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการทำสำรวจวิจัยความคิดเห็นประชาชนชาวพม่าทั้งที่อยู่ในพม่าและชาวพม่าพลัดถิ่นในต่างประเทศ ซึ่งเป็นการวิจัยจากพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง องค์กรติดอาวุธ หรือรัฐบาลใดๆ ผู้จัดทำการสำรวจคือกลุ่มภาคประชาสังคมต่างๆ เช่น กลุ่มแพลตฟอร์มปอร์พีเพิลมูฟเมนต์ ที่เป็นเครือข่ายพลเรือนพม่า รวมถึงกลุ่มชุมชนชาวพม่าในต่างประเทศรวม 20 ประเทศ ผลการสำรวจออกมาชัดเจนว่าพลเรือนชาวพม่าส่วนใหญ่ร้อยละ 98 มองว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้จะไม่แก้ไขปัญหาทางการเมืองหรือปัญหาวิกฤตด้านมนุษยธรรมใดๆ ร้อยละ 98 มองว่ามันจะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ยุติธรรมละไร้ความชอบธรรม มีร้อยละ 96 ที่บอกว่าพวกเขาจะไม่ไปลงคะแนนในกระบวนการที่นำโดยกองทัพพม่า บทวิเคราะห์จาก SHAN มองว่าประเทศอย่าง จีน, อินเดีย, รัสเซีย และบางประเทศในอาเซียน อาจจะให้การสนับสนุนหรือยอมรับเป็นนัยต่อการเลือกตั้งที่จัดโดยกองทัพพม่า แต่ประชาคมโลกในวงกว้างรวมถึงยูเอ็นจะไม่ยอมรับการเลือกตั้งและการปกครองของเผด็จการทหาร ซึ่งอาจจะนำมาสู่การโดดเดี่ยวพม่าทางการทูตมากกว่าเดิม เป็นการซ้ำเติมปัญหาด้านเศรษฐกิจสังคมยิ่งกว่าเก่า อีกทั้งถ้าหากเผด็จการพม่าชักใยระบบการเลือกตั้งสำเร็จจนตัวเองเข้ามามีอำนาจอีกครั้งได้ผ่านช่องทางพรรค USDP พวกเขาก็จะยังคงปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารต่อไปโดยแสร้งว่าเป็นประชาธิปไตย แล้วปัญหาความยากลำบากทางเศรษฐกิจ การคว่ำบาตรจากต่างชาติ การต่อต้านจากประชาชน ก็จะยิ่งทำให้สังคมแตกแยกเต็มไปด้วยความขัดแย้งมากกว่าเดิม กลายเป็นวงจรการปราบปรามสลับกับการต่อต้านแข็งขืนไปเรื่อยๆ ทำให้เสถียรภาพพม่าดูจะเป็นแค่ความหวังริบหรี่   เรียบเรียงจาก MYANMAR MILITARY’S SHAM ELECTIONS: USDP programmed to win but nationwide armed conflict will definitely continue, SHAN, 17-11-2025 https://english.shannews.org/archives/28860 กองทัพพม่าใช้กฎหมายคุ้มครองเลือกตั้ง จับคนวิจารณ์ไป 88 ราย https://prachatai.com/journal/2025/11/115397 ANFREL ออกรายงานระบุรัฐบาลทหารพม่าจัดเลือกตั้งขาดความชอบธรรมhttps://prachatai.com/journal/2025/09/114900 https://en.wikipedia.org/wiki/2025%E2%80%9326_Myanmar_general_election * รายงานพิเศษ * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * การเลือกตั้งพม่า 2568 * การเลือกตั้ง * สภากองทัพพม่า * เผด็จการทหาร * พรรคสหสามัคคีเพื่อการพัฒนา * USDP * พม่า
dlvr.it
November 27, 2025 at 7:39 AM
พลตรี หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล สิ้นชีพิตักษัยอย่างสงบ สิริชันษา 78 ปี
พลตรี หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล สิ้นชีพิตักษัยอย่างสงบ สิริชันษา 78 ปี See Think Thu, 2025-11-27 - 13:13 วันที่ 27 พ.ย. 68 เพจเฟซบุ๊ก "จุลเจิม ยุคล" โพสต์ข้อความว่า พลตรี หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล ได้สิ้นชีพิตักษัยอย่างสงบ ณ บ้านพัก อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเวลา 08.13 น. วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 สิริชันษา 78 ปี เรื่องที่เกี่ยวข้อง * โปรดเกล้าฯ ปรับลดชั้นยศ 'จุลเจิม ยุคล' จาก พลเอก เป็น พลตรี ไม่ปรากฏชื่อผู้ลงนามรับสนองฯ * ‘จุลเจิม’ โพสต์ขอบคุณ ‘เจ้าคุณพระฯ’ กรุณามอบนาฬิกาไม้จากเยอรมนี * 'จุลเจิม' ขู่ 'เอกชัย' มีสิทธิตายหรือติดคุก หลังโพสต์ต่อว่า ผบ.ทบ.ไล่คนไม่เอากษัตริย์ออกประเทศ * จุลเจิม โพสต์ภาพ ‘นักตบสาวไทยชู 3 นิ้ว’ ถามทำเอาใจใคร เฉลยเป็นภาพเก่า แค่ส่งซิกตอนแข่ง   * ข่าว * การเมือง * จุลเจิม ยุคล
dlvr.it
November 27, 2025 at 6:23 AM
ชูวิทย์ วิจารณ์ภาวะผู้นำอนุทินในวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่
ชูวิทย์ วิจารณ์ภาวะผู้นำอนุทินในวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ See Think Thu, 2025-11-27 - 12:30 วานนี้ (26 พ.ย.) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดังโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเพจที่ชื่อว่า ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ วิพากษ์วิจารณ์ภาวะผู้นำของอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในการบริหารจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ โดยโพสต์ดังกล่าวมียอดผู้กดไลก์กว่า 1.9 หมื่น ยอดแชร์ 2.1 พัน และคอมเมนต์กว่า 1.7 พัน โพสต์ดังกล่าวของชูวิทย์มีเนื้อหาระบุว่า วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ กับภาวะผู้นำของอนุทิน ทุกครั้งที่มีวิกฤตเกิดขึ้น จะเป็นบทพิสูจน์ถึงภาวะผู้นำประเทศเสมอ ในภาวะปกติ ผู้นำจะทำพูด แสดงท่าทีสวยหรูอย่างไรย่อมทำได้ จึงขอให้ดูภาวะผู้นำของนายกฯ อนุทิน กับการบริหารจัดการน้ำท่วมที่หาดใหญ่ครั้งนี้ นายกอนุทินฯ ลงพื้นที่หาดใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แล้วรีบกลับมากรุงเทพฯ วันอาทิตย์ เพื่อเปิดตัว ส.ส. ที่ดูดมาเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย จากนั้นลงไปอีกครั้งในวันเดียวกัน ด้วยลีลานักการเมือง ขึ้นรถ ตรวจงาน แจกของ ส่งอาหาร ผัดกับข้าวโชว์ พร้อมประกาศว่า “น้ำท่วมหาดใหญ่วันอังคารจะลดลง สามารถควบคุมได้ จบแล้ว” แต่หารู้ไม่ การเป็นผู้นำต้องมีข้อมูลรอบด้าน ประมวลไม่ครบ ประเมินไม่ถูก โพสต์ดังกล่าวระบุอีกว่า ครั้งนี้หาดใหญ่มีน้ำมา 2 ระลอก โดยรอบแรกจากคอหงษ์ ประกอบกับฝนตกมาตลอดตั้งแต่วันพุธที่ 19 พ.ย. ต่อเนื่องถึงวันเสาร์ที่ 22 พ.ย. และรอบสองน้ำมาจากสะเดา เมื่อผู้นำพูดไปในวันอาทิตย์โดยไม่มีข้อมูล ไม่เอาใจใส่ ไม่ศึกษา ในคืนวันอาทิตย์เที่ยงคืนนั่นเอง มวลน้ำขนาดมหึมาไหลบ่าเข้าหาดใหญ่ สวนทางกับที่นายกฯ อนุทินบอก วันจันทร์น้ำท่วมมิดโดยไม่มีการประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้า เพราะลั่นไว้ว่า “ไม่มีปัญหา” ชาวบ้านจึงไม่มีใครระวังตัว ติดอยู่ในพื้นที่เกือบแสนคน ร้องระงมขอความช่วยเหลือ เหตุการณ์หนักต่อเนื่องไปถึงคืนวันจันทร์ที่ 24 พ.ย. รัฐบาลประกาศอพยพในวันที่น้ำท่วมเต็มพื้นที่แล้ว จะอพยพด้วยอะไร? ในเมื่อทุกคนติดอยู่ในบ้าน ไม่มีข้าว ไม่มีน้ำ ขาดการติดต่อสื่อสาร การประกาศอพยพต้องมาก่อนล่วงหน้า ไม่ใช่ปล่อยให้ท่วมหนักแล้วค่อยมาบอก โพสต์ดังกล่าวระบุอีกว่า นายกฯ อนุทินมอบหมายให้ “ธรรมนัส“ เป็นผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) มีการประชุมวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ แต่ไม่มีธรรมนัส ตอบ นายกฯ ยังคิดว่า “ธรรมนัสอยู่หาดใหญ่” ทั้งๆ ที่ตัวธรรมนัสไปอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นคนสั่งแต่งตั้งเองแท้ๆ แต่ยังไม่รู้ว่าธรรมนัสอยู่ไหน? เมื่อธรรมนัสอยู่เหนือ แต่ไปแต่งตั้งให้อำนวยการน้ำท่วมที่ภาคใต้ อย่างนี้จะไปบริหารจัดการอะไรได้? นี่เป็น “วิกฤตมหาอุทกภัยหาดใหญ่“ แต่ต่อมเอ๊ะไม่มี กระตุกไม่รู้เรื่อง ยังคิดว่าเป็นน้ำท่วมปกติ ทั้งที่ล้อมรอบด้วยผู้เชี่ยวชาญงบประมาณ ใช้เวลาพิจารณางบแข่งขัน MotoGP รวดเร็ว 5 วัน ฟาดไป 4,000 ล้าน ตอนที่บอกว่า “โควิดกระจอก” ก็ปากไวจนพาพังมาแล้ว อย่างนี้ทำงานเป็นหรือเปล่า? ชาวบ้านคิดเอาเอง ภาวะผู้นำต้องรู้ ต้องบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ตั้ง “วอร์รูมบัญชาการ” พร้อมผู้เชี่ยวชาญครบทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉลี่ยให้อำนาจกันจนครบ ทั้งข้าราชการ ทหาร นักการเมือง แต่ไม่รู้ใครสั่งการใหญ่สุด ยิ่งทำงานลำบากขึ้นไปอีก ต้องวางแผนงานลำดับขั้นตอนการสั่งการให้เป็นระบบล่วงหน้า ไม่ใช่มาต่างคนต่างสั่งเอาตอนท่วมหนัก เพราะทุกอย่างมันลอยไปที่หาดใหญ่ไม่ได้ในทันที นี่คือเหตุที่คนอย่าง “เปิ้ล นาคร หรือ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์“ ถึงกับต้องพูดออกมาจากใจพร้อมน้ำตาว่า ”มันไม่ไหวแล้ว“ และเมื่อธรรมนัสมาด้วยสไตล์นักการเมืองอีกคน ก็แจกของพร้อมโวยวายว่า “เรือมีพอ ทำไมไม่ไป?” เสียงร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือของชาวบ้านจึงดังระงมท่ามกลางความโกลาหล ด้วยการบริหารจัดการของท่านผู้นำสาย “สุขนิยม” ที่มาเผชิญหน้ากับ “วิกฤตน้ำท่วมหนักที่หาดใหญ่” เราจึงรู้ว่านายกฯ หนู ทำงานไม่เป็น และไม่มีข้อมูลในการแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ที่สำคัญ ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อเจอกับของจริงอย่างภัยธรรมชาติ ยังรับมือไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ไม่รู้แม้กระทั่งต้องทำอย่างไร ประชาชนได้เห็นเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า “ภาวะผู้นำ“ มีขนาดไหน เพราะที่ผ่านมา “อุ้มบุญ” มาตลอด แต่งานนี้จะทำให้ประชาชนตาสว่าง แล้วเห็นเอาเองตามไทม์ไลน์คำพูดท่าทีของนายกฯ ที่ชื่ออนุทินว่าเหมาะสมจะเป็นนายกฯ ต่ออีกสมัยหรือไม่? ไม่วิจารณ์มากกว่านี้ ดูเอาเองแล้วกัน ชูวิทย์ระบุเพิ่มเติมในช่องคอมเมนต์อีกว่า นายกฯ ควบ รัฐมนตรีมหาดไทย ต้องเป็นผู้บัญชาการสถานการณ์ รับตั้งแต่ต้นทางสั่งการแก้ปัญหา ไปยันปลายทางเยียวยา แต่ไปตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่ไม่รู้ใครเป็นใครในมหาดไทย จะไปสั่งใครได้? ตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย ไม่ใช่มีไว้ย้ายผู้ว่าฯ เท่านั้น วันนี้ยังไปถ่ายหนังแจกของอีกแล้ว ทำได้แค่นี้หรือครับ? * ข่าว * การเมือง * คุณภาพชีวิต * น้ำท่วมหาดใหญ่ * น้ำท่วม * หาดใหญ่ * อนุทิน ชาญวีรกูล * ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
dlvr.it
November 27, 2025 at 6:09 AM
ศาลอุทธรณ์ยืนตามชั้นต้น ส่งตัว 'อี ควิน เบดั๊บ' ผู้ลี้ภัยมองตานญาด กลับไปรับโทษที่เวียดนาม
ศาลอุทธรณ์ยืนตามชั้นต้น ส่งตัว 'อี ควิน เบดั๊บ' ผู้ลี้ภัยมองตานญาด กลับไปรับโทษที่เวียดนาม XmasUser Thu, 2025-11-27 - 11:44 สรุป คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น สั่งควบคุมตัว 'อี ควิน เบดั๊บ' ผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาด เพื่อส่งไปรับโทษที่เวียดนาม ศาลมองหลักฐานไม่พอให้เชื่อได้ว่า การส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับไปจะทำให้เขาต้องเผชิญอันตรายที่ประเทศต้นทาง ทีมทนายเตรียมร่างหนังสือถึงนายกฯ ยุติการส่งตัวกลับ หวั่นซ้ำรอยอุยกูร์   27 พ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวานนี้ (26 พ.ย.) เวลาประมาณ 14.00 น. ที่ศาลอาญา รัชดาฯ ห้องพิจารณาคดี 608 ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กรณีสำนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ มีคำร้องส่งตัว อี ควิน เบดั๊บ (Y Quynh Bdap) ผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาด และนักสิทธิเสรีภาพการนับถือศาสนา กลับไปรับโทษทางอาญาที่ประเทศเวียดนาม ตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยก่อนหน้านี้เมื่อ 30 ก.ย. 2567 ศาลชั้นต้น เคยมีคำสั่งขังอี ควิน เบดั๊บ เพื่อรอให้รัฐบาลตัดสินใจส่งตัวกลับประเทศเวียดนาม  เรื่องที่เกี่ยวข้อง * ศาลไทยสั่งขัง 'ผู้ลี้ภัยนักปกป้องสิทธิ' รอรัฐบาลชี้ขาด ส่งกลับเวียดนามหรือไม่   สำหรับคดีนี้ได้รับความสนใจจากนานาชาติอย่างมาก เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตประเทศต่างๆ องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรระหว่างประเทศ และบุคคลทั่วไป เข้าร่วมสังเกตการณ์การอ่านคำพิพากษาวันนี้ จนเก้าอี้ในห้องพิจารณาคดีไม่พอนั่ง และต้องมีคนยืนฟังคำพิพากษาตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ 'อี ควิน เบดั๊บ' เป็นใคร ? อี ควิน เบดั๊บ เป็นชาวมองตานญาด อายุ 32 ปี รูปร่างเล็ก อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบสูง จังหวัดดั๊กลัก ตอนกลางของเวียดนาม เขาอธิบายในคำขอคัดค้านการส่งกลับว่า คนที่นั่นส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ และมักประกอบศาสนกิจที่โบสถ์บ้าน เรื่องนี้ทำให้ชาวมองตานญาดถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะแม้ว่า รธน.เวียดนามจะให้เสรีภาพการนับถือศาสนา แต่ในทางปฏิบัติ รัฐกลับมีข้อจำกัดในการนับถือศาสนา และต้องประกอบศาสนกิจในสถานที่ที่รัฐกำหนดเท่านั้น หากฝ่าฝืน รัฐบาลจะมองว่าคุณกำลังซ่องสุมวางแผนที่จะเป็นปฏิปักษ์กับรัฐ ตัวของอี ควิน เบดั๊บ ให้การว่า เมื่อปี 2553 เขาเคยถูกจำคุกเป็นเวลา 5 เดือน เนื่องจากไปร่วมชุมนุมเรียกร้องเสรีภาพในการนับถือศาสนา และให้รัฐบาลปล่อยตัวชาวมองตานญาดที่ถูกจับกุมจากเรื่องการนับถือศาสนา ซึ่งช่วงที่อยู่ในเรือนจำ เขาต้องเผชิญกับการถูกทำร้ายร่างกาย ไม่ให้ญาติเข้าเยี่ยม และถูกขู่บังคับสูญหาย ปี 2556 ผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาดเคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว เนื่องจากประกอบศาสนพิธีที่โบสถ์บ้าน โดยอ้างว่าเป็นการสร้างความเสียหายแก่รัฐ และเมื่อถูกปล่อยตัวก็ยังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามอยู่ตลอด ปี 2559 อี ควิน เบดั๊บ เคยถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจโดยไม่มีการตั้งข้อหา เป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากเขาเดินทางไปในประเทศไทย เพื่อร่วมกิจกรรมอบรมเกี่ยวกับเสรีภาพทางศาสนา และหลังจากถูกปล่อยตัว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหาเขาที่บ้าน เพื่อชักชวนให้เลิกนับถือศาสนา และยุติการประกอบศาสนพิธี เมื่อเขาปฏิเสธก็จะถูกทำร้ายร่างกาย และขู่ว่าจะทำให้เขาหายไป รวมถึงถูกค้นบ้านและยึดมือถือไปด้วย  ด้วยความกลัวว่าจะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต อี ควิน เบดั๊บ เลยตัดสินใจลี้ภัยมายังประเทศไทยเมื่อปี 2561 และในเวลาต่อมา เขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประจำประเทศไทย ก่อนที่เมื่อ มิ.ย. 2567 เบดั๊บ ถูกควบคุมตัวในประเทศไทย ตามคำขอของรัฐบาลเวียดนาม ยืนตามศาลชั้นต้น  สำหรับคดีของอี ควิน เบดั๊บ เขาถูกทางการเวียดนามกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปลุกระดม และสั่งการผ่านทางออนไลน์ ให้คนก่อจลาจลด้วยอาวุธที่สถานีตำรวจ และที่ทำการตำบล ในจังหวัดดั๊กลัก เมื่อ มิ.ย. 2566 จนมีผู้เสียชีวิต 9 ราย รวมถึงตำรวจ และเจ้าหน้าที่ตำบล และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 2 ราย ต่อมา ศาลประชาชนจังหวัดดั๊กลัก ได้พิจารณาคดีและมีคำพิพากษาลับหลัง (เนื่องจากอี ควิน เบดั๊บ อยู่นอกประเทศเวียดนาม) ลงโทษอี ควิน เบดั๊บ ข้อหาร่วมกันก่อการร้าย มีโทษจำคุก 10 ปี ซึ่งตัวเขาให้การปฏิเสธมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว ชั้นอุทธรณ์ อี ควิน เบดั๊บ สู้คดีโดยขอให้มีการเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้สั่งขังเพื่อรอส่งกลับประเทศเวียดนาม เพราะขัดต่อ พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยเขาระบุว่าคดีที่เขาถูกกล่าวหาเข้าข่ายคดีการเมือง อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ส่งตัวอี ควิน เบดั๊บ ผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาด กลับไปรับโทษที่ประเทศเวียดนาม โดยให้เหตุผลประกอบว่า แม้ว่าทางจำเลยจะสู้ว่าคดีก่อการร้ายเป็นคดีการเมือง ไม่ใช่คดีอาญา แต่ศาลอุทธรณ์ให้น้ำหนักกับความเห็นพยานฝ่ายโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ของ กต. ที่ระบุว่าคดีของอี ควิน เบดั๊บ ไม่เข้าข่ายคดีทางการเมือง แต่เป็นคดีอาญาทั่วไป แม้ว่าไทยและเวียดนามจะไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ทางการเวียดนามสามารถส่งหนังสือทางการทูตร้องขอความร่วมมือมายัง กต.ไทย ให้มีการพิจารณาให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่เป็นคดีการเมืองหรือเกี่ยวกับทหาร และคดียังไม่ขาดอายุความ นอกจากนี้ สถานะผู้ลี้ภัยของ UNHCR ก็ไม่ได้เป็นข้องดเว้นตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดนของไทยอีกด้วย ส่วนกรณีที่อี ควิน เบดั๊บ สู้ว่าการส่งกลับไปประเทศเวียดนาม "มีเหตุให้เชื่อได้ว่า" จะทำให้ตัวของเขาตกอยู่ในอันตราย ถูกซ้อมทรมาน และถูกบังคับสูญหายนั้น ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องของทางการเวียดนาม โดยทางเวียดนามให้การรับรองว่าหากมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ตัวของอี ควิน เบดั๊บ จะได้รับความคุ้มครองตามหลักสากล และมีสิทธิตรวจสอบคำพิพากษาของศาลได้ กรณีที่อี ควิน เบดั๊บ อ้างว่าเคยถูกทำร้ายร่างกายระหว่างอยู่ในเรือนจำช่วงปี 2555-2559 ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่าจำเลยยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด และเมื่อประกอบกับหนังสือของกระทรวงความมั่นคงเวียดนามแล้ว จึงมองว่าคำกล่าวอ้างของจำเลยยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าจำเลยจะตกอยู่ในอันตราย หรือถูกทำให้สูญหายเมื่อถูกส่งตัวกลับ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จึงยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปประเทศเวียดนาม ส่งผลให้คดีเป็นที่สิ้นสุด ทำให้รัฐบาลไทยมีสิทธิอนุญาตส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นทาง ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า แม้ว่าฝั่งจำเลยจะมีพยานผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ความเห็นและข้อมูลสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศเวียดนามก็ตาม แต่ดูเหมือนศาลจะไม่ได้ให้น้ำหนักในการพิจารณาในส่วนนี้เท่าใดนัก และมีการแจ้งนัดฟังคำพิพากษาที่ค่อนข้างกระชั้นชิด หรือ 1 วันก่อนนัดหมายเท่านั้น คอรีเยาะ มานุแช ทนายความของอี ควิน เบดั๊บ ให้สัมภาษณ์หลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยกล่าวว่า ตอนนี้อี ควิน เบดั๊บ อาจจะถูกส่งกลับไปที่เวียดนาม เพื่อรับโทษตามคำพิพากษาของศาลเวียดนามได้ตลอดเวลา  คอรีเยาะ มานุแช ต่อประเด็นที่สื่อถามว่า กรณีที่ศาลอุทธรณ์มีความเห็นว่า หลักฐานที่ตัวของผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาด ให้การว่าเคยถูกทำร้ายร่างกาย และถูกข่มขู่เอาชีวิตระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำจังหวัดดั๊กลัก ไม่เพียงพอให้เชื่อได้ว่า หากถูกส่งกลับไปแล้วจะต้องเผชิญกับภยันตรายที่ประเทศต้นทาง ในทางปฏิบัติ เราจะพิสูจน์ในเรื่องนี้ได้อย่างไร  คอรีเยาะ กล่าวว่า ทางฝั่งจำเลย พยายามใช้พยานหลักฐานทั้งรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเวียดนาม ซึ่งจัดทำโดยสหรัฐฯ ที่ระบุว่ากลุ่มชาวมองตานญาดเป็นกลุ่มคนที่ถูกจับตา และถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการนับถือศาสนา ประกอบกับความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งให้ความเห็นสอดคล้องกันว่ารัฐบาลเวียดนามมีการเลือกปฏิบัติและคุกคามคนกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ ซึ่งทางเรามองว่าพยานหลักฐานในส่วนนี้มีความเชื่อถืออย่างมาก โดยไม่ต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นบาดแผลตามร่างกาย เพื่อบอกว่าจำเลยถูกซ้อมทรมานทารุณกรรมมาก่อน "เราก็กังวลว่าประเทศเวียดนามไม่เคยมีชื่อเสียงกับการเคารพสิทธิมนุษยชนเลย และมีหน่วยงานที่ส่งเสียงเป็นเสียงเดียวกันถึงความน่ากังวลตรงนี้ จริงๆ ก็น่าผิดหวังที่ศาลไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน จากองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ แต่ให้น้ำหนักกับคำรับรองที่ไม่สามารถพิสูจนได้" คอรีเยาะ กล่าว คดีการเมือง หรือคดีอาญา ? ต่อประเด็นที่สื่อถามว่า มีข้อสังเกตหรือไม่ต่อกรณีที่กรมสนธิสัญญาฯ ตีความว่า คดีของอี ควิน เบดั๊บ เป็นคดีอาญาทั่วไป ไม่ได้เป็นคดีทางการเมือง ทางทนายความมองว่าคดีการเมือง และคดีอาญา แบ่งได้โดยชัดเจน ขึ้นอยู่กับว่าคดีมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่ อย่างกรณีของอี ควิน เบดั๊บ เป็นผู้เรียกร้องเสรีภาพในการนับถือศาสนาในประเทศเวียดนาม ซึ่งเวียดนามมีนโยบายค่อนข้างเข้มงวดในการนับถือทางศาสนา กำหนดกรอบอย่างชัดเจนว่าหากปฏิบัติศาสนกิจต้องลงทะเบียน หรือไปเฉพาะศาสนสถานที่รัฐกำหนด เมื่อมีนโยบายของรัฐแบบนี้ และมีนักเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายที่ว่า ตามครรลองแล้ว มันไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ นี่เป็นการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อสิทธิในการนับถือศาสนา ซึ่งยอมรับว่า ผิดหวังกับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยที่มองว่าเรื่องนี้เป็นคดีก่อการร้าย โดยลำพังไม่มีเหตุจูงใจทางการเมือง หลังจากนี้ทางทีมทนายความจะรีบทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีการยุติส่งผู้ร้ายข้ามแดนของ อี ควิน เบดั๊บ ต่อไป  "ที่ผ่านมาเราเพิ่งส่งอุยกูร์กลับประเทศจีน และก็ภายหลังมีรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เราก็อยากจะเรียกร้องให้ประเทศไทยยุติการเดินตามรอยเท้าเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน" คอรีเยาะ กล่าว  * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * อี ควิน เบดั๊บ * เวียดนาม * ผู้ลี้ภัย * Non-Refoulement * พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการซ้อมทรมานและบังคับสูญหาย * UNHCR * คอรีเยาะ มานุแช
dlvr.it
November 27, 2025 at 6:00 AM
ให้ประกันตัวแล้ว! ปล่อยตัว ‘สายน้ำ-ออย-แก๊ป-บังเอิญ-ดิว’ หลังถูกขังเรือนจำ 1 คืนรอศาลอุทธรณ์สั่งประกันตัวคดี พ.ร.บ.ชุมนุมฯ เหตุขับรถโบกธงยกเลิก 112 บริเวณวัดพระแก้ว
ให้ประกันตัวแล้ว! ปล่อยตัว ‘สายน้ำ-ออย-แก๊ป-บังเอิญ-ดิว’ หลังถูกขังเรือนจำ 1 คืนรอศาลอุทธรณ์สั่งประกันตัวคดี พ.ร.บ.ชุมนุมฯ เหตุขับรถโบกธงยกเลิก 112 บริเวณวัดพระแก้ว รายงานและภาพ: แมวส้ม See Think Thu, 2025-11-27 - 11:35 ให้ประกันตัวแล้ว! ปล่อยตัว ‘สายน้ำ-ออย-แก๊ป-บังเอิญ-ดิว’ หลังถูกขังเรือนจำ 1 คืนรอศาลอุทธรณ์สั่งประกันตัวคดี พ.ร.บ.ชุมนุมฯ เหตุขับรถโบกธงยกเลิก 112 บริเวณวัดพระแก้ว  วานนี้ (26 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เวลา 22.18 น. 5 นักกิจกรรม “สายน้ำ” นภสินธุ์, “ออย” สิทธิชัย, “แก๊ป” จิรภาส, “บังเอิญ” และ “ดิว” สมชาย คำนะ ถูกปล่อยตัวแล้ว ท่ามกลางมวลชนและครอบครัวที่มารอต้อนรับหน้าเรือนจำ หลังศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์คดี พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ที่ก่อนหน้านั้น 1 วัน (25 พ.ย.) ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 เดือน ไม่รอลงอาญา และส่งคำร้องขอประกันตัวให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา ทำให้ทั้งห้าคนต้องนำตัวไปคุมขังในเรือนจำระหว่างรอคำสั่งเป็นเวลา 1 คืน ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวในวันต่อมา (26 พ.ย.) “สายน้ำ” ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า จริงๆ เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ตกใจเหมือนกันที่ศาลแขวงดุสิตส่งให้ศาลอุทธรณ์สั่งประกัน ทั้งที่มีโทษจำคุก 2 เดือน ซึ่งปกติแล้วศาลชั้นต้นสามารถสั่งได้ แต่ว่าก็ยังดีที่ได้ประกันตัวออกมากินข้าวข้างนอก ข้าวข้างในไม่อร่อย  ด้าน “ออย” ให้สัมภาษณ์ต่อว่า “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง ได้ส่งโจ๊กมาให้ แต่ไม่ได้เจอกันเนื่องจากตนถูกกักตัวอยู่และได้เจอ “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง เมื่อคืนวันที่ 25 พ.ย. นอนข้างในเรือนจำอากาศหนาว แล้วก็คิดว่าเพื่อน ๆ เราก็น่าจะหนาวเหมือนกัน ก่อนที่จะถ่ายรูปร่วมกันและแยกย้ายกลับบ้าน กรณีนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2568 ศาลแขวงดุสิตมีคำพิพากษาทั้งห้าคนให้จำคุก 2 เดือน ไม่รอลงอาญา ในข้อหาร่วมกันชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวัง ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ จากกรณีขี่รถจักรยานยนต์พร้อมถือธงให้ยกเลิกมาตรา 112, #saveหยก, ปล่อยเพื่อนเรา เเละตราสัญลักษณ์อนาคิสต์ บริเวณวัดพระแก้วและถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2566 หลังยื่นประกันตัวทั้งห้าคน ศาลแขวงดุสิตมีคำสั่งส่งคำร้องขอประกันตัวให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยทั้งห้าและนายประกันได้พยายามแถลงขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในวันที่รับคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่ทัน ทำให้ทั้งห้าต้องถูกนำตัวไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรอผลประกันตัวชั้นอุทธรณ์  ต่อมาวานนี้ (26 พ.ย.) เวลา 17.48 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวทั้งห้าคน โดยให้วางหลักประกันคนละ 5,000 บาท โดยได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ ทั้งหมดจึงได้รับการปล่อยตัว * ข่าว * การเมือง * พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ * สายน้ำ นภสินธุ์ * ออย สิทธิชัย * แก๊ป จิรภาส * บังเอิญ * ดิว สมชาย คำนะ
dlvr.it
November 27, 2025 at 4:44 AM
วิกฤตสื่อสาธารณะตะวันตกส่งท้ายปี : RFA, VOA, BBC เจอศึกหนัก
วิกฤตสื่อสาธารณะตะวันตกส่งท้ายปี : RFA, VOA, BBC เจอศึกหนัก Pazzle Thu, 2025-11-27 - 09:31 ในไตรมาสสุดท้ายของปี สื่อสาธารณะของโลกตะวันตกเผชิญปัญหารุมเร้าถ้วนหน้า Radio Free Asia (RFA) ประกาศพักรายงานข่าวในรอบ 29 ปี ส่วน Voice of America (VOA) ที่ถูกลดขนาด เพิ่งกลับมาทำงานได้อีกครั้ง หลังรัฐบาลเปิดทำการ ขณะที่ BBC ถูกตรวจสอบอย่างหนัก หลังทรัมป์ขู่ฟ้อง 1 พันล้านดอลล่าร์ในข้อหาเสนอข่าวบิดเบือน Radio Free Asia “พัก" นำเสนอข่าวในรอบ 29 ปี เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา RFA ได้ประกาศ "พัก" การนำเสนอข่าวเป็นครั้งแรกในรอบ 29 ปี จากความไม่แน่นอนทางด้านงบประมาณ หลังจากที่พักงานพนักงานกองบรรณาธิการส่วนใหญ่ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นักข่าวที่เหลืออยู่ในนามโครงการ RFA Perspectives ยังคงดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมายโดยรัฐสภาของรัฐบาลสหรัฐ อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวต้องยุติลงเช่นกัน “มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง" โรซา หวาง เขียนกล่าวในบทความจากบรรณาธิการบริหาร "และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ระบอบอำนาจนิยมกำลังเฉลิมฉลองการล่มสลายของ RFA ที่อาจเกิดขึ้น" RFA รายงานข้อมูล "ข่าวสารที่สำคัญในภูมิภาคที่ข้อเท็จจริงถูกกดทับ" ภูมิภาคที่ RFA ให้ความสำคัญ ได้แก่ ทิเบต ซินเจียง ฮ่องกง เวียดนาม พม่า เกาหลีเหนือ ลาว และกัมพูชา เนื่องในโอกาสประกาศพักการรายงานข่าว RFA ได้แนะนำนักข่าวภาคสนามที่เสี่ยงอันตรายนำเสนอข่าวอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ ทีมข่าวสืบสวนสอบสวนของ RFA ยังมีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงอาคารศูนย์ทำการของสแกมเมอร์ที่ยึดครองโดยบริษัท Prince Group ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา สื่อ Business Journal ของอเมริการายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ RFA ได้นำอุปกรณ์สำนักงานออกประมูล ได้แก่ ไมค์โครโฟน จอมอนิเตอร์ และเก้าอี้ประชุม โฆษกของ RFA ระบุว่า อุปกรณ์เหล่านี้ล้าสมัยแล้ว แต่ยังคงรักษาทรัพย์สินที่สำคัญของสำนักข่าวไว้บางส่วน รายงานดังกล่าวระบุอีกว่า ความไม่แน่นอนทางงบประมาณเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่มีการเปลี่ยนเจ้าของอาคารแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ซึ่ง RFA เป็นผู้เช่ารายใหญ่ที่สุด เนื่องจากเจ้าของอาคารเดิมไม่สามารถชำระหนี้จำนวน 54.6 ล้านดอลล่าร์ได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานว่า RFA ยังคงเช่าสำนักงานดังกล่าวอยู่หรือไม่ Voice of America กลับมาอีกครั้ง แต่ยังลดขนาด-ปรับบทบาท เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา VOA ต้องพักการนำเสนอข่าวทั้งหมดเช่นกัน ในระหว่างที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาหยุดทำการ ซึ่งครั้งนี้กินเวลากว่า 35 วัน ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศผู้นำโลกเสรีเนื่องจากรัฐสภาของสหรัฐฯ ไม่สามารถหาข้อตกลงเพื่อผ่านกฎหมายงบประมาณประจำปีได้ หลังรัฐบาลกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ปัจจุบันVOA นำเสนอข่าวเพียง 4 ภาษา ได้แก่ จีนกลาง ดารี ปาทาน และเปอร์เซีย จากเดิมที่เคยเสนอข่าวกว่า 49 ภาษา เนื้อหารวมกว่า 2,400 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พนักงานส่วนใหญ่ของ VOA ยังคงถูกพักงาน ขณะนี้ VOA กำลังต่อสู้คดีในชั้นศาลว่ามาตรการปรับลดขนาดองค์กรของ VOA ให้เหลือเพียงขั้นต่ำของรัฐบาลสหรัฐ ฯ เป็นการกระทำขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ที่ผ่านมา VOA คงรักษาสิทธิไว้ได้หลายประเด็น เนื่องจากศาลระงับคำสั่งของรัฐบาลทรัมป์หลายฉบับ เช่น การยกเลิกสิทธิสหภาพแรงงาน การปลดพนักงานระลอกล่าสุดของ VOA และสำนักงานสื่อโลกแห่งสหรัฐอเมริกา (USAGM) องค์กรแม่ของ VOA จำนวน 500 คน และการปลดผู้อำนวยการของ VOA VOA ถูกวิจารณ์โดยผู้สนับสนุนของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ว่าเป็น "โฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายซ้าย" และเป็นการใช้งบประมาณของรัฐบาลอย่างสิ้นเปลือง โดยมีการยกตัวอย่างเช่น กรณีที่ VOA ไม่เรียกกลุ่มฮามาสว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่อีกด้านหนึ่ง ความพยายามในการปิดสำนักข่าว VOA ของรัฐบาลทรัมป์ก็ถูกวิจารณ์เช่นกันว่าเป็นการแทรกแซงการทำงานของสื่ออิสระ ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ สื่อนิวยอร์กไทมส์ตั้งข้อสังเกตว่าในอนาคต VOA อาจถูกบังคับให้ปรับบทบาทจากการเป็นสื่ออิสระไปสู่การเป็นเครื่องมือส่งเสริมวาระทางการเมืองของรัฐบาลทรัมป์ หรือกล่าวคือ "เป็นมิตรกับ MAGA (Make America Great Again) มากขึ้น" เช่น การที่ VOA เสนอข่าวเกี่ยวกับการเดินขบวนสวนสนามของรัฐบาลทรัมป์ แทนที่จะนำเสนอข่าวการโจมตีอิหร่านของอิสราเอล ซึ่งเคยเป็นประเด็นหลักในการนำเสนอข่าวของ VOA ความพยายามของทรัมป์ในการตัดงบสื่อของรัฐ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ให้เช่าอาคารในกรุงวอชิงตัน ดีซี. นอกจากกรณีของ RFA แล้ว รายงานของ Business Journal ระบุว่าเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา USAGM ยังได้ยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงานของ VOA ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ขนาดกว่า 350,000 ตารางฟุต ทั้งที่ VOA เริ่มย้ายเข้าไปแล้ว ทำให้ผู้ให้เช่าต้องเร่งมองหาผู้เช่ารายใหม่ BBC ถูกตรวจสอบอ่วม นอกจากสื่อสาธารณะในฝั่งอเมริกาที่ถูกตัดงบ ในฝั่งสหราชอาณาจักร บีบีซีก็เผชิญกับวิกฤติเช่นกัน ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เอกสารภายในถูกเผยแพร่สู่สายตาของสาธารณชน ระบุข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความบกพร่องทางด้านงานบรรณาธิการของบีบีซี เอกสารดังกล่าวเขียนโดยไมเคิล พรีสก๊อตต์ นักข่าวที่มีประสบการณ์ยาวนาน เคยร่วมงานสำนักข่าวหลายแห่ง และอดีตที่ปรึกษาอิสระภายนอกของคณะกรรมการมาตรฐานบรรณาธิการของบีบีซี ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือการรายงานข่าวเกี่ยวกับทรัมป์ ในสารคดีโทรทัศน์ตอนหนึ่งของพาโนรามาที่นำสองช่วงของคำปราศรัยของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ห่างกัน 50 นาทีมาตัดต่อติดกัน ทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดได้ว่าทรัมป์เรียกร้องให้ประชาชนโจมตีอาคารทำการของรัฐสภาสหรัฐ ฯ อย่างเปิดเผยในเหตุการณ์จลาจลเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 หลังเรื่องดังกล่าวก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทิม เดวี ผู้อำนวยการของบีบีซี และเดบอราห์ เทอร์เนส ได้ประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ต่อมาเมื่อกลางพฤศจิกายนทนายความของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ได้ขอให้บีบีซีถอนสารคดี ขอโทษ และจ่ายค่าเสียหาย หากไม่ปฏิบัติตามจะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอย่างน้อย 1 พันล้านดอลล่าร์ บีบีซีได้ขอโทษต่อทรัมป์แล้ว และจะไม่ฉายสารคดีดังกล่าวอีก แต่ปฏิเสธที่จะชดเชยค่าเสียหาย บีบีซีชี้แจงเหตุผลที่ไม่ชดเชยค่าเสียหาย 5 ข้อด้วยกัน ได้แก่ (1.) บีบีซีไม่มีสิทธิและไม่ได้ทำการเผยแพร่สารดคีดังกล่าวในช่องของสหรัฐอเมริกา (2.) สารคดีไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัมป์ เนื่องจากทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 (3.) การตัดต่อดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาบิดเบือน เพียงแค่ย่อการปราศรัยให้สั้นลง (4.) คลิปดังกล่าวไม่ได้ถูกพิจารณาอย่างโดดๆ ทว่ากินระยะเวลาเพียง 12 วินาที จากความยาวเนื้อหา 1 ชั่วโมง โดยสารคดีดังกล่าวบรรจุความเห็นของผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนมากด้วย (5.) ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะและการแสดงออกทางการเมืองได้รับการคุ้มครองอย่างมาก ภายใต้กฎหมายหมิ่นประมาทของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น บีบีซีจึงเห็นว่ามีข้อโต้แย้งหนักแน่นพอหากต้องสู้คดี ความขัดแย้งระหว่างบีบีซีกับทรัมป์เกิดขึ้นในช่วงที่บีบีซีถูกตรวจสอบในหลายกรณี เช่น กรณีที่องค์กรกำกับดูแลสื่อของสหราชอาณาจักร ตัดสินเมื่อตุลาคมที่ผ่านมาว่า บีบีซีฝ่าฝืนกฎของการเผยแพร่ออกอากาศ เนื่องจากไม่เปิดเผยว่าผู้บรรยายสารคดีตอนหนึ่งเกี่ยวกับกาซาเป็นลูกชายของผู้มีตำแหน่งอยู่ในกลุ่มฮามาส องค์กรสื่ออายุ 103 ปีอย่าง BBC ถูกจับตาเข้มงวดกว่าสถานีและคู่แข่งเอกชนอื่นๆ เนื่องจากเป็นสื่อสาธารณะและเป็นสถาบันของชาติ ทุกครัวเรือนในสหราชอาณาจักรที่รับชมโทรทัศน์หรือรายการของบีบีซี ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกับบีบีซีปีละ 174.50 ปอนด์หรือราว 7,434 บาท นอกจากนี้ ยังมีรายได้เชิงพาณิชย์ รวมถึงเงินอุดหนุน ค่าลิขสิทธิ์ และรายได้จากการเช่า ทั้งนี้ บีบีซีมีข้อผูกมัดตามเงื่อนไขในกฎบัตรว่าต้องรักษาความเป็นกลางในการเสนอข่าว เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา ผู้นำของบีบีซีได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการด้านวัฒนธรรม สื่อ และกีฬาของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร ซามีร์ ชาห์ ประธานของบีบีซียอมรับว่าตอบสนองต่อปัญหาช้าเกินไป ควรที่จะขุดลงไปที่ต้นตอและแก้ไขปัญหาให้จบเร็วกว่านี้ แทนที่จะรอให้เรื่องแดงออกมาสู่สาธารณะ ไมเคิล พรีสก๊อตต์ ระบุในการประชุมกรรมาธิการว่า เขาเชื่อว่า BBC มีปัญหาเชิงระบบในการรับมือกับข้อร้องเรียน โดยมักมีท่าทีตั้งรับและไม่ให้ความสำคัญกับข้อกังวลที่ถูกหยิบยกขึ้นเกี่ยวกับการรายงานข่าวขององค์กร เขาระบุว่าอดีตผู้อำนวยการใหญ่ ทิม เดวี และผู้บริหารคนอื่น ๆ “มีจุดบอดในเรื่องความบกพร่องด้านบรรณาธิการ” อย่างไรก็ตาม เขาบอกกับฝ่ายนิติบัญญัติว่า เขาไม่คิดว่าองค์กรกระจายเสียงแห่งนี้มี “อคติในเชิงสถาบัน”    * ข่าว * การเมือง * แรงงาน * ต่างประเทศ * โดนัล ทรัมป์ * สื่อ * บีบีซี * VOA * RFA
dlvr.it
November 27, 2025 at 2:56 AM
'กมธ. แก้ รธน.' เผย พิจารณาครบ ทุกมาตรา เตรียมถกต่อวาระ 2 'เพื่อไทย' สูตร 20 หยิบ 1 ครอบงำ
'กมธ. แก้ รธน.' เผย พิจารณาครบ ทุกมาตรา เตรียมถกต่อวาระ 2 'เพื่อไทย' สูตร 20 หยิบ 1 ครอบงำ Pazzle Wed, 2025-11-26 - 21:55 โฆษก กมธ. แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ เผย ประชุมคณะกรรมาธิการฯ พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญครบทุกมาตราแล้ว เตรียมลุยถกต่อวาระ 2 วันที่ 10-11 ธ.ค. นี้ ยังมีความเห็นแตกต่างความเห็นแย้งที่ต้องใช้เวลาอภิปรายหาข้อสรุปกันอีกในหลายประเด็น ซึ่งจะมีการลงมติทุกมาตราตัดสินด้วยเสียงข้างมาก นพ.ชลน่าน สส. เพื่อไทย ในฐานะ กมธ. กังวลที่มาของ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน จากสูตร 20 หยิบ 1 จะเกิดการครอบงำ เสนอให้ทบทวน   26 พ.ย. 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา นรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. ในฐานะโฆษกกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา พร้อมด้วยพนิดา มงคลสวัสดิ์ สส. สมุทรปราการ พรรคประชาชน เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญครบทุกมาตราแล้ว โดยการพิจารณาในวันนี้ (26 พ.ย. 2568) เป็นการทบทวนถ้อยคำและชี้แจงผลการพิจารณาต่อผู้แปรญัตติ คาดว่าการจัดทำรายงานจะแล้วเสร็จภายในวันเดียวกัน ก่อนเร่งส่งต่อประธานรัฐสภาเพื่อเตรียมเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 สำหรับกรอบเวลาการพิจารณาวาระ 2 ที่กำหนดไว้ในวันที่ 10-11 ธ.ค. นี้ หากการอภิปรายยังไม่แล้วเสร็จ สามารถต่อเนื่องในวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ พนิดาระบุ ระยะเวลาการพิจารณาต้องหารือร่วมวิปทุกฝ่าย เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญ ในแต่ละมาตราต้องใช้เวลาอภิปรายเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน ส่วนเนื้อหาคำถามประชามติจะเป็นประเด็นที่จะต้องหารือกันในลำดับถัดไป เมื่อถามถึงความเห็นต่างในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังมีความเห็นแย้งกันอยู่ นรเศรษฐ์มองว่าเป็นความเห็นแตกต่างตามหลักการประชาธิปไตย โดยประธานกรรมาธิการฯ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายอภิปรายอย่างเต็มที่บนพื้นฐานเหตุผล ทำให้การพิจารณาใช้เวลายาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ และในหลายมาตราที่มีความเห็นต่างจึงต้องมีการลงมติตามกระบวนการ ซึ่งทุกมาตราตัดสินด้วยเสียงข้างมาก ขณะที่ผู้สงวนความเห็นจะสามารถนำความเห็นไปอภิปรายต่อในวาระ 2 ไทยรัฐ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะ กมธ. เชื่อว่าระยะเวลาเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 วัน จะเพียงพอหาข้อยุติได้ แม้จะถกเถียงกันหนัก แต่ด้วยกลไกเสียงข้างมากต้องมีจบและมีมติออกมา ส่วนข้อกังวลที่ สว. อาจลงคะแนนไม่ให้ผ่านนั้น มีความเป็นไปได้ เพราะรัฐธรรมนูญรองรับการออกเสียงของ สว. ว่า ต้องใช้เสียง สว. ร่วมเห็นชอบด้วย หากการอภิปรายวาระ 2 มีประเด็นเป็นผลกระทบ อาจส่งผลให้วาระ 3 ไม่ผ่านด้วย แต่จากการประเมินทิศทางของ สว. ผ่านกลไก กมธ. ที่เป็นสัดส่วน สว. นั้น แนวโน้มยังเป็นไปตามเสียงข้างมาก และขึ้นอยู่กับเสียงข้างมาก เนื้อหาที่กังวลมากสุดคือ ที่มาของ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ที่ถูกชี้นำครอบงำได้จากการเลือกของรัฐสภาสมัยหน้า ทำให้รัฐธรรมนูญตกเป็นของคนกลุ่มนั้น จะได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนค่อนข้างยาก ยกเว้นรัฐสภารับข้อสงวนของ กมธ. เสียงข้างน้อยที่ให้ใช้วิธีเลือก กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญไม่ยึดติดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งคือ ใช้การลงมติโหวตเลือก กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านเกณฑ์เสียงข้างมากที่ได้รับความเห็นชอบจากทุกภาคส่วนคือ มี สว. เห็นชอบ 1 ใน 5 หรือ 40 คน และได้เสียงฝ่ายค้าน 20% ลดการถูกครอบงำ เพราะสูตร 20 หยิบ 1 จะเกิดการครอบงำ ได้เสนอทางออกให้ทบทวนแล้ว แต่ กมธ. เสียงข้างมากไม่ยอม จึงต้องสงวนความเห็นไว้เพื่อไปสู้ในวาระ 2 ต่อไป * ข่าว * การเมือง * กมธ.ยกร่าง รธน. * แก้รัฐธรรมนูญ * นรเศรษฐ์ ปรัชญากร * พนิดา มงคลสวัสดิ์ * ชลน่าน ศรีแก้ว
dlvr.it
November 26, 2025 at 3:09 PM
อธิบดีกรมการปกครอง ลงนามเด้ง 'นายอำเภอหาดใหญ่'
อธิบดีกรมการปกครอง ลงนามเด้ง 'นายอำเภอหาดใหญ่' Pazzle Wed, 2025-11-26 - 20:32 อธิบดีกรมการปกครองลงนามสั่งย้าย "นายอำเภอหาดใหญ่" ไปช่วยราชการ มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง   26 พ.ย. 2568  อธิบดีกรมการปกครอง นฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ลงนามในคำสั่งกรมการปกครอง ที่ 1033/2568 เรื่องให้ข้าราชการช่วยราชการ โดยในเอกสารดังกล่าว ระบุว่า เพื่อประโยชน์ของทางราชการอาศัยอำนาจความในมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 จึงให้ เอก ยังอภัย ณ สงขลา ตำแหน่งนายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ช่วยราชการ วิทยาลัยการปกครอง กรมการปกครอง เป็นการประจำ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง สั่ง ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2568   * ข่าว * การเมือง * น้ำท่วม * น้ำท่วมภาคใต้ * หาดใหญ่
dlvr.it
November 26, 2025 at 1:39 PM
'พริษฐ์' แนะรัฐบาล เร่งส่งอาหารทางอากาศ ขอความช่วยเหลือนานาชาติ 'น้ำท่วมใต้' เกินรับมือ
'พริษฐ์' แนะรัฐบาล เร่งส่งอาหารทางอากาศ ขอความช่วยเหลือนานาชาติ 'น้ำท่วมใต้' เกินรับมือ Pazzle Wed, 2025-11-26 - 18:39 พริษฐ์ สส. พรรคประชาชน แนะรัฐบาลเร่งออก 4 มาตรการเร่งด่วน “ตั้งฐานข้อมูลกลาง – เร่งอพยพคน - ส่งอาหารทางอากาศ – ประสานขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ” พริษฐ์ระบุ สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เกินกำลังความสามารถของภาคประชาชนและหน่วยงานภายในประเทศบางส่วนที่จะให้ความช่วยเหลือแล้ว และมีประชาชนนับหมื่นรายยังคงติดค้างอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติ นอกจากนี้รัฐบาลควติดต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม เช่น Starlink เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่   26 พ.ย. 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งใช้อำนาจและทรัพยากรช่วยเหลือประชาชน ท่ามกลางสถานการณ์อุทกภัยที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ทวีความรุนแรงจนอยู่ในภาวะวิกฤต มีประชาชนนับหมื่นรายยังคงติดค้างอยู่ในพื้นที่ จึงขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา โดยมีเป้าหมายหลักคือการช่วยเหลือชีวิตประชาชนให้ได้มากที่สุด พริษฐ์มี 4 ข้อเสนอที่อยากจะเสนอถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้ 1. การจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางและบูรณาการการทำงาน รัฐบาลต้องเร่งบูรณาการทุกหน่วยงานและจัดตั้ง ระบบฐานข้อมูลกลางที่ชัดเจน เพื่อให้ทราบจำนวนผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือ ตำแหน่งที่อยู่ ระดับความเร่งด่วน/อันตราย รวมถึงความคืบหน้าของการช่วยเหลือในแต่ละกรณีอย่างแม่นยำ โดยเสนอให้นำแพลตฟอร์มที่มีอยู่แล้ว อาทิ แพลตฟอร์มจิตอาสา.แคร์ มาใช้เป็นฐานข้อมูลหลักในการปฏิบัติงาน 2. เร่งรัดการอพยพและจัดเตรียมศูนย์พักพิง ต้องกำหนดเป้าหมายการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่วิกฤตให้ได้มากที่สุด โดยต้องระดมยานพาหนะและอุปกรณ์สำหรับการอพยพเข้าสู่พื้นที่ตั้งแต่ต้นทาง และในส่วนของปลายทาง ต้องเร่งเตรียมความพร้อมของศูนย์พักพิง ซึ่งปัจจุบันเริ่มถึงขีดจำกัดและขาดแคลนอุปกรณ์ รวมถึงแก้ไขอุปสรรคในการเดินทางจากจุดปลอดภัยไปยังศูนย์พักพิง 3. ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและน้ำเร่งด่วน เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากติดค้างอยู่ในบ้านเรือนและขาดแคลนอาหารและน้ำมาหลายวัน แม้การอพยพจะรวดเร็วเพียงใดก็ไม่สามารถดำเนินการได้ครบถ้วนทั้งหมดให้เร็วที่สุด ดังนั้น รัฐบาลต้องระดมทรัพยากร อาทิ  เฮลิคอปเตอร์หรือโดรน เพื่อลำเลียงอาหารและน้ำดื่มส่งตรงถึงมือผู้ประสบภัยในจุดที่เรือไม่สามารถเข้าถึงได้โดยทันที 4. ระดมทรัพยากรจากต่างประเทศและภาคเอกชน สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เกินกำลังความสามารถของภาคประชาชนและหน่วยงานภายในประเทศบางส่วน รัฐบาลควรให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งติดต่อและประสานงานกับ ต่างประเทศ อาทิ มาเลเซียและสิงคโปร์ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุนทรัพยากรและอุปกรณ์ช่วยเหลือเข้าสู่พื้นที่โดยเร็ว นอกจากนี้ รัฐบาลควรพิจารณาติดต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม อาทิ Starlink เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้านสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยให้การใช้ฐานข้อมูลและการกำกับทิศทางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและเร่งด่วนอย่างยิ่ง เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตและบรรเทาความเดือดร้อน รวมถึงลดการสูญเสียชีวิตของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยให้ได้มากที่สุด * ข่าว * การเมือง * น้ำท่วม * น้ำท่วมภาคใต้ * พริษฐ์ วัชรสินธุ * พรรคประชาชน
dlvr.it
November 26, 2025 at 11:47 AM
ศป.กฉ. แถลงผู้เสียชีวิต 'น้ำท่วม' 7 จ. ภาคใต้ รวม 33 ราย คาดอีก 5 วันสถานการณ์น้ำจะดีขึ้น
ศป.กฉ. แถลงผู้เสียชีวิต 'น้ำท่วม' 7 จ. ภาคใต้ รวม 33 ราย คาดอีก 5 วันสถานการณ์น้ำจะดีขึ้น Pazzle Wed, 2025-11-26 - 17:10 สิริพงศ์ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการ ศป.กฉ. แถลงยอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วม 7 จังหวัดภาคใต้ รวม 33 คน นครศรีธรรมราช 9 ราย, พัทลุง 4 ราย, สงขลา 6 ราย, ตรัง 2 ราย, สตูล 2 ราย, ปัตตานี 5 ราย และยะลา 5 ราย โดยเมื่อวานนี้ได้มีการแจ้งเตือนอพยพประชาชนในจังหวัดที่ถัดออกไปจากจังหวัดสงขลาแล้ว เช่น สตูล , นครศรีธรรมราช ฯลฯ ตามการคาดการณ์ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้อีก 5 วัน สถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่บางจุดที่เป็นแอ่งลึกหรือพื้นที่ต่ำน้ำอาจจะยังลงได้ไม่หมด โฆษกศูนย์ปฏิบัติการ ศป.กฉ. ยื่นยันว่า การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีไม่ได้ไปเป็นภาระ ไม่มีการแจ้งให้หน่วยงานใดรับแต่อย่างใด เพียงต้องการลงพื้นที่เพื่อดูปัญหาและอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่   26 พ.ย. 2568 NBT สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) แถลงผลการประชุมระบุว่า ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีจากสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานที่ประชุม และมีข้อสั่งการเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมหนักในพื้นที่ภาคใต้ดังนี้ ภาพรวมน้ำปริมาณน้ำฝนที่เติมเข้ามาในระบบมีปริมาณที่ลดน้อยลง แนวโน้มของน้ำในพื้นที่ภาคใต้มีแนวโน้มที่ลดลง โดยได้มีการแจ้งเตือนในจังหวัดที่ถัดออกไปจากจังหวัดสงขลาแล้ว เช่น สตูล , นครศรีธรรมราช มีการแจ้งเตือนอพยพตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จากรายงานพบว่า หลังการแจ้งเตือนให้มีการอพยพยังมีประชาชนจำนวนหนึ่งยังไม่ได้อพยพ ทางศูนย์ ศป.กฉ. จึงความกังวลในอนาคตอาจจะเกิดความยากลำบากในการอพยพ จึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ดำเนินการสำรวจกลุ่มเปราะบาง และเชิญชวนให้ไปอยู่ศูนย์พักพิง เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนในกรณีที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง ศูนย์พักพิงจะมีการกำหนดจุดให้คนในพื้นที่ทราบก่อนที่จะมีคำสั่งอพยพ และจะดำเนินการเช่นนี้ทุกครั้ง สิริพงศ์ยืนยันข่าวโรงพยาบาลหาดใหญ่มีจำนวนผู้เสียชีวิต 80 คน 100 คนบ้าง ไม่เป็นความจริง โดยได้รับการรายงานจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ว่า มีจำนวนผู้เสียชีวิตจริง แต่มีเพียง 40 คน และเป็นผู้เสียชีวิตที่อยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว ซึ่ง 14 คน เป็นผู้เสียชีวิตจากการรักษาพยาบาล ไม่ใช่จากสถานการณ์น้ำท่วม ทางด้านกระทรวงสาธารณสุข รายงานจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้ ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดนครศรีธรรมราช, พัทลุง, สงขลา, ตรัง, สตูล, ปัตตานี และยะลา มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 33 คน คือ นครศรีธรรมราช 9 ราย, พัทลุง 4 ราย, สงขลา 6 ราย, ตรัง 2 ราย, สตูล 2 ราย, ปัตตานี 5 ราย และยะลา 5 ราย แบ่งสาเหตุการเสียชีวิต เช่น ถูกน้ำพัด ไฟฟ้าช็อต ดินถล่ม พลัดตกน้ำ และจมน้ำ และเมื่อช่วงเช้านี้ (26 พ.ย. 2568) ที่มีข่าวว่ามีเฮลิคอปเตอร์ตกใกล้โรงพยาบาลขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง มีการตรวจสอบข้อมูลแล้วไม่มีเหตุการณ์ ฮ.ตกแต่อย่างใด ทางศูนย์มีการรวบรวมข้อมูลผ่านระบบ AI เป็นที่เรียบร้อยแล้วและได้ส่งข้อมูลให้กับ ปภ.ส่วนหน้า แล้วจะมีการอัพเดทให้ทางศป.กฉ.ส่วนหน้าเป็นรายชั่วโมง ทั้งนี้ ได้มีการเปิด “ศูนย์ธารน้ำใจช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ 2568” ณ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศดอนเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกมิติ ประชาชนที่อยู่ในกรุงเทพสามารถเดินทางมาบริจาคที่ศูนย์นี้ได้ ยังยินดีที่จะรับการสนับสนุนเป็นกำลัง และทรัพยากร เช่น เจ็ตสกี คนขับสปีดโบ๊ท รถลากจุง รถยกสูง และ อุปกรณ์กู้ภัย สิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ทางศูนย์ จะมีเครื่องบิน C130 ส่งให้ทุกวัน วันละ 5 รอบ นอกจากนี้ วันนี้ยังได้มีการเริ่มลงทะเบียนในแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” สำหรับอาสาสมัคร โดยที่รัฐจะสนับสนุนค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่าน้ำมัน ในการเติมยานพาหนะ หากท่านใดประสงค์ที่จะให้รัฐสนับสนุนในส่วนนี้ขอให้ได้เริ่มลงทะเบียนได้เลย ส่วนอาสาสมัครที่ได้ลงพื้นที่ไปก่อนหน้านี้ รัฐบาลจะลงทะเบียนย้อนหลังให้เพื่อเป็นการสนับสนุน การดำเนินการ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการ ศป.กฉ. ยังระบุว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยังอำเภอหาดใหญ่เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย พร้อมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นและเจ็ตสกีอีกประมาณ 10 ลำ เดอะสแตนดาร์ด สิริพงศ์ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการ ศป.กฉ. ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี โดยผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีอยู่ทำเนียบรัฐบาล และบริหารสถานการณ์อยู่ที่นี่จะดีกว่าหรือไม่ สิริพงศ์ กล่าวว่า พื้นที่ตรงนี้มีภราดร เป็น ผอ.ศูนย์ฯ ในการบูรณาการข้อมูลต่างๆ โดยยืนยันว่า การลงไปในพื้นที่ไม่ได้เป็นภาระ ไม่มีการแจ้งให้หน่วยงานใดรับ และไม่มีแม้แต่การให้นักข่าวติดตามไป เป็นการไปแบบคณะเล็ก ที่ต้องการดูถึงข้อจำกัด และอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างไร ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ทางศูนย์ปฏิบัติการ ศป.กฉ. มีการประเมินหรือไม่ว่าน้ำจะลดลงภายในกี่วัน สิริพงศ์ กล่าวว่า จากการคาดการณ์ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ภายใน 5 วันจะดีขึ้น และคลี่คลายไปได้มากแต่จะมีบางจุด ที่เป็นแอ่งลึกหรือพื้นที่ต่ำ น้ำอาจจะยังลงได้ไม่หมด สิริพงศ์ยังกล่าวถึงสัญญาณในพื้นที่ขาดหายทำให้ไม่สามารถติดต่อผู้ประสบเหตุได้ ว่า กสทช. ได้มารายงานให้ทราบแล้วว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปเติมเชื้อเพลิงให้กับเครื่องปั่นไฟได้ แต่ตอนนี้สามารถดำเนินการได้แล้ว ซึ่งวันนี้เรามีเรือเต็มที่ก็ไม่เกิน 200 ลำ และมีรถเข้าพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าได้ทุกพื้นที่ รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์อีก 20 ลำ ดังนั้นการไปอพยพชาวบ้านออกมาทันที ยังไม่สามารถทำได้ แต่การบริหารได้หากเป็นกลุ่มสีแดง ต้องย้ายออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อรักษาชีวิต หากเป็นกลุ่มสีเหลืองต้องส่งน้ำและอาหาร หากระดับน้ำลดลงมากกว่านี้และสามารถจัดส่งอุปกรณ์เข้าไปได้จะจัดส่งเข้าไปให้เร็วที่สุด เมื่อถามว่า ในการช่วยเหลือที่ล่าช้าเป็นเพราะการบริหารจัดการของรัฐที่ล้มเหลวหรือไม่ สิริพงศ์กล่าวว่า เรามีการทั้งแบบออนกราวด์ และออนไลน์ รัฐบาลยังยืนยันว่า ในระดับออนกราวด์มีการแบ่งเขตรับผิดชอบทั้งตำบล และอำเภอในการอพยพผู้คน เพราะอย่างบางจังหวัดที่มีการแจ้งเตือนให้อพยพ แต่ประชาชนกลับไม่อพยพ ซึ่งการอพยพมาที่ศูนย์อพยพ ยังมีคนตกหล่นอยู่ แต่ยังยืนยันว่าจะตามช่วยเหลือให้ครบทุกคน ส่วนกรณีที่โรงพยาบาลขาดน้ำมันซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในการปั่นไฟนั้น เมื่อวานนี้ศูนย์ได้มีการประสานงานให้นำเครื่องปั่นไฟไปติดตั้งทุกโรงพยาบาล ซึ่งปัญหาที่พบเพียงอย่างเดียวคือเวลาในการส่งอาหารที่ล่าช้าเกินไป ควรจะส่งตั้งแต่เวลา 18.00 น. แต่อาหารไปถึงในเวลา 20.00 น. ซึ่งตอนนี้ผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยวิกฤตได้อพยพออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงผู้ป่วยที่สามารถดูแลได้ตามสถานการณ์ * ข่าว * การเมือง * คุณภาพชีวิต * น้ำท่วมภาคใต้ * น้ำท่วม * สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ * ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย
dlvr.it
November 26, 2025 at 10:27 AM
ถอด 5 บทเรียนภาคประชาชน 'น้ำท่วมใหญ่' ภาคใต้ 3 ปีติดต่อกัน
ถอด 5 บทเรียนภาคประชาชน 'น้ำท่วมใหญ่' ภาคใต้ 3 ปีติดต่อกัน มูฮำหมัด ดือราแม : รายงาน Pazzle Wed, 2025-11-26 - 12:31 ถอด 5 บทเรียนภาคประชาชน เผชิญมหาวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ 3 ปีติดต่อกัน โดย “อานัส พงศ์ประเสริฐ” ศูนย์ประสานงานช่วยเหลืออุทกภัยเมืองสาย PKB Persai ระบุ “ทั้ง 3 ครั้งใน 3 ปี เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่อาจใช้องค์ความรู้เดิมมาใช้ประเมินสถานการณ์ไม่ได้อีกแล้ว” ภาคใต้ตอนล่างมีแนวโน้มรุนแรงมาน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดไม่ใช่แค่ "ฝนหนักช่วงมรสุม" ทั่วไป แต่เป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับแนวโน้มสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ภาคใต้ตอนล่างเผชิญวิกฤตน้ำท่วมรุนแรง 3 ปีติดต่อกัน และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแบบที่ว่าฝนตกในเวลาสั้นๆ ไม่ว่าจะเรียกว่า Rain Bomb ฝนสุดขั้ว (extreme rainfall) หรือ ฝนแช่" (Stationary Heavy Rain) ก็แล้วแต่ ล้วนทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำหลากและดินถล่ม เกิดความเสียหายในวงกว้าง ทั้งหมดนั้นอาจไม่ใช่แค่ ‘ฝนหนักช่วงมรสุม’ ทั่วไป แต่เป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับแนวโน้มสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญเหตุการณ์คล้ายกันหลายประเทศ   หากยังจำกันได้ ปลายปี 2566 ฝนตกหนักในภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะที่ จ.นราธิวาสและยะลา จนเกิดดินโคลนถล่มหลายจุด เช่น ใน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดและมีผู้เสียชีวิตหลายคนจากโคลนถล่ม คลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) บันทึกไว้ว่า ระหว่าง 23-25 ธ.ค.66 มีปริมาณฝนสะสมรายวันบริเวณ จ.นราธิวาส 651 มม. สูงสุดในประเทศตั้งแต่ปี 2498 คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ (ThaiWater) ระบุว่า ปี 2566 ภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีฝนตกเฉลี่ยทั้งภาค 2,117 มม. เฉพาะ จ.นราธิวาสมีฝนตกมากกว่าปกติ 44.76% ปีต่อมา 2567 ในช่วงปลายปี ฝนตกหนักกว่าปีที่แล้วอีก โดยเฉพาะภาคใต้ตอนล่าง เพียง 5 วัน ตั้งแต่ 26 - 30 พ.ย. 67 มีปริมาณฝนสะสมสูงสุดที่นราธิวาส 1,160.94 มม. รองลงมาคือปัตตานี 929.73 มม.และสงขลา 751 มม. ส่วนที่ จ.ยะลา ที่มีน้ำท่วมตัวเมืองอย่างหนักในรอบ 30 ปี บางรายงานบอกว่าสูงสุดในรอบ 50 ปีเลยทีเดียว ยะลาวัดปริมาณฝนสะสม 7 วันได้ 852.2 มม. ความรุนแรงของของสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ปีที่แล้ว บางสื่อถือเป็น “มหาวิกฤต” หนักสุดในรอบ 36 ปี มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 31 ราย มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 4.65 หมื่นล้านบาท ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือ บทบาทของเยาวชนที่มาเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือน้ำท่วมแทบจะมีทุกตำบลที่ประสบภัย ซึ่งเป็นความพยายามช่วยเหลือหมู่บ้านตัวเอง ในแบบที่อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยไปก่อน ทั้งที่ไม่มีทรัพยากรเครื่องมือและทักษะพอ ขณะที่ภาครัฐถูกวิจารณ์ถึงความล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพพอ เป็นต้น มาน้ำท่วมปีนี้ พ.ย. 2568 ขณะนี้ถือเป็นมหาวิกฤตอุทกภัยภาคใต้ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วัดปริมาณฝนสะสม 3 วัน (19-21 พ.ย.) ได้สูงสุดถึง 630 มม. สูงกว่าปริมาณฝนสะสมในเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่เมื่อปี 2543 และ 2553 ซึ่งตอนนั้นระบบระบายน้ำยังไม่พร้อมเท่าปัจจุบัน ส่วนพื้นอื่นๆ ก็กำลังเผชิญวิกฤตไม่แพ้กัน โดยวันนี้ (25 พ.ย. 2568) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัย 9 จังหวัดภาคใต้ มีประชาชนได้รับผลกระทบ 798,695 ครัวเรือน 2,196,758 คน และมีผู้เสียชีวิตรวม 13 ราย คาดว่าตัวเลขนี้จะพุ่งสูงขึ้นไปอีก ถามว่า สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ โดยเฉพาะภาคใต้ตอนล่างทั้ง 3 ครั้งใน 3 ปีมานี้ ได้ให้บทเรียนอะไรบ้าง ในแง่การบริหารจัดการสภาวะวิกฤต อานัส พงศ์ประเสริฐ   ในมุมมองของภาคประชาสังคม “อานัส พงศ์ประเสริฐ” ที่ปรึกษาศูนย์ประสานงานช่วยเหลืออุทกภัยเมืองสาย PKB Persai" ซึ่งเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมทั้งลงลุยช่วยเหลือผู้ประสบภัยมาตลอด โดยเฉพาะในแถบลุ่มน้ำสายบุรี ให้บทเรียนที่น่าสนใจดังนี้ ประเด็นแรก สถานการณ์น้ำท่วมทั้ง 3 ครั้งใน 3 ปีนี้ ถือว่า เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่อาจใช้องค์ความรู้เดิมมาใช้ประเมินสถานการณ์ไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป็นวิกฤตของโลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่มาก่อน กล่าวคือ สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้รุนแรงกว่าเมื่อปี 2566 และ 2567 และต้องยอมรับว่าน้ำท่วมในปีนี้แตกต่างจาก 2 ปีที่ผ่านมา คือปีนี้น้ำท่วมเกิดจากฝนตกหนักในพื้นที่ปลายน้ำก่อน จากนั้นมีน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำไหลมาสมทบทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น 2 เท่า ซึ่งเกินศักยภาพของพื้นที่จะรับไว้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเตรียมรับมือไม่ทัน เพราะที่ผ่านมาพื้นที่ปลายน้ำจะรอข้อมูลแจ้งเตือนจากพื้นที่ต้นน้ำก่อนว่าเกิดฝนตกหนักให้พื้นที่ปลายน้ำเฝ้าระวัง เมื่อไม่มีการแจ้งเตือนจากต้นน้ำ พื้นที่ปลายน้ำจึงไม่ได้เตรียมการรับมือ จากข้อมูลน้ำท่วมในปี 2566 พบว่ามีฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำบริเวณภูเขาหรือพื้นที่สูง เช่น ใน อ.จะแนะ อ.ศรีสาคร อ.แว้ง อ.สุคิริน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส จึงมีข้อมูลแจ้งเตือนพื้นที่ปลายน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำสายบุรี จ.ปัตตานี น้ำท่วมครั้งที่สอง ปี 2567 เกิดฝนตกหนักในพื้นที่กลางน้ำและปลายน้ำ เช่น อ.เมือง จ.ยะลา และใกล้เคียง และพื้นที่ จ.ปัตตานี ทำให้ไม่ข้อมูลแจ้งเตือนจากต้นน้ำ จึงไม่มีการเตรียมรับมืออย่างเพียงพอ พอมาน้ำท่วมปีนี้ 2568 ตั้งแต่ 19 - 24 พ.ย. เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ปลายน้ำก่อน อย่างเช่นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และพื้นที่อื่น ๆ ใน จ.สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันถือเป็นวิกฤติรอบแรก ก่อนจะมีวิกฤตรอบสองตามมาจากน้ำที่ไหลมาจากพื้นที่ต้นน้ำเข้าท่วม อย่างที่เกิดขึ้นในหาดใหญ่ขณะนี้ เช่นเดียวกับพื้นที่ลุ่มน้ำอื่น เช่น ลุ่มน้ำสายบุรี ลุ่มน้ำปัตตานี ลุ่มน้ำบางนรา ที่ยังไม่ทันแห้งดีก็มีน้ำหลากจากต้นน้ำไหลมาสมทบ ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ จากประสบการณ์น้ำท่วม 2 ครั้งติดต่อกัน ทำให้ในพื้นที่ปัตตานี นราธิวาสและยะลาจะรับมือได้ดีกว่า ยกเว้นบางพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดน้ำท่วมมากก่อน ส่วนหาดใหญ่ไม่เคยประสบสถานการณ์แบบนี้ ก็อาจทำให้ประเมินสถานการณ์ผิดได้   ประเด็นที่สอง จากการสังเกตพบว่า น้ำท่วมรุนแรง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้พื้นดินและภูเขาเล็กๆหลายลูกในพื้นที่กลางน้ำและปลายน้ำพยายามดูดซับน้ำไว้ ได้ปีนี้ที่มีฝนตกหนักพื้นที่ซับน้ำเหล่านี้ไม่สามารถซับน้ำได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นปีนี้เราจึงเห็นพื้นที่ที่ไม่เคยถูกน้ำท่วมมาก่อนก็ถูกน้ำท่วมด้วย ประกอบกับ หลังน้ำท่วมใน 2 ปีที่ผ่านมา กระแสน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำไหลแรงได้เปิดทางน้ำไหลให้สะดวกมากขึ้น สิ่งกีดขวางต่างๆ ทั้งทางธรรมชาติหรือที่มนุษย์สร้างขึ้นเช่น ถนนหรือคลองชลประทานถูกกวาดเรียบ รวมทั้งเปิดช่องทางใหม่ๆ เพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเลมากขึ้นด้วย ทำให้ปีนี้น้ำจากต้นน้ำไหลเร็วและแรงขึ้น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พื้นที่ปลายน้ำเกิดน้ำท่วมรุนแรง โดยสังเกตจากน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำใน อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาสซึ่งมีสีขุ่นได้ไหลลงมาตามแม่น้ำสายบุรีถึงปลายน้ำใช้เวลาประมาณ 2-3 วันแต่ปีนี้ แค่วันเดียวก็ถึงแล้ว นอกจากนี้ หลังน้ำท่วมใน 2 ปีที่ผ่านมา มีโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำเกิดขึ้นจำนวนมาก มีการขุดลอกเพื่อเปิดทางให้น้ำไหลได้สะดวกมากขึ้น แต่ก็สร้างผลกระทบให้กับประชาชนด้วย เพราะฉะนั้นการดำเนินโครงการเหล่านี้ควรจะต้องออกแบบให้ดี โดยต้องประสานงานและสร้างความร่วมมือกับภาคประชาชนด้วย ประเด็นที่สาม สถานการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2566 ในระยะแรกการช่วยเหลือมีปัญหามาก แม้แต่ภาครัฐเองเพราะไม่มีองค์ความรู้ในการเตรียมรับมือมากนัก แต่เห็นได้ชัดว่าประชาชนก็ต้องพยายามลุกขึ้นมาช่วยเหลือกันเองในเบื้องต้น แต่ยังไม่เป็นระบบมากนัก โดยมีสื่อมวลชนที่ลงพื้นที่ไปรายงานข่าวและมีการส่งต่อข้อมูลไปเครือข่ายต่างๆ นอกพื้นที่ อย่างแข็งขัน ทำให้มีการระดมความช่วยเหลือต่างๆ ตามมา พอมาถึงน้ำท่วมครั้งที่ 2 ปี 2567การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นระบบมากขึ้น ที่สำคัญคือมีกลุ่มเยาวชนอาสาสมัครเกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ เพราะภาคประชาชนเองก็ไม่ได้มีศักยภาพ ทักษะ เครื่องมือและทรัพยากรที่เพียงพอ แม้มีพยายามที่จะใช้องค์ความรู้จากภายนอกเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการด้วยก็ตาม อย่างไรก็ตาม ข้อดีคือ ภาคประชาชนได้มีการจัดระบบการจัดทำฐานข้อมูลของภาคประชาชนไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผู้ประสบภัยหรือข้อมูลพื้นที่ แต่การประสานการทำงานร่วมกันจากภาครัฐยังน้อยมาก ไม่มีการแชร์ข้อมูลไปมา มีลักษณะการทำงานแบบคู่ขนานมากกว่า ทั้งที่ภาครัฐมีเครืองมือและงบประมาณพร้อมกว่า อาจเป็นเพราะว่ายังมีช่องว่างระหว่างทางความรู้สึกระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชนอยู่ จริงอยู่ว่า น้ำท่วมครั้งนี้ (2567) ภาครัฐบางส่วนมีความพยายามที่จะเชื่อมการช่วยเหลือกับภาคประชาชนอยู่ โดยเฉพาะ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และทางจังหวัด แต่สุดท้ายก็ไปให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่า แต่น้ำท่วมครั้งนั้นรุนแรงจนเกินศักยภาพของท้องถิ่นไปแล้ว หรือติดเงื่อนไขบางอย่างในทางราชการที่ทำให้ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างสะดวก หรืออาจจะกลัวผิดระเบียบ หรือช่วยได้แต่ก็ยังจำกัดบางพื้นที่เท่านั้น แต่ที่น่าสงสัยคือในพื้นที่ชายแดนใต้มีหน่วยงานด้านความมั่นคงอยู่ ทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า หรือเจ้าหน้าที่สามฝ่ายทำงานร่วมกัน(ทหาร ตำรวจ ผ่านปกครอง) ที่สามารถทำงานร่วมกับภาคประชาชนหรือกลุ่มเยาวชนอาสาสมัครได้ สามารถประสานข้อมูลการช่วยเหลือกันได้ เช่น สนับสนุนเรือกู้ภัย เป็นต้น แต่อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า อาจจะมีความรู้สึกหวาดระแวงอยู่ทำให้การช่วยเหลือทำได้ไม่เต็มที่ ประเด็นที่สี่ ก่อนจะเกิดน้ำท่วมในปีนี้ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคประชาชนบางส่วน รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง ได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมให้มากขึ้น เช่น การซักซ้อมการกู้ภัย การปฐมพยาบาล ระบบการช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงระบบการจัดทำฐานข้อมูล ฯลฯ โดยใช้บทเรียนจากน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ถือว่าภาครัฐมีความพร้อมมาก สำหรับกลุ่มเยาวชนอาสาสมัครในหลายชุมชนก็พยายามที่จะยกระดับทักษะการกู้ภัยน้ำท่วม โดยดึงองค์กรภายนอกมาช่วยฝึกอบรมทักษะต่างๆ ให้ ทำให้หลายชุมชนแอ็คทีฟมาก ๆ ถึงขนาดองค์กรต่างประเทศที่สนับสนุนภาคประชาสังคมในพื้นที่ เช่น จากญี่ปุ่นหรือยุโรปก็หันมาสนับสนุนงานด้านการรับมือภัยพิบัติมากขึ้น เพราะพวกเขาสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือ Climate Change อยู่แล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็แอคทีพมากเช่นกัน มีการแจกเบอร์โทรติดต่อกรณีฉุกเฉินหรือต้องการความช่วยเหลือ แต่บางอย่างก็ไม่ชัดเจน เช่น การตั้งศูนย์ช่วยเหลือหรือศูนย์อพยพ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้จะภาครัฐมีการเตรียมพร้อมแล้ว แต่การใช้ฐานข้อมูลที่ยึดโยงกับของภาคประชาชนก็ยังน้อย ยิ่งเมื่อลงไปดูระดับพื้นที่ก็พบว่ายังไม่มีการเตรียมพร้อมจริง เช่น การติดธงแจ้งเตือนในพื้นที่เสี่ยง อย่างแถว อ.สายบุรี และ อ.มายอ จ.ปัตตานี ซึ่งถูกน้ำท่วมหนักขณะนี้ด้วย ดังนั้น ข้อเสนอคืออยากให้มีการทำงานร่วมกันมากขึ้นระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชน เพราะภาคประชาชนแอ็คทีฟมาก ประเด็นที่ห้า ในเรื่องอาหารการกินและการช่วยเหลือจากภายนอก เนื่องจากขณะนี้ทุกฝ่ายต่างมุ่งเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่หาดใหญ่เป็นหลักเพราะสถานการณ์ร้ายแรงมาก แต่พื้นที่อื่นๆ ก็ร้ายแรงเช่นกัน ในพื้นที่ปัตตานีอาหารยังพอมีอยู่ในพื้นที่ แต่หากสถารการณ์ยืดเยื้อไปถึง 7 วัน อาหารอาจจะหมดได้ บางแห่งอาจอยู่ได้ 3 วัน การช่วยเหลือน้ำท่วมปีนี้อาจจะหนักกว่าปีที่แล้ว เพราะปีที่แล้วการช่วยเหลือจากภายนอกมุ่งตรงเข้ามาที่ปัตตานีและยะลาได้ แต่ปีนี้การช่วยเหลือมุ่งตรงไปที่หาดใหญ่เป็นส่วนใหญ่ การช่วยเหลืออาจจะมาไม่ถึงปัตตานี ยะลา หรือนราธิวาส ทั้งที่สถานการณ์หนักไม่แพ้กัน ยิ่งเส้นทางไปปัตตานีถูกตัดขาดทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์น้ำท่วม 2 ปีที่ผ่านมา ภาคประชาชนเองได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการภัยพิบัติได้ในระดับหนึ่งแล้ว จึงมีการเตรียมการ รวมทั้งมีการออกแบบระบบการช่วยเหลือไว้แล้ว เช่น การจัดตั้งครัวกลาง ระบบการแจกจ่ายอาหาร โดยใช้ฐานข้อมูลพื้นที่ประสบภัยเมื่อปีที่แล้วมาใช้ เป็นต้น ทำให้สามารถช่วยตนเองในเบื้องต้นได้ และจากการสังเกตพบว่า เมื่อเกิดน้ำท่วมปีนี้ หลายชุมชนรีบจัดตั้งครัวกลางทันที เพื่อช่วยผู้ประสบภัย แต่หากสถานการณ์เลวร้ายจนเกินศักยภาพของพื้นที่ แล้ว ก็จะลำบากกว่าเดิม เพราะการช่วยเหลือจากภายนอกเข้ามาไม่ได้ หรือเข้ามาได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องหาร ก็อาจมีอีกช่องทางหนึ่งคือการประสานขอความช่วยเหลือจากฝั่งมาเลเซียได้ ทั้งทางด่านใน จ.นราธิวาส หรือด่านเบตง จ.ยะลา (ล่าสุดรัฐกลันตันซึ่งติดกับ จ.นราธิวาสก็มีน้ำท่วมหนักด้วยเช่นกัน) จากบทเรียนที่อานัส พงศ์ประเสริฐ ถ่ายทอด สรุปได้ว่า วิกฤตครั้งนี้เลวร้ายเกินกว่าประชาชนจะช่วยเหลือกันเองไปแล้ว รวมทั้งหน่วยงานในท้องถิ่นด้วย เพราะเป็นภาวะวิกฤตระดับโลกไปแล้ว ดังนั้น รัฐบาลต้องทุ่มสรรพกำลังช่วยเหลือทุกพื้นที่อย่างเร่งด่วน หรืออาจต้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศหากไม่ไหวจริงๆ และการจัดการภัยพิบัติในอนาคต รัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไร หรือแค่ปล่อยให้เป็นไปตามฤดูกาลอย่างที่ผ่าน ๆ มา   * รายงานพิเศษ * การเมือง * สังคม * คุณภาพชีวิต * น้ำท่วม * น้ำท่วมภาคใต้ * อานัส พงศ์ประเสริฐ * Rain Bomb * ภาคประชาชน * มูฮำหมัด ดือราแม
dlvr.it
November 26, 2025 at 6:12 AM
กสม.รับดันสิทธิเด็กเคลื่อนย้าย เตรียมเชิญทุกฝ่ายแก้ปัญหาสิทธิร่วมกัน
กสม.รับดันสิทธิเด็กเคลื่อนย้าย เตรียมเชิญทุกฝ่ายแก้ปัญหาสิทธิร่วมกัน ภาพปก: ถ่ายโดย ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์  XmasUser Wed, 2025-11-26 - 00:08 วงเสวนา ‘36 ปี ว่าด้วยอนุสัญญาสิทธิเด็ก : ความก้าวหน้าและความท้าท้ายของประเทศไทยต่อการคุ้มครองเด็กเคลื่อนย้ายในวิกฤติการณ์ด้านมนุษยธรรม’ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ตัวแทนเด็กร่วมสะท้อนปัญหาการใช้ชีวิต และข้อเสนอสิทธิ้เ็ดเคลื่อนย้ายถึงภาครัฐใน 3 มิติ การศึกษา ความเป็นอยู่ และความปลอดภัย ด้าน ‘กสม.’ รับผลักดันต่อ เตรียมจัดวงประชุมสมัชชาฯ 18-19 ธ.ค.นี้ ชวนทุกฝ่ายร่วมวงถก หาทางยกระดับสิทธิเด็ก   26 พ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องในวาระวันเด็กสากล ประจำปี 2568 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร แม่สอด จ.ตาก เวลาประมาณ 13.00 น. มูลนิธิ Rights Beyond Border มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร และเครือข่ายภาคประชาสังคม 8 องค์กร ร่วมกันจัด "มหกรรมสิทธิเด็กเคลื่อนย้าย" และวงเสวนา "Policy dialogue" ภายใต้หัวข้อ "36 ปี อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก : ความก้าวหน้าและความท้าท้ายของประเทศไทยต่อการคุ้มครองเด็กเคลื่อนย้ายในวิกฤติการณ์ด้านมนุษยธรรม"  โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา เช่น ตัวแทนของเด็กเคลื่อนย้าย อย่าง 'โชเลข่าย' ประธานเครือข่ายเด็กเคลื่อนย้าย และ ‘หน่วยกะยอสิ่นผิ่ว’ ผู้แทนจากเครือข่ายเด็กเคลื่อนย้ายจาก 5 ศูนย์การเรียนฯ ในแม่สอด สามเณร ‘เติร์ด’ จากศูนย์การเรียนโพธิยาลัย และสมาชิกเครือข่ายคุ้มครองเด็กในวัด สุชาติ เศรษฐมาลินี สมาชิกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชาติ (กสม.) เป็นต้น  วงเสวนา Policy Dialogue (ถ่ายโดย ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์) สามเณรเติร์ด เผยว่า ปัญหาของเด็กเคลื่อนย้ายคือหลายคนต้องหนีภัยประหัตประหารเข้ามายังประเทศไทย โดยไม่ได้นำเอกสารติดตัวมาด้วย ทำให้พวกเขามีความกังวลเนื่องจากต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใหม่ ไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นยังไง หรือจะได้รับการศึกษาหรือไม่  สำหรับชีวิตของสามเณรเติร์ด เขาเล่าให้ฟังว่า เนื่องด้วยที่บ้านเกิดสงคราม ทำให้เขาต้องเดินทางเข้ามาในไทยกับแม่เพียง 2 คนโดยไม่มีเอกสารติดตัว จากนั้นแม่ก็ให้เขาบวชเป็นสามเณร ซึ่งตอนบวชใหม่ๆ ชีวิตของเขาเติบโตด้วยคนเดียวภายในวัด ไม่ได้มีพ่อแม่อยู่ด้วย และไม่ได้รับการศึกษา จนกระทั่งมาเจอศูนย์การเรียนโพธิยาลัย ที่ให้โอกาสทางการศึกษากับเขาจนเรียนจบชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6  สามเณรเติร์ด เผยว่า จริงๆ การเข้าเรียนก็ไม่ง่ายนัก เพราะว่าต้องไปหาเอกสาร ใบเกิด และอื่นๆ ซึ่งเขาเกือบจะไม่ได้เรียน แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ และตั้งแต่ได้เริ่มเรียนมา ทำให้เขาได้รับโอกาสมากมาย ได้เปิดโลกใหม่ และรู้สึกดีว่าได้ทำอะไรที่ทำให้ชีวิตของเราก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งต้องขอบคุณเจ้าอาวาสที่รับเขาเข้ามาอาศัยในวัดด้วย อุปสรรคในการเข้าเรียน 'GED' ด้านโชเลข่าย และหน่วยกะยอสิ่นผิ่ว ตัวแทนเด็กเคลื่อนย้ายได้อภิปรายถึงปัญหาและข้อเสนอด้วยกัน 3 มิติ ได้แก่ มิติด้านการศึกษา มิติความเป็นอยู่ และมิติความปลอดภัย ในด้านการศึกษา พวกเธอระบุว่า นักเรียนข้ามชาติในแม่สอด ต้องเผชิญอุปสรรคอย่างมากในเข้าศึกษาในโปรแกรมเตรียมสอบ ‘GED’ ซึ่งก็คือการสอบเทียบวุฒิระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของสหรัฐอเมริกา  สาเหตุที่นักเรียนข้ามชาติต้องการสอบ ‘GED’ เนื่องจากหากสอบและได้คะแนนดี นี่จะเป็นใบเบิกทางให้พวกเขาสามารถเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในไทย (หลักสูตรนานาชาติ) และมหาวิทยาลัยในยุโรปและสหรัฐฯ ได้ แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าไปเรียนหลักสูตร GED ยังประสบปัญหาในการเข้าถึงนักเรียนข้ามชาติ  ข้อมูลจากศูนย์ประสานงานการจ้ดการศึกษาเด็กต่างด้าว (MECC) พบว่าในปี 2568 มีนักเรียนข้ามชาติที่ได้ศึกษา GED เพียง 1,388 คน จากจำนวนนักเรียนทั้งหมด 18,591 คน หรือคิดเป็น 8% ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด หรือในศูนย์การเรียนรู้ CDC มีนักเรียน 25 คนจาก 740 คนที่ได้เรียนหลักสูตร GED  ปัจจัยหลักมาจากเด็กบางคนไม่มีเอกสารประจำตัวทำให้ไม่สามารถเรียนในโปรแกรมเตรียมสอบ GED อีกทั้ง ค่าสอบยังมีราคาที่สูงอยู่ที่ 10,200 บาท หรือต่อให้สอบ GED ผ่านได้แล้ว แต่ด้วยค่าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยที่แพง ทำให้นักเรียนข้ามชาติต้องรอทุนการศึกษาเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ การรับมือปัญหาสุขภาพจิตที่ยังขาดแคลน ตัวแทนเด็กเคลื่อนย้าย กล่าวว่า นักเรียนข้ามชาติหลายคนประสบปัญหาด้านโภชนาการ และสุขภาพ หลายคนกลัวการไปโรงพยาบาลเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง และไม่มีประกันสุขภาพ บางคนไม่มีเอกสารทำให้ไม่กล้าออกไปไหน เพราะกลัวถูกจับกุมระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล นักเรียนข้ามชาติบางคนอาศัยในหอพัก ถ้าป่วยก็มีเพียงยาสามัญประจำบ้าน และได้รับโภชนาการไม่เพียงพอ เนื่องจากงบประมาณของศูนย์การเรียนฯ ที่จำกัด ที่สำคัญมากๆ คือการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตยังคงขาดแคลน ซึ่งผลจากการประเมินของมูลนิธิ Rights Beyond Border ระบุว่า 40% ของเด็กและเยาวชน 722 คนในศูนย์การเรียนฯ ประสบปัญหาความวิตกกังวล และความเครียดในระดับที่รุนแรง โดยสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ความคิดถึงบ้าน และความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก  ไร้เอกสาร ไร้ความปลอดภัย ด้านความปลอดภัย ตัวแทนเด็กเคลื่อนย้าย ระบุว่า นักเรียนที่เผชิญปัญหาความรุนแรง เมื่อแจ้งเหตุไปแล้ว หน่วยงานที่มีอำนาจในการจัดการกลับไม่เข้มงวดและไม่ตอบสนองอย่างทันท่วงที บางโรงเรียนที่มีปัญหาการลักขโมยและการล่วงละเมิดทางเพศ แต่เด็กจำนวนมากยังไม่ทราบช่องทางแจ้งเหตุและกลัวที่จะเข้าไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ การไม่มีเอกสารทำให้นักเรียนมีความเสี่ยงจากการถูกคุกคาม หรือการจับกุมระหว่างเดินทางไปเรียน ข้อเสนอ 3 ด้านจากเสียงของเด็ก  สำหรับข้อเสนอ ตัวแทนเด็กเคลื่อนย้าย ระบุว่า พวกเธออยากให้ภาครัฐจัดทำบัตรประจำตัวนักเรียน หรือเอกสารการเรียนชั่วคราว เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าถึงการศึกษา GED และการศึกษานอกระบบอื่นๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 28 ต.ค. 2568 ที่ระบุให้กระทรวงศึกษาไทย ต้องพัฒนาระบบข้อมูล เพื่อออกเลขประจำตัวนักเรียนให้กับศูนย์การเรียน และประสานกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อจัดทำข้อมูลบุคคล นอกจากการทำบัตรประจำตัวนักเรียนแล้ว พวกเธอเสนอให้ภาครัฐมีการอบรมครูแบบพหุภาษา และจัดสรรครูไทยให้ศูนย์การเรียนเพิ่มเติม เพื่อให้ศูนย์การเรียนต่างๆ สามารถสอนวิชาภาษาไทย  ในด้านความเป็นอยู่ ตัวแทนเด็กเคลื่อนย้าย เสนอให้มีการจัดการการเข้าถึงบริการสาธารณสุข การตรวจสุขภาพ และการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต รวมถึงการมีประกันสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้หรือฟรี นอกจากนี้ พวกเธอเสนอให้มีการจัดอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีทักษะด้านการดูแลสุขภาพจิตของนักเรียน พร้อมทั้งจัดให้มีพยาบาลประจำศูนย์การเรียนฯ และหลักสูตรสุขศึกษาในศูนย์การเรียนฯ ท้ายที่สุดคือมิติความปลอดภัย ตัวแทนเด็กเคลื่อนย้าย และนักเรียนข้ามชาติ มองว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ภาครัฐจะจัดให้มีการทำเอกสารชั่วคราว หรือจัดทำบัตรนักเรียน เพื่อให้พวกเขาสามารถเดินทางไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย และไม่ถูกคุกคาม โดยกระบวนการการลงทะเบียนต้องเป็นมิตรกับเด็ก หรือต้องไม่ทำให้เด็กรู้สึกว่ากำลังเข้าสู่กระบวนการทำผิดทางอาญา เช่น การพิมพ์ลายนิ้วมือ หรือการถ่ายภาพ 4 ด้าน  พวกเธออยากเสนอให้ภาครัฐและเอกชนร่วมกันทำงาน เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิเด็กทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ และมีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ในโรงเรียน และชุมชน และมีการฝึกอบรมครูให้สามารถช่วยเหลือนักเรียนที่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกละเมิด หรือความรุนแรงได้ "นักเรียนข้ามชาติมีโอกาสแสดงความคิดเห็นได้น้อยมาก และการตัดสินใจต่างๆ มักเกิดขึ้นโดยไม่มีพวกเขาอยู่ในนั้น พวกเรายืนยันว่าไม่ได้เรียกร้องสิทธิพิเศษสำหรับเด็กเคลื่อนย้าย แต่เรียกร้องโอกาสที่เท่าเทียม พวกเรารักการเรียน ขยัน และมีความฝันเหมือนเด็กทุกคน การศึกษาคือสะพานอยู่อนาคตที่ดีสำหรับตัวเรา ครอบครัว และประเทศไทย" ตัวแทนเด็กเคลื่อนย้าย ทิ้งท้าย กสม.รับข้อเสนอผลักดันต่อ สุชาติ เศรษฐมาลินี ในฐานะสมาชิก กสม. กล่าวเน้นย้ำว่า เรื่องสิทธิเด็กกลุ่มเปราะบาง หรือเด็กเคลื่อนย้าย ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และไทยก็มีพันธะกรณีที่ลงนามไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่จะต้องให้ความคุ้มครองเด็กทุกคนโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ และต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นอันดับแรก เพื่อให้พวกเขาได้มีสิทธิอยู่อย่างปลอดภัย และสิทธิที่จะถูกรับฟังหรือมีส่วนร่วมไม่ว่าเขาจะอยู่ในสังคมใดก็ตาม สุชาติ เศรษฐมาลินี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบัน ไทยจะมีนโยบายด้านสิทธิเด็กก้าวหน้า อย่างการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All) แต่จากการติดตาม พบว่ายังมีช่องว่างในการปฏิบัติในหลายพื้นที่ หลายโรงเรียนที่ไม่ยอมรับเด็ก รหัส G หรือการให้ตัวตนสถานะบุคคล แม้ว่าเด็กจะเกิดในประเทศไทย แต่การรับรองการเกิดยังมีปัญหาอยู่เยอะ หรือกรณีการกักขังเด็กในห้องกักของ ตม. เวลาเราลงไปดูในพื้นที่ ยังพบเห็นการกักขังเด็กอยู่เยอะเหมือนกัน ซึ่งทาง กสม.จะขอรับไปติดตามและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองเด็ก สุชาติ กล่าวต่อว่า วันนี้ได้มีโอกาสรับหนังสือจากเด็กเคลื่อนย้าย หลังจากนี้ทาง กสม.จะจัดสมัชชาสิทธิมนุษยชน ระหว่างวันที่ 18-19 ธ.ค. 2568 ซึ่งก่อนที่จะมีการจัดสมัชชาฯ จะมีการหาทางพูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ ที่ดูแลเรื่องการคุ้มครองเด็ก เพื่อให้มีการรับฟังเสียงสะท้อนในพื้นที่ และทาง กสม.เองก็รับเป็นเจ้าภาพในการประชุม และออกจดหมายเชิญหน่วยงานต่างๆ ให้เข้าร่วม เช่น สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงศึกษา กระทรวงสาธารณสุข และอื่นๆ โดยเราหวังว่าในเวทีจะได้มารับฟังปัญหา และหาทางออกร่วมกัน ปลดล็อก 'ชาตินิยม' เป็นพันธกิจของทุกคน ต่อประเด็นที่สื่อถามว่าทาง กสม.มีอะไรอยากฝากถึงกระแสชาตินิยมในสังคมที่กำลังรุนแรงในขณะนี้หรือไม่ สุชาติ มองว่า เรื่องชาตินิยมก็เป็นปัญหาที่สำคัญ และเขามองว่าทุกฝ่ายจะต้องมาช่วยเหลือ เพื่อปลดล็อกมุมมองของสังคม ให้เห็นความสำคัญความมั่นคงของมนุษย์ และความหลากหลายของผู้คน ซึ่งอยู่ข้ามพรมแดนและความมั่นคงของชาติ  “คนในสังคมไทย หรือภาคสื่อต่างๆ จะต้องมาช่วยกันในการที่จะปลดล็อกให้เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ความหลากหลายของผู้คน ซึ่งจริงๆ มันคือความสวยงามที่จะเราอยู่ร่วมกัน และพ่อแม่ที่เข้ามา ล้วนแต่เป็นคนที่เข้ามาช่วยพัฒนาสังคม และเศรษฐกิจไทยทั้งสิ้น เราต้องช่วยกันในการปลดล็อกตรงนี้” สมาชิก กสม. กล่าว  อนึ่ง งานเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมสิทธิเด็กเคลื่อนย้าย จัดโดย มูลนิธิ Rights beyond border และพันธมิตรที่ทำงานด้านสิทธิฯ อีก 8 องค์กร ร่วมกันจัดงานมหกรรมสิทธิเด็กเคลื่อนย้าย : ปลอดภัย รับรู้ และสนับสนุน (Children on the move festival : safe seen and supported) เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และมีข้อเสนอถึงหน่วยงานต่างๆ ในการร่วมกันผลักดันการคุ้มครองและสิทธิของเด็กเคลื่อนย้าย  ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้วันที่ 20 พ.ย.ของทุกปีเป็น “วันเด็กสากล” เพื่อเฉลิมฉลองการลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเมื่อปี 2532 และเพื่อให้สังคมตระหนักถึงปัญหาด้านสิทธิ และความเป็นอยู่ของเด็กทั่วโลก  ขณะที่คำว่า "เด็กเคลื่อนย้าย" เป็นคำที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยนัก โดยในการประชุมเรื่อง “เด็กเคลื่อนย้าย” ได้กำหนดนิยามเด็กกลุ่มนี้ว่า คือเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และมีเหตุหรือปัจจัยที่ต้องทำให้พวกเขาต้องอพยพทั้งภายในประเทศและข้ามพรมแดน ทั้งสมัครใจและไม่เต็มใจ ทั้งการอพยพไปกับครอบครัว ญาติหรือมิตรสหาย อพยพเพียงลำพัง หรือตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในรูปแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเด็กกลุ่มนี้จะเป็นทั้งผู้พลัดถิ่นภายใน (IDP) ผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัย ลูกหลานแรงงานข้ามชาติ และอื่นๆ  นอกจากงานเสวนาแล้ว ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น การปาฐกถาพิเศษโดย ผศ.ดร.ภาณุภัทร จิตเที่ยง จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กิจกรรม ‘Human Library’ ที่เปิดโอกาสให้เด็กเคลื่อนย้ายได้พูดถึงปัญหาการใช้ชีวิต ความคิด และความหวังของพวกเขา รวมถึงการแสดงเชิงวัฒนธรรม * ข่าว * การศึกษา * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * ต่างประเทศ * เด็กเคลื่อนย้าย * ผู้ลี้ภัย * สุชาติ เศรษฐมาลินี * กสม. * Rights Beyond Border * ชาตินิยม * GED * อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
dlvr.it
November 26, 2025 at 5:23 AM
112 คดีอาญาพิเศษใส่ไข่ : การเมืองในคดี “อาญา” อันไม่ปกติของม.112 | คนนอกคอก EP.4[คลิป]
112 คดีอาญาพิเศษใส่ไข่ : การเมืองในคดี “อาญา” อันไม่ปกติของม.112 | คนนอกคอก EP.4[คลิป] admin666 Tue, 2025-11-25 - 19:56 เมื่อ 19 พ.ย.2568 ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 5 ปี ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศผ่านสื่อมวลชนว่าจะให้ใช้กฎหมายทุกมาตราในการดำเนินการกับการชุมนุมทางการเมืองของเยาวชนที่ออกมาเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก แต่อีกประเด็นสำคัญในเวลานั้นคือการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์  หลังการประกาศของพล.อ.ประยุทธ์ จำนวนคดีที่เกิดขึ้นจากการแสดงออกทางการเมืองทะยานพุ่งสูงขึ้นไปถึง 1,986 คน 1,338 คดี และ 1 ในข้อหาที่ถูกเอามาใช้ก็คือ “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างน้อย 284 คน ใน 317 คดีหรือเกือบ 1 ใน 4 ของคดีการเมืองช่วงปี 2563-2568  มาตรา 112 เป็นข้อหาที่มีประเด็นโต้แย้งมากที่สุดเมื่อพูดถึงว่าควรจะได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ เหตุผลที่เอามาโต้แย้งเพื่อไม่รวมการนิรโทษฯ มักอ้างกันว่าเป็นเพียงคดี “อาญา” ไม่ใช่คดีทางการเมือง (ซึ่งก็น่าสนใจว่าบรรดาคดีการเมืองทั้งหลายตลอด 20 ปีที่กำลังจะได้นิรโทษฯ จาก พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ก็เป็นข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญาหรือประมวลกฎหมายแพ่งทั้งนั้น)  อย่างไรก็ตาม ยิ่งไปกว่าเรื่องทางสถิติสัมพันธ์กับสถานการณ์ทางการเมืองตลอด 5 ปีที่ผ่านมาและเหตุผลที่ทำให้คนเกือบ 300 คนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จากการแสดงออกทางการเมืองของพวกเขาที่มักถูกย้ำอยู่ในรายงานข่าวคดีต่างๆ ที่คอยย้ำว่าคดีมาตรา 112 เป็นคดีทางการเมืองแล้ว ยังมีอีกประเด็นที่สะท้อนความเป็นการเมืองของคดีมาตรา 112 คือ “กระบวนการพิจารณาคดี” ในศาลที่แปลกแตกต่างออกไปจากคดีอาญาทั่วๆ ไป ทั้งการพิจารณาลับหรือไม่ให้เผยแพร่เนื้อการพิจารณาคดี ไม่ให้จำเลยเรียกพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง การขอประกันตัวแสนยากเย็นและได้บ้างไม่ได้บ้างทั้งที่เงื่อนไขที่ศาลตั้งก็ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในกฎหมาย ฯลฯ และอีกสารพัดที่กล่าวถึงไม่หมด รายการ “คนนอกคอก” ตอนล่าสุด ชวน “ทนายด่าง” หรือ กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองมานานและเคยทำคดีมาตรา 112 ในความขัดแย้งทางการเมืองร่วมสมัยนับตั้งแต่คดีของ “ดา ตอร์ปิโด” จนถึงคดีของเหล่าเยาวชนในปัจจุบัน ที่เห็นความแปลกแตกต่างที่เกิดในแต่ละช่วงสมัย อีกทั้งยังต่างไปจากคดี “อาญา” ที่ปกติต้องเจอในสาขาอาชีพทนายความของเขา มาเล่าประสบการณ์ที่เขาต้องเจอว่าคดี มาตรา 112 มันพิเศษใส่ไข่อย่างไร มาตรา 112 เคยถูกแก้ เคยนิรโทษ คดีมาตรา 112 อยู่ในประมวลกฎหมายอาญาหมวดความมั่นคงของรัฐ ว่าด้วยผู้ใดที่ “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี แม้หลายคนอาจมองว่าเป็นคดีอาญาทั่วไปที่เกี่ยวกับการแสดงออก แต่หากพิจารณาลึกลงไป มาตรานี้มีลักษณะพิเศษในตัวเอง ทั้งในด้านสถานะของผู้ได้รับความคุ้มครอง อัตราโทษที่สูงกว่าคดีหมิ่นประมาททั่วไป และความละเอียดอ่อนในการตีความและบังคับใช้ ทำให้มาตรา 112 มีความซับซ้อนมากกว่าที่ปรากฏในตัวบทกฎหมาย บทกฎหมายจะเขียนไว้ใกล้เคียงกับความผิดฐานดูหมิ่นและหมิ่นประมาทบุคคล แต่ในทางปฏิบัติกลับเต็มไปด้วยพื้นที่คลุมเครือตั้งแต่ขั้นตอนการกล่าวหา การตีความ ไปจนถึงการใช้อำนาจดุลพินิจ ซึ่งความคลุมเครือนี้เองที่มักนำไปสู่ข้อกังขาในหลายคดี สำหรับคนที่ทำคดี 112 มามากกว่าสิบปี อย่างกฤษฎางค์ นุตจรัส (ทนายด่าง) ทนายความที่ร่วมช่วยเหลือคดีทางการเมืองกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เล่าถึงประสบการณ์ที่เจอระหว่างต่อสู้คดีและได้พบเจอความไม่คงเส้นคงวาเหล่านี้ที่เขามองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่เป็นสิ่งที่เขาเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก กฤษฎางค์ ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษมาตรา 112 ไว้ว่า เพิ่งมีการเปลี่ยนโทษ จากจำคุกไม่เกิน 7 ปี ไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำกลายมาเป็นโทษแบบที่เห็นในปัจจุบัน หลังการรัฐประหารตอน 6 ตุลาคม 2519 เกิด ซึ่งในการแก้ครั้งนี้ที่ไม่ต้องผ่านสภาใด จนใช้ยาวนานถึง 49 ปี กฤษฎางค์ ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา โทษจำคุกในมาตรา 112 สูดสุดที่ 7 ปี ไม่มีโทษขั้นต่ำ หมายความว่าศาลจะลงโทษแค่ 1 วันก็ได้ แต่หลังจากเกิดการรัฐประหาร พลเอก สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะรัฐประหารในเวลานั้นออกคำสั่งแก้โทษเป็น 3 - 15 ปี โดยรัชกาลที่ 9 ไม่ได้ลงพระนามไม่มีพระบรมราชโองการอะไร ทำให้ผู้พิพากษาต้องกำหนดโทษไม่ต่ำกว่า 3 ปี การลดโทษทำได้ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด  การแก้ไขเพิ่มโทษครั้งนั้น สะท้อนให้เห็นว่าแม้มาตรา 112 มักถูกมองว่าเป็นกฎหมายที่แก้ไขไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงเป็นกฎหมายอาญาธรรมดาเช่นเดียวกับคดีลักวิ่งชิงปล้นที่ใครทำผิดก็ต้องติดคุกติดตะรางและปรับเปลี่ยนเนื้อหาและอัตราโทษให้เหมาะสมกับสภาพสังคม แต่เรื่องหนึ่งที่เคยถกเถียงกันตอนหลังช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ว่าจะใช้โทษที่ปรับให้รุนแรงขึ้นย้อนหลังกลับไปใช้กับคดีที่เกิดขึ้นก่อนแก้ไขหรือเปล่า แต่โชคดีที่ตอนนั้นมีการนิรโทษกรรมก่อน       กฤษฎางค์ เล่าต่อว่า พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกฯ ที่มารับช่วงต่อประกาศนิรโทษกรรมในปี 2522 ทำให้หลายคนรอดจากโทษที่เพิ่มขึ้นมา แต่ในช่วงนั้นถึงรอดจากมาตรา 112 ก็โดน พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์กันอยู่ดี     “กฎหมายสามารถวิวัฒนาการได้ ผมถึงมีความเชื่อว่ามาตรา 112 เนี่ยแก้ไขได้ และหากถามว่ายกเลิกได้ไหม ยกเลิกได้ แต่เราจะทำอย่างไรให้มีกฎหมายที่ปกป้องคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ของเรา” ประสบการณ์ว่าความคดี 112 อันอึมครึม กฤษฎางค์ เล่าถึงประสบการณ์ว่าความคดีมาตรา 112 ครั้งแรกว่า ตอนนั้น สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ทาบทามให้เขาไปช่วยคดีของ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอปิโด เขาจึงชวนประเวศ ประภานุกูล เพื่อนทนายไปทำคดีด้วยกัน การสืบพยานในคดีเวลานั้นก็ทำเหมือนที่ทำกับคดีมาตรา 112 ทุกวันนี้ว่าดาพูดอย่างไรทำอะไร ศาลเห็นว่าผิดก็พิพากษาลงโทษ ทางดาก็อุทธรณ์คดีต่อแต่ในชั้นอุทธรณ์คดี ดาอยู่ในคุกมานานกว่าศาลอุทธรณ์จะพิพากษามีคำพิพากษาออกมาดาจึงตัดสินใจถอนอุทธรณ์เพื่อให้คดีสิ้นสุด จนดาได้พ้นโทษออกมา “มันมีความอึมครึม มีการขออนุญาตพิจารณาคดีลับ มีความระมัดระวังในการสืบพยาน คือมีการตัดสินมาเรียบร้อยแล้ว มันขึ้นศาลพอเป็นพิธีเท่านั้นเอง โอกาสในการต่อสู้คดีก็ไม่เยอะไม่เหมือนสมัยนี้” ทนายความเล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมในคดีมาตรา 112 ครั้งแรก ส่วนคดีที่สอง เป็นคดีของประเวศ เพื่อนทนายความของกฤษฎางค์เอง  คดีของประเวศเกิดขึ้นจากโพสต์บน Facebook หลายโพสต์ คดีนี้นอกจากมาตรา 112 แล้วยังมีข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 เข้ามาด้วย อัยการฟ้องเป็นความผิดหลายกรรมตามจำนวนโพสต์ อย่างไรก็ตาม ประเวศต้องประท้วงการพิจารณาคดีของศาลเพราะศาลสั่งพิจารณาคดีลับ เขาเลือกที่จะประกาศว่าจะขอไม่ร่วมกระบวนการพิจารณาคดีนี้และขอถอนกฤษฎางค์ออกจากการเป็นทนายความในคดี และเมื่อการพิจารณาคดีเริ่มขึ้น ประเวศก็ประท้วงด้วยการนั่งหันหลังให้ศาล หรือเคาะโซ่ตรวนที่ล่ามเขาไว้ ประเวศบอกเหตุผลในการประท้วงว่าหากเขาเลือกที่จะสู้คดีก็จะเป็นการยอมรับกระบวนการพิจารณาคดีลับเช่นนี้ “แก(ประเวศ) ก็โดนพิจารณาคดีลับ แกก็ประท้วงโดยปรึกษากับผมว่าจะไม่เข้าร่วมกระบวนการตัดสิน แกใช้คำว่าก็เหมือนปิดประตูตีแมว เขาบอกว่าพี่การพิจารณาคดีอาญาจะต้องพิจารณาต่อหน้าจำเลยและโดยเปิดเผย การพิจารณาโดยเปิดเผยเป็นหลักประกันว่าเขาจะได้รับความยุติธรรมเพราะผู้คนก็เข้ามาดูการพิจารณาคดีได้”        กฤษฎางค์อธิบายถึงความสำคัญของหลักการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยว่า เป็นเหมือนหลักประกันว่าศาล อัยการ ทนายความ จำเลย หรือพยานในคดี จะมายืนอยู่ในแสงไฟที่ทำให้สังคมมองเห็นว่ากระบวนการพิจารณาคดีนี้ยุติธรรมและถ้ากระบวนการทั้งหมดมีความยุติธรรมจริง ผู้คนก็จะเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม         กฤษฎางค์เล่าถึงกรณีของประเวศต่อว่า แม้ประเวศเลือกไม่ร่วมกระบวนการเช่นนี้ แต่สุดท้ายศาลพิพากษายกฟ้องข้อหาตามมาตรา 112 ทั้งหมด แล้วลงโทษจำคุกด้วยมาตรา 116 ราว 15 เดือน แต่ตอนนั้นติดไปแล้ว 8 เดือนระหว่างสู้คดีจึงติดอีกประมาณ 8 เดือนถึงได้พ้นโทษออกมา ทนายความเล่าถึงความแปลกประหลาดในคำพิพากษาในคดีของประเวศว่า ศาลพิจารณาส่วนข้อหามาตรา 112 ว่าโจทก์ฟ้องประเวศทำความผิดตามมาตรา 112 และมาตรา 116 แต่ศาลเห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอให้ลงโทษประเวศตามมาตรา 112 ให้ยกฟ้องข้อหานี้ แล้วศาลไปลงโทษประเวศตามมาตรา 116 เพราะเห็นว่าประเวศโพสต์ข้อความที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญทำให้ประชาชนไม่เลื่อมใส ก่อความวุ่นวาย  ทั้งนี้คดีของประเวศเป็นหนึ่งในคดีที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2560   แต่ 3 ปีต่อมา เมื่อ 15 มิ.ย.2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยให้สัมภาษณ์ว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงมีพระเมตตาให้ที่จะไม่บังคับใช้มาตรา 112 และในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านั้นก็ไม่มีผู้ที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 เลย จึงอาจกล่าวได้ว่าคดีของประเวศอาจเป็น 1 ในคดีที่ได้รับพระเมตตาครั้งนั้น ก่อนที่ปลายปี 2563 พล.อ.ประยุทธ์กลับมาประกาศว่าจะใช้กฎหมายทุกมาตราในการจัดการกับการชุมนุมประท้วงของกลุ่มเยาวชนและเพิ่งครบรอบ 5 ปีไปเมื่อ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ความแปลกประหลาดในคดีมาตรา 112  กฤษฎางค์ เล่าว่า คดีมาตรา 112 ที่เขาเจอมีความพิเศษและความกดดันสูงกว่าคดีอาญาทั่วไป บางกรณีศาลจะไม่ให้การประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยเพราะเกรงว่าจะหลบหนี หรือตอนให้ประกันตัวก็ตั้งเงื่อนไขว่าห้ามกระทำแบบเดียวกันอีกเป็นการแสดงให้เห็นว่าศาลคิดเองแล้วว่าจำเลยหรือผู้ต้องหาที่คดีไม่สิ้นสุดเหล่านี้ทำผิดไปแล้ว เพราะการกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวจะต้องไม่ไปละลาบละล้วงสิทธิของประชาชน เช่น การห้ามไปชุมนุมซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เหมือนสันนิษฐานไว้ก่อนว่าพวกเขาเหล่านี้มีความผิด นอกจากนั้น ทนายความยังเล่าถึงกรณีที่ฝ่ายจำเลยเรียกพยานหลักฐานเข้ามาในคดีเพื่อยืนยันสิ่งที่จำเลยเคยพูดเอาไว้ว่าจริงเท็จอย่างไร แต่ศาลก็ไม่ออกหมายเรียกให้โดยอ้างว่าไม่เกี่ยวกับคดี โดยยกตัวอย่างกรณีของอานนท์ นำภาที่เคยปราศรัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไว้จนเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดี แต่เมื่ออานนท์อ้างพยานหลักฐานต่างๆ ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเท็จศาลก็บอกว่าไม่เกี่ยวกับประเด็น จนกระทั่งทุกวันนี้ศาลก็ยังไม่ออกหมายเรียกหลักฐานมาให้ “มันไม่เกี่ยวยังไงอะท่าน  อัยการฟ้องว่าอานนท์พูดถึงเรื่องรัฐบาลประยุทธ์ออกพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์อย่างสิ้นเชิงและแตกต่างไปจากสมัยก่อน 2475 แต่เขาก็ไม่ออกคำสั่งเรียกพยานผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินต่างๆ” นอกจากเรื่องสำนักงานทรัพย์สินฯ ยังมีคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ อีกเช่น คดีที่เป็นการวิจารณ์การจัดการวัคซีน หรือประเด็นเรื่องหุ้นในธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีประเด็นเกี่ยวพันกับสำนักงานทรัพย์สินฯ ไปจนการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ก่อนประกาศใช้ทั้งที่ผ่านการทำประชามติเมื่อปี 2559 มาแล้ว แต่พอขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานอย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่เคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้หรือขอเอกสารที่เกี่ยวข้อง ศาลก็ไม่ออกหมายเรียกพยานหลักฐานให้   “พวกนี้เขาพยายามต่อสู้ว่าสิ่งที่เขาพูด เขาพยายามจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สง่างาม ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ามีกลุ่มบุคคลเข้าไปหาประโยชน์ ซึ่งพระองค์ไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อศาลปฏิเสธเสียแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเสียหาย” กฤษฎางค์เน้นว่า การขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานให้เพื่อใช้ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเป็นหลักการที่นักกฎหมายต้องยึดถือ เพราะหากคดีทั่วๆ ไปอย่างการลักวิ่งชิ่งปล้นมีวิธีการพิจารณาคดีอย่างหนึ่งแต่กับคดีมาตรา 112 มีวิธีพิจารณาอีกแบบหนึ่ง คนก็จะไม่ศรัทธารต่อศาลและระบบยุติธรรม เมื่อคนไม่ศรัทธาแล้วก็จะไม่เห็นประโยชน์ที่จะมีศาลอีก         กฤษฎางค์ ยังยกตัวอย่างถึงเรื่องที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีมักขอไปพบผู้บริหารศาลก่อนมีคำสั่งในคดี เช่น เมื่อจำเลยมีเหตุผลต้องขอเลื่อนนัดการพิจารณาคดี ซึ่งเขาเห็นว่ามีเส้นแบ่งอยู่ว่าตกลงแล้วผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนแค่ไปขอปรึกษาหรือไปถามผู้บริหารจะให้หรือไม่กันแน่ แม้ว่าเรื่องนี้ธรรมนูญศาลยุติธรรมจะให้สิทธิผู้พิพากษาไว้ในการขอคำปรึกษาได้ แต่ผู้พิพากษาก็เป็นผู้ที่เห็นสำนวนรู้เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่แล้วเหตุใดจึงต้องปรึกษาอีก แล้วรัฐธมรรมนูญมาตรา 188 ก็ระบุสถานะความเป็นอิสระของผู้พิพากษาเอาไว้ด้วยจึงไม่มีเหตุให้ต้องถามใคร และที่ผ่านมาก็เคยมีผู้พิพากษาที่ฆ่าตัวตายมาแล้วอย่างคณากร เพียรชนะ ที่จะตัดสินพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุหลักฐานไม่เพียงพอแต่ผู้บริหารศาลเห็นไม่ตรงกัน “ผมเข้าใจผู้พิพากษา อัยการว่าความกดดันในคดีโดยเฉพาะคดีการเมือง ไม่ว่าจะเป็นคดีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือคดีมาตรา 112 มันมีแรงกดดันเยอะเพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องประหลาด”  ทนายความยกตัวอย่างว่า คดีอาญาอื่นๆ ที่เขาเคยทำที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองอย่างคดีฆ่าคนตายที่ศาลจังหวัดสีคิ้ว หรือคดีชาวประมงถูกกล่าวหาว่ายิงเรือในทะเลประมง คดีแบบนี้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานศาลก็ยังออกให้ พอคดีอาญาที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองแบบนี้พอไปถึงศาลอุทธรณ์หรือฎีกาศาลปล่อยตัวไปก็มีมากว่ากันไปตามรูปคดีตามพยานหลักฐาน ถ้าแบบนี้คนก็จะศรัทธาแม้ว่าสุดท้ายแล้วศาลอาจจะตัดสินลงโทษจำคุกก็ตาม แต่ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้เจอศาลสั่งลักษณะนี้ในคดีอื่นๆ นอกจากคดีการเมือง กฤษฎางค์เสริมว่าไม่เพียงแค่คดี มาตรา 112 แต่เขาเจอปัญหาลักษณะเดียวกันนี้ในคดีการเมืองอื่นๆ นับตั้งแต่การรัฐประหาร 2557 ช่วงแรก เช่น คดีเดินขบวนประท้วง หรือคดีที่ใช้ข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ศาลก็เคยมีการสั่งไม่ให้ประกันตัวอยู่เหมือนกัน ซึ่งเมื่อเรื่องใดเป็นคดีการเมืองแล้วก็ทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นในคดีอาญา  นอกจากปัญหาในกระบวนการพิจารณาแล้ว ทนายความยังเล่าถึงปัญหาในคำพิพากษาของคดีมาตรา 112 บางคดีด้วย เช่น เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้การดูหมิ่นในหลวงรัชกาลที่ 4 เป็นการดูหมิ่นกษัตริย์องค์ปัจจุบันด้วย  “ถ้าออกข้อสอบเนติฯ แล้วเด็กจะตกกันหมดเลยเพราะทุกคนไม่คิดว่าคำพิพากษาศาลฎีกาจะเขียนแบบนั้น” กฤษฎางค์อธิบายว่า เพราะมาตรา 112 เขียนใครดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท ผู้สำเร็จแทนราชการ ถ้าใครไปว่า ร.1 จะเอากฎหมายมาตรานี้มาใช้ไม่ได้เพราะกฎหมายอาญาไม่ว่ามาตรา 112 จะเป็นกฎหมายพิเศษหรืออยู่ในหมวดความมั่นคงก็ตาม แต่ความรับผิดทางอาญาต้องตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดและจะมีความผิดต้องมีเจตนา หากไม่มีเจตนาไม่ผิด หรือทำไปโดยสุจริตก็ไม่มีความผิด และที่กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัดเพราะเป็นกฎหมายอาญามีบทลงโทษการที่คนจะถูกลงโทษจากกฎหมายที่รัฐเขียนขึ้นมาต้องตีความโดยชัดเจน และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญายังเขียนด้วยว่า การทำคำพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอาญาต้องรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ถ้ายังมีข้อสงสัยก็ลงโทษไม่ได้  “ถ้าตัดสินได้ขนาดดูหมิ่น ร.4 แล้วมาเกี่ยวกับรัชกาลปัจจุบันแล้วลงโทษ 112 ความศรัทธาของผู้คนต่อผู้พิพากษาจะหมดไป แต่ศรัทธาที่มีก็ยังไม่สำคัญเพราะเดี๋ยว 70 ก็เกษียรแล้ว แต่คนจะไม่ศรัทธาต่อระบบกฎหมาย เพราะถ้าถามว่าดูหมิ่นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คนด่าอาจารย์ปรีดี(พนมยงค์) เยอะแยะอย่างนี้โดนด้วยมั้ยเพราะอาจารย์ปรีดีเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเหมือนกัน”      มาตรา 112 แก้ได้ นิรโทษฯ ได้ “เมื่อกฎหมายเป็นแค่เครื่องมือไปหาความยุติธรรม เมื่อไหร่กฎหมายไม่ยุติธรรมเสียแล้ว เราก็ต้องเอาความยุติธรรมมาทำลายกฎหมายนี้” กฤษฎางค์กล่าว  กฤษฎางค์มองว่าการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 เป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แล้ว และเป็นช่องทางทางกฎหมายที่ใช้ลดความขัดแย้งกัน อีกทั้งในกฎหมายอาญาก็มีการอภัยโทษหรือขอพระราชทานอภัยโทษอยู่แล้วก็มีการออกฎหมายนิรโทษกรรมที่เป็นกฎหมายพิเศษและในอดีตตอนสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ก็เคยออกกฎหมายนิรโทษกรรมมาก่อนแล้ว เช่น กรณีละครแขวนคอตอน 6 ตุลาฯ คนที่ถูกดำเนินคดีในเวลานั้นไม่ได้มีแค่ข้อหาตามมาตรา 112 แต่ยังโดนข้อหาฆ่าเจ้าพนักงาน มีอาวุธ เผา บุกรุก แล้วก็ยังมีข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ด้วยที่มีโทษประหาร ก็ยังสามารถนิรโทษกรรมได้  “การนิรโทษกรรมคือการไม่เอาเรื่องเอาราวกัน ไม่ได้เหมือนที่ทุกคนตาลุกกันว่าพอจะนิรโทษกรรม 112 แล้วบอกเด็กว่าอย่าให้ทำอีกนะ มันคนละเรื่องกัน ทำไมเวลานิรโทษกรรมคณะรัฐประหารไม่เขียนว่าห้ามทำรัฐประหารอีกนะ ผมก็แปลกใจ นิรโทษกรรมทำได้แน่นอน” ทนายความบอกว่าที่ผ่านมาไทยก็เคยมีนิรโทษกรรมมาหลายครั้งแล้วทั้งตอนกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 200 ปี เคยนิรโทษกรรมผู้พกพาอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ ดังนั้นการนิรโทษกรรมโดยการออกเป็นกฎหมายประเทศไทยก็ทำมาหลายครั้งแล้วแม้กระทั่งการรัฐประหารทุกครั้ง  “ผู้เชี่ยวชาญนิรโทษกรรมคงไปถามกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ผมว่าผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เรื่องนิรโทษกรรมคือทหาร เพราะเชี่ยวชาญการร่างกฎหมายนิรโทษกรรม เราควรไปปรึกษากองทัพว่าเขียนกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองยังไง ทำไมถึงผ่าน”  กฤษฎางค์ย้ำว่าการรัฐประหารเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ที่มีโทษประหาร เพราะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเป็นหมื่นล้านบาทเวลาเศรษฐกิจตกต่ำ ก็ยังนิรโทษกรรมได้  ทนายความเห็นว่า ดังนั้นการนิรโทษกรรมมาตรา 112 ก็ย่อมทำได้แน่นอนและทำแล้วก็ไม่มีความเสียหายอะไร  อีกทั้งยังมีข้อดีที่ทำให้เห็นพระเมตตาและรัฐบาลที่ไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนเหล่านี้ แล้วก็เอาคนอย่างอานนท์ที่เป็นทนายความหรือ เก๊ต โสภณ ที่ก็เป็นนักศึกษาแพทย์กลับมาสู่สังคมทำประโยชน์  * สัมภาษณ์ * สิทธิมนุษยชน * มาตรา 112 * กฤษฎางค์ นุตจรัส * คนนอกคอก คนมีคดีมีเรื่องมาเล่า
dlvr.it
November 25, 2025 at 1:11 PM
รัฐบาลเปิดศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย
รัฐบาลเปิดศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย auser15 Tue, 2025-11-25 - 19:28 รัฐบาลเปิดศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศปกฉ.) “ภราดร” นั่ง ผอ. “ไตรศุลี” นั่งเลขาฯ ย้ำปฏิบัติการร่วมศูนย์ฯ ส่วนหน้า “เหล่าทัพ” เสริมกำลังอพยพ-แจกอาหาร ยกอำนาจ “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” แบ่งช่วย 3 เคส สีแดง สีเหลือง สีเขียวในพื้นที่ - กรมอุตุฯ เตือน 8 จังหวัดภาคใต้ "ฝนตกหนักถึงหนักมาก" 25 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย พร้อมด้วยนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวเปิดศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย หรือ ศปกฉ. โดยนายภราดร ระบุว่า รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดสงขลา พร้อมแต่งตั้งให้ พลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้บัญชาการสถานการณ์ส่วนหน้า รวมทั้งมีการตั้ง ศปกฉ.โดยมีนายภราดร เป็นผู้อำนวยการ นางสาวไตรศุลี เป็นเลขานุการศูนย์ฯ และนายสิริพงศ์ และพลโท วันชนะ สวัสดี เป็นโฆษกศูนย์ฯ พร้อมความร่วมมือจากหน่วยงานกระทรวงมหาดไทย กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง บูรณาการนำข้อมูลเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนในเขตพื้นที่ ที่ประสานงานตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 1784 และหมายเลข 1111 รวมถึงเพจข่าวสารของรัฐบาลสามารถขอความช่วยเหลือได้ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวมรวม และคัดกรองที่ ศปกฉ. นายภราดร กล่าวด้วยว่า ศูนย์ปฏิบัติการจะมีหน้าที่คัดกรองข้อมูล แบ่งระดับของความช่วยเหลือคือ สีแดง ผู้ที่อันตรายที่อยู่ในขั้นรุนแรง วิกฤติ สีเหลือง คือ ผู้ที่ติดในบ้านเรือน ที่พักอาศัยสองชั้น ซึ่งสามารถอยู่ชั้นบน แต่ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ขณะเดียวกันจะประสานข้อมูลไปยังศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า ที่มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บัญชาการ ได้นำข้อมูลไปบริหารกับสถานการณ์ในพื้นที่ อีกทั้งเหล่าทัพได้นำสรรพกำลัง ทั้งเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน เรือ และกำลังพล เข้าไปช่วยเหลือประชาชนทั้งในเรื่องการอพยพ การลำเลียงเครื่องอุปโภคบริโภคไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ติดอยู่ในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะเป็นผู้แบ่งระดับพื้นที่การแจกจ่ายครั้งหนึ่งในหน้างาน โดยอาจจะแบ่งตามตำบล หมู่บ้าน หรือพื้นที่ ว่าแต่ละจุดมีความต้องการอย่างไร โดยจะมีการใช้รถ เรือ และเฮลิคอปเตอร์ ในการลำเลียง ขณะที่ โรงพยาบาลในพื้นที่ นายภราดร ระบุว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กำชับให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟผ.) หาแนวทางในการสร้างกระแสไฟฟ้าให้กับโรงพยาบาเพื่อรักษาผู้ป่วยให้เป็นปกติมากที่สุด ซึ่งผู้ป่วยรายใดที่ไม่สามารถรักษาได้ที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ จะดำเนินการอพยพ โดยผ่านการพิจารณารายบุคคลจากผู้บัญชาการทหารสูงสุด ด้านนายสิริพงศ์ กล่าวว่า หลังจากทราบข่าวถึงการตั้งศูนย์ ศปกฉ.จึงมีข้อกังวลใจจากทางภาคประชาชน ว่าจะนำข้อมูลเหล่านี้มาคัดกรองจะทำให้เกิดความล่าช้าหรือไม่ ซึ่งในการดำเนินการส่วนพื้นที่ก็จะมีการดำเนินการปฏิบัติการแบบ on ground แบ่งเป็นระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล และระดับจังหวัดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่พบข้อมูลมาจากหลากหลายช่อง ทางช่องทางทั้งที่เป็นทางการและช่องทางที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งหน้าที่ของศูนย์นี้คือการรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นมาจัดเรียงเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และไม่ต้องแบ่งพื้นที่เป็น สีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง นอกจากนั้นจะมีลักษณะหนึ่งที่ให้ความร่วมมือการเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือของจิตอาสาที่จะมีเพิ่มเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ หากไม่มีการบริหารจัดการหลังบ้านที่ดีก็จะกลายเป็นว่าทรัพยากรในพื้นที่ที่จะลงไป จะทราบเพียงแค่ข้อมูลตามแหล่งข่าวโซเชียลมีเดียเท่านั้น จึงได้มีการจัดสรรทรัพยากรที่มีหลังบ้านว่าจะสามารถกระจายลงไปได้อย่างไร และหลังจากที่น้ำลงแล้วศูนย์นี้จะมีหน้าที่จัดการบริหารทรัพยากรข้อมูลในกรณีที่มีการช่วยเหลือในพื้นที่ต่าง ๆ ว่าศูนย์ที่ที่ไหนยังขาดแคลน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ว่าบางศูนย์มีมากจนล้น และบางศูนย์ขาดแคลน ดังนั้นศูนย์นี้จะเป็นการทำงานข้อมูลหลังบ้านเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่หน้างานแต่อย่างใด และสนับสนุนให้การทำงานหน้างานเป็นไปอย่างตรงประเด็นและรวดเร็วยิ่งขึ้น กรมอุตุฯ เตือน 8 จังหวัดภาคใต้ "ฝนตกหนักถึงหนักมาก" Thai PBS รายงานว่า กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศฉบับที่ 22 เรื่อง อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบน ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 25 พ.ย.2568) โดยระบุรายละเอียดดังนี้ ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณภาคใต้ตอนล่าง และประเทศมาเลเซีย ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ฝนที่ตกสะสม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 1 วัน สำหรับประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศเย็นลง กับมีลมแรง โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาถึงประเทศจีนตอนใต้ และประเทศเวียดนามตอนบนแล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงตอนบนในวันนี้ (25 พ.ย.) สรุปปริมาณฝนสะสมราย (21–24 พ.ย.68) วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในบริเวณภาคใต้ ฝนสูงสุด (ฝนหนักมาก) วัดได้ 603.4 มม. ที่ จ.สงขลา วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ปริมาณฝนลดลงในบริเวณภาคใต้ ฝนสูงสุด (ฝนหนักมาก) วัดได้ 624.2 มม. ที่ จ.นราธิวาส วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในบริเวณภาคใต้ ฝนสูงสุด (ฝนหนักมาก) วัดได้ 496.4 มม. ที่ จ.ปัตตานี วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในบริเวณภาคใต้ ฝนสูงสุด (ฝนหนักมาก) วัดได้ 359.6 มม. ที่ จ.สงขลา * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * ภัยพิบัติ * น้ำท่วมภาคใต้ * น้ำท่วม
dlvr.it
November 25, 2025 at 12:34 PM
ศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษาคดี ม.112 ยืนจำคุก 1 ปี 6 เดือน 'เพชร-บีม' รอลงอาญา 3 ปี
ศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษาคดี ม.112 ยืนจำคุก 1 ปี 6 เดือน 'เพชร-บีม' รอลงอาญา 3 ปี auser15 Tue, 2025-11-25 - 18:38 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เผยศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษาคดี ม.112 ยืนจำคุก 1 ปี 6 เดือน “เพชร-บีม” เหตุเข้าร่วมกิจกรรม #แต่งครอปท็อปเดินห้างสยามพารากอน เมื่อปี 2563  แก้จากฝึกอบรมฯ เป็นรอลงอาญา 3 ปี 25 พ.ย. 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง มีนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ในคดีของ “เพชร” ธนกร ปัจจุบันอายุ 22 ปี และ “บีม” ณัฐกรณ์ ปัจจุบันอายุ 21 ปี สองนักกิจกรรมเยาวชน ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งถูกดำเนินคดีจากการเข้าร่วมกิจกรรม #แต่งครอปท็อปเดินห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2563 คดีนี้สืบเนื่องมาจากที่กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมจัดกิจกรรม #แต่งครอปท็อปเดินห้างสยามพารากอน เพื่อรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 และยืนยันว่าการสวมใส่ชุดครอปท็อปไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย หลังเกิดกรณีของ “สายน้ำ” เยาวชนอายุ 16 ปี (ขณะนั้น) ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เพราะใส่ชุดครอปท็อปและเขียนข้อความบนร่างกาย ระหว่างร่วมกิจกรรมที่ถนนสีลม ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เห็นว่าทั้งสองคนมีความผิดตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี แต่ขณะกระทำความผิดทั้งสองมีอายุเพียง 17 ปี จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน เปลี่ยนจากการเข้ารับการฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้ เป็นรอลงอาญาไว้ 3 ปี และรายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ม.112 * ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน * กระบวนการยุติธรรม
dlvr.it
November 25, 2025 at 11:40 AM
กรุงฮานอยเตรียมอุดหนุนสูงสุด 26,000 บาท ให้คนเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์น้ำมันเป็นไฟฟ้า
กรุงฮานอยเตรียมอุดหนุนสูงสุด 26,000 บาท ให้คนเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์น้ำมันเป็นไฟฟ้า auser15 Tue, 2025-11-25 - 18:27 กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม เตรียมออกมาตรการสนับสนุนเงินให้ประชาชนเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์ใช้น้ำมันเป็นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า อุดหนุนสูงสุด 26,000 บาท ภาพจาก: Viet Nam News/Hoàng Hiếu 25 พฤศจิกายน 2025 เว็บไซต์ Viet Nam News รายงานว่า กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม เตรียมออกมาตรการสนับสนุนเงินให้ประชาชนเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์น้ำมันเป็นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ครัวเรือนยากจนจะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 20 ล้านด่อง หรือประมาณ 26,000 บาท ส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำจะได้รับ 15 ล้านด่อง หรือประมาณ 19,500 บาท ประชาชนทั่วไปที่มีทะเบียนบ้านหรือพักอาศัยในฮานอยอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี และเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์น้ำมัน จะได้รับเงินสนับสนุน 20% ของราคามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันใหม่ที่มีราคาตั้งแต่ 10 ล้านด่องขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านด่อง หรือประมาณ 6,500 บาท ทั้งนี้ แต่ละคนมีสิทธิ์ได้รับการอุดหนุนเพียง 1 คันเท่านั้น และมาตรการนี้จะสิ้นสุดในวันที่ 1 มกราคม 2031 ร่างมติดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาประชาชนกรุงฮานอยในการประชุมสมัยที่ 28 ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันพุธถึงวันศุกร์นี้ เงินอุดหนุนที่เสนอมานี้สูงกว่าที่กรมโยธาธิการเคยเสนอไว้ในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ระบุไว้เพียง 3-5 ล้านด่อง และใกล้เคียงกับนโยบายที่นครโฮจิมินห์ กำลังพิจารณาอยู่เช่นกัน นอกจากเงินอุดหนุนโดยตรงแล้ว ฮานอยยังวางแผนลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนและค่าป้ายทะเบียนลง 50% สำหรับผู้ที่เปลี่ยนมาใช้รถพลังงานสะอาดจนถึงปี 2031 ส่วนครัวเรือนยากจนจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งหมด สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อแบบผ่อนชำระ เมืองจะช่วยออกดอกเบี้ย 30% ของเงินกู้ทั้งหมดเป็นเวลา 12 เดือน หากซื้อจากร้านที่เป็นพันธมิตรกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน ฝั่งภาคธุรกิจก็ได้รับการดูแลเช่นกัน ผู้ประกอบการแท็กซี่และรถโดยสารที่เปลี่ยนรถในกองยานเป็นรถพลังงานสะอาดโดยยังคงใช้ป้ายทะเบียนเดิม จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่วนบริษัทให้เช่ารถพลังงานสะอาดที่ใช้พื้นที่ถนนหรือทางเท้าเป็นที่จอดรถชั่วคราว จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมนานถึง 5 ปี เพื่อลดการใช้รถส่วนตัว ฮานอยยังวางแผนขยายสิทธิ์ใช้ขนส่งมวลชนฟรีให้ผู้มีคุณูปการต่อชาติ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ครัวเรือนยากจน นักเรียนนักศึกษา และคนงานในนิคมอุตสาหกรรม ด้านสถานีชาร์จรถไฟฟ้า เมืองกำหนดให้ที่จอดรถในอาคารพักอาศัย อาคารพาณิชย์ โรงพยาบาล และสถานที่ราชการในเขตถนนวงแหวน 3 ต้องจัดที่ชาร์จรถไฟฟ้าอย่างน้อย 15% ของพื้นที่จอดรถภายในวันที่ 1 มกราคม 2030 ส่วนอาคารที่สร้างใหม่ต้องจัดให้ได้อย่างน้อย 30% สถานีขนส่ง ที่จอดรถ และจุดบริการต่างๆ ในเขตถนนวงแหวน 3 ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเดียวกัน สำหรับธุรกิจที่ลงทุนสร้างสถานีชาร์จ เมืองจะช่วยออกดอกเบี้ย 30% ของเงินกู้นาน 5 ปี ช่วยออกค่าเคลียร์พื้นที่ 50% และยกเว้นค่าเช่าที่ดินใน 5 ปีแรก โครงการเหล่านี้จะได้รับการพิจารณาอนุมัติแบบเร่งด่วน มาตรการทั้งหมดนี้สอดคล้องกับกฎหมายเมืองหลวง 2024 และคำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 20 ว่าด้วยการป้องกันมลพิษทางสิ่งแวดล้อม ตามแผนงาน ฮานอยจะห้ามมอเตอร์ไซค์น้ำมันวิ่งในเขตถนนวงแหวน 1 ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2026 จากนั้นจะขยายไปถึงถนนวงแหวน 2 ในปี 2028 และถนนวงแหวน 3 ในปี 2030 พร้อมทั้งจำกัดรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลด้วย ปัจจุบันฮานอยมีมอเตอร์ไซค์ประมาณ 6.9 ล้านคัน รองประธานคณะกรรมการประชาชนกรุงฮานอย กล่าวในงานเสวนาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ว่า มอเตอร์ไซค์น้ำมันเป็นต้นเหตุของมลพิษทางอากาศในเมืองถึง 60% และ 70% ของมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งอยู่เป็นรุ่นเก่าที่ควบคุมไอเสียได้ยาก * ข่าว * ต่างประเทศ * สิ่งแวดล้อม * อาเซียน * เวียดนาม * มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า * พลังงานทางเลือก
dlvr.it
November 25, 2025 at 11:32 AM
KNU ทลายฐานสแกมเมอร์ ‘มินเลตปัน’ ยึดอาวุธกะเหรี่ยง DKBA ร้องขอไทย–นานาชาติช่วยปราบ
KNU ทลายฐานสแกมเมอร์ ‘มินเลตปัน’ ยึดอาวุธกะเหรี่ยง DKBA ร้องขอไทย–นานาชาติช่วยปราบ auser15 Tue, 2025-11-25 - 16:48 สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU ออกแถลงการณ์ชี้แจงเหตุทลายฐานสแกมเมอร์ ‘มินเลตปัน’ ทางตอนใต้ของเมียวดี ตรงข้ามวัดห้วยมหาวงก์ ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ภายใต้การคุ้มกันของกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA โดยประเมินว่ามีเหยื่อที่ถูกบังคับเป็นแรงงานสแกมเมอร์ถูกกักขังสองพันคนจากหลายประเทศ รวมทั้งคนไทยจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตามสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU ยอมรับว่า การรื้อถอนสแกมเมอร์ข้ามชาติที่มีโครงสร้างซับซ้อน “เกินขีดความสามารถของ KNU เพียงลำพัง” และต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลไทย หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลายประเทศ องค์กรที่เกี่ยวข้องด้านอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมย้ำว่าหากไม่เร่งดำเนินการ โอกาสสำคัญในการตรวจสอบเครือข่ายสแกมระดับภูมิภาคอาจสูญหายไป โดย KNU ยังระบุว่าจะส่งมอบหลักฐานทั้งหมดให้ทีมสืบสวนมืออาชีพของภาครัฐ และจะเผยแพร่ข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ทหารกะเหรี่ยง KNLA ซึ่งอยู่ภายใต้สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU บุกยึดบ้านมินเลตปัน ฐานของกะเหรี่ยง DKBA อยู่ตรงข้ามวัดห้วยมหาวงก์ ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยยึดอาวุธปืนได้ 176 รายการ และทลายฐานสแกมเมอร์มินเลตปัน พบแรงงานสแกมเมอร์ถูกกักขังสองพันคน | ภาพจาก: Chindwin News 25 พ.ย. 2568 วันนี้ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union หรือ KNU) ออกแถลงการณ์ “KNU เรียกร้องความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน เพื่อปราบปรามเครือข่ายสแกมข้ามชาติที่บ้านมินเลตปัน ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การคุ้มกันของ DKBA” โดยที่ตั้งของฐานสแกมเมอร์มินเลตปัน อยู่ทางใต้ของเมืองเมียวดี 16 กม. ตรงข้ามวัดห้วยมหาวงก์ ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก  โดยแถลงการณ์ของ KNU  มีรายละเอียดท้ายข่าวนี้ ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวโดย Chindwin News ระบุว่า กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) ได้เปิดปฏิบัติการยึดศูนย์สแกมออนไลน์ที่ดำเนินการโดยกองกำลังกะเหรี่ยงประชาธิปไตยผู้มีใจเมตตา หรือ DKBA ที่บ้านมินเลตปัน จับกุมทหาร DKBA ได้อย่างน้อย 20 นาย และยึดอาวุธได้กว่า 176 รายการ ขณะเดียวกันกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA ออกแถลงการณ์ชี้แจงเช่นกันว่ามีบางบุคคลและบางกลุ่มอ้างชื่อกองทัพ DKBA โดยมิชอบ เพื่อแอบอ้างผลประโยชน์และสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ประชาชน โดยอ้างว่า กลุ่มบุคคลที่อ้างตัวเหล่านั้นกระทำที่ผิดกฎหมายของกลุ่ม และทาง DKBA จะไม่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์หรือการกระทำใด ๆ ที่เกิดจากผู้แอบอ้างเหล่านั้นโดยเด็ดขาด KNU เรียกร้องความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน เพื่อปราบปรามเครือข่ายสแกมข้ามชาติในมินเลตปัน ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การคุ้มกันของ DKBA 25 พฤศจิกายน 2025 KNU – สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง กองบัญชาการสูงสุด กอทูเล ภูมิหลังของเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2025 เกิดการปะทะด้วยอาวุธบริเวณมินเลตปัน ห่างจากเมืองเมียวดีประมาณ 16 กิโลเมตร ไปทางใต้ ระหว่างกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) และกองทัพรัฐบาลทหารพม่า ทหารพม่าได้เปิดปฏิบัติการเพื่อยึดพื้นที่ที่เคยเสียให้กับ KNU กลับคืน ระหว่างการสู้รบ กองกำลังของกองทัพกะเหรี่ยงประชาธิปไตยผู้มีใจเมตตา (DKBA) ที่ฝักใฝ่ฝ่ายรัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดยผู้บัญชาการ หน่ายลวิน ได้เปิดฉากโจมตี KNU ก่อน จากการประเมินหลังเหตุการณ์ยืนยันว่า หน่ายลวินปฏิบัติการภายใต้คำสั่งโดยตรงของนายจายจ่อหละ หนึ่งในสี่แกนนำ DKBA ที่ถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีคว่ำบาตรเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2025 ในข้อหาพัวพันขบวนการอาชญากรรมและปฏิบัติการสแกมข้ามชาติ ระหว่างปฏิบัติการเพื่อป้องกันตัว กองกำลัง KNU สามารถเข้ายึดฐานที่มั่นของ DKBA ได้โดยไม่คาดคิด หลังสมาชิก DKBA กว่า 230 นายหลบหนีออกจากพื้นที่ สิ่งที่พบภายในทำให้ตกตะลึง เนื่องจากเป็นกลุ่มอาคารคอมเพล็กซ์หลายชั้น มีกำแพงล้อมรอบอย่างแน่นหนา ใช้เป็นฐานปฏิบัติการผิดกฎหมายขนาดใหญ่ที่มีผู้คนหลากหลายสัญชาติจำนวนหลายพันคนถูกกักไว้ KNU จึงเข้าควบคุมพื้นที่ทันที และจำกัดการเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการทำลายหลักฐาน เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2025 KNU ได้จัดตั้งคณะประเมินสถานการณ์และปฏิบัติการภาคพื้นเพื่อกู้ภัยเหยื่อและรื้อถอนศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้ โดยแจ้งเตือนทางการไทยและพันธมิตรระหว่างประเทศทันทีเพื่อประสานความช่วยเหลือ เบื้องต้นพบว่าพื้นที่ดังกล่าวถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการ “เชือดหมู” และกิจกรรมผิดกฎหมายอื่น ๆ มานานภายใต้การคุ้มกันของ DKBA โดยรองประธาน KNU (ซอเซอร์เก) ระบุว่า “สิ่งที่ถูกค้นพบบริเวณชายแดนไทย–พม่าที่มินเลตปัน เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง” และเรียกร้องการประชุมระดับสูงกับรัฐบาลไทยเพื่อประสานการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย การปฏิบัติงานของทีมประเมิน KNU เช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน 2025 เวลาประมาณ 07.00 น. ทีมประเมินของ KNU จำนวน 10 คน พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ KNU ได้เข้าสำรวจพื้นที่ หน้าที่ของทีม ได้แก่ การระบุผู้ที่ถูกกักขัง การเก็บหลักฐาน การบันทึกคำให้การ และรวบรวมเอกสารเพื่อใช้ในกระบวนการกฎหมายและมนุษยธรรม โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือคนไทย ซึ่งติดต่อขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ไทยไว้ตั้งแต่คืนก่อนหน้า ในจำนวนนี้รวมถึงผู้หญิงและเด็ก ทีมปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังตำรวจ KNU (KNPF) โดยยึดหลักมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และสวัสดิภาพของเหยื่อ พร้อมจัดการผู้กระทำผิดอย่างเหมาะสม ขณะที่ KNLA ยังคงคุ้มกันพื้นที่ เนื่องจากกองทัพรัฐบาลทหารและกองกำลังพันธมิตรยังคงโจมตีเป็นระยะ พร้อมยิงปืนใหญ่เข้ามาในพื้นที่ต่อเนื่อง ผลการประเมินภาคพื้น – วันแรก (23 พฤศจิกายน 2025) พบอาคารคอนกรีตประมาณ 20 หลัง รวมถึงอาคาร 4 ชั้น 2 หลังที่ถูกใช้ดำเนินงานสแกมเมอร์อย่างเข้มข้น พร้อมคอมพิวเตอร์จำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบโรงพยาบาลและอาคารที่พัก พบผู้ถูกกักขังภายในพื้นที่ประมาณ 2,000 คน ระบุตัวบุคคลได้ 396 ราย (หญิง 83 ชาย 313) จาก 8 ประเทศ ได้แก่ เอธิโอเปีย รวันดา อียิปต์ ไทย ลาว ฟิลิปปินส์ จีน และมาเลเซีย ยึดและถอดแยกคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เพื่อส่งตรวจนิติวิทยาศาสตร์ พบตู้เซฟขนาดใหญ่หลายใบ สูงประมาณ 4 ฟุต ยังไม่สามารถเปิดได้ ส่งตัวคนไทย 28 คนให้เจ้าหน้าที่ไทย เพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายไทย ผลการประเมินภาคพื้น – วันที่สอง (24 พฤศจิกายน 2025) An additional 23 assessment personnel and police officers were deployed, มีการเพิ่มเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอีก 23 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ (KNPF) จำนวนหนึ่ง ทำให้ทีมสอบสวนรวมเป็น 33 คน เพื่อเร่งการตรวจสอบและเก็บหลักฐาน ระบุตัวบุคคลเพิ่มอีก 345 ราย (หญิง 4 ชาย 341) ได้แก่ จีน 337 บังกลาเทศ 3 ไต้หวัน 2 มาเลเซีย 2 ฮ่องกง 1 ยึดและถอดแยกคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เพิ่มเติม ส่งตัวชาวจีน 36 รายให้เจ้าหน้าที่ไทยภายในวันเดียวกัน พบเอกสารบริษัท Myanmar Future Stars Co. Ltd. (ทะเบียน DICA เลขที่ 105909626) ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2016 พบโครงสร้างคล้าย “คอกทรมาน” (torture booths) ขนาด 4 × 6 ฟุต มีเก้าอี้หนึ่งตัว ต้องสอบสวนเชิงลึกอย่างเร่งด่วน พบอาวุธร้ายแรงในตัวแรงงานสแกมเมอร์บางราย สอบปากคำผู้จัดการไซต์ แรงงานบังคับ และ “ลูกพี่” หลายรายไม่ให้ความร่วมมือ และบางคนพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ KNU เพื่อหลบหนีเข้าเมียนมา คำให้การบางส่วน: ชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งระบุว่าได้รับมอบหมายให้หลอกชาวอเมริกันโดยเฉพาะ และเคยทำรายได้ถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน อีกรายระบุว่าไม่ได้รับค่าจ้างเลย สถานการณ์เช้าวันที่ 3 (25 พฤศจิกายน 2025) แรงงานสแกมเมอร์หลายร้อยคนเริ่มตื่นตระหนกและพยายามหลบหนี เพราะกลัวโดรนพลีชีพ เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้ที่ถูกกักขังภายในอาคารหลายแห่ง ข้อกังวลและการเรียกร้องความร่วมมือระหว่างประเทศของ KNU สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีความเสี่ยงชีวิตเพิ่มขึ้นต่อทั้งทีม KNU และผู้คนหลากหลายสัญชาติที่ติดอยู่ภายใน การรื้อถอนเครือข่ายสแกมขนาดใหญ่ระดับนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU ระบุว่าการสอบสวนและการเก็บหลักฐานอย่างมีประสิทธิภาพเกินขีดความสามารถของ KNU เพียงลำพัง หลักฐานทั้งหมดจะถูกส่งต่อให้ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานรัฐที่ร่วมปฏิบัติงานกับ KNU การทำลายขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องอาศัยผู้นำที่เข้มแข็ง ความมุ่งมั่นแน่วแน่ และความร่วมมือจากทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบ หากไม่ได้รับความร่วมมืออย่างเร่งด่วน โลกอาจสูญเสียโอกาสสำคัญในการใช้คอมเพล็กซ์แห่งนี้เป็นกรณีศึกษาระดับนานาชาติ KNU จะเผยแพร่ข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อสถานการณ์พัฒนาไป การให้คำมั่นของ KNU KNU ยืนยันการยึดมั่นในหลักนิติธรรมในพื้นที่ที่บริหารอยู่ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การคุ้มครองเหยื่อ และการนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการรับผิด โดยร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง   * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * พม่า * รัฐกะเหรี่ยง * ชายแดนไทย-พม่า * สแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * อาชญากรรมข้ามชาติ * DKBA * KNU * มิตเลตปัน * แม่สอด
dlvr.it
November 25, 2025 at 9:57 AM
'ฟูอาดี้' เตือน เลือกตั้งพม่าเร่งความรุนแรง รัฐไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่
'ฟูอาดี้' เตือน เลือกตั้งพม่าเร่งความรุนแรง รัฐไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ Pazzle Tue, 2025-11-25 - 16:43 วงเสวนา “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบทหารเมียนมา: สถานการณ์และผลกระทบต่อไทย” ที่ มช. อ.ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ นักวิชาการสาขาวิชาการระหว่างประเทศ ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ว่าการเลือกตั้งเมียนมาปลายปี 2025 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่มีความชอบธรรม เนื่องจากรัฐบาลทหารควบคุมทุกมิติและกวาดจับผู้เห็นต่าง พร้อมเตือนว่าการจัดเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหารจะไม่ช่วยลดความรุนแรง แต่จะยิ่งผลักให้สถานการณ์สู้รบในสงครามกลางเมืองรุนแรงมากขึ้น แม้รัฐบาลไทยย้ำว่าต้องการเห็นการเลือกตั้งเสรี–เที่ยงธรรม แต่การส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปในพม่าก็ทำให้ไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติควบคู่กันไป ฟูอาดี้เสนอว่าไทยควร “พลิกมุมมอง” ต่อพม่า จากเดิมที่มองผ่านกรอบความมั่นคงเพียงอย่างเดียว ไปสู่การให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติในมิติกว้างขึ้น รวมถึงสิทธิมนุษยชน ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และช่องทางร่วมมือที่ไม่ผูกติดเฉพาะระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อไม่ให้ไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของความชอบธรรมให้รัฐบาลทหารโดยไม่ตั้งใจ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 สำนักวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดเสวนาวิชาการหัวข้อ “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบทหารเมียนมา: สถานการณ์และผลกระทบต่อไทย” โดยมีวิทยากรประกอบด้วย อาจารย์ ดร.ศิรดา เขมานิฏฐาไท สำนักวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ผศ.ดร.ณัฐพล ตันตระกูลทรัพย์ สำนักวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอาจารย์ ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ สาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร. สุพิชฌาย์ ปัญญา สำนักวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินรายการ โดยก่อนหน้านี้ประชาไทรายงานการอภิปรายของ อ.ดร.ศิรดา และ ผศ.ดร.ณัฐพลไปแล้วนั้น ดร.ศิรดา เขมานิฏฐาไท, ร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ, ผศ.ดร.ณัฐพล ตันตระกูลทรัพย์ ในช่วงนำเสนอของ อาจารย์ ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาระบุว่าจะกล่าวในสามประเด็นหลัก ได้แก่ เรื่องการเลือกตั้งพม่า ซึ่งเป็นหัวข้อที่เขายอมรับว่าตนรู้น้อยที่สุด ประการที่สองคือ นโยบายต่างประเทศของไทยต่อพม่าในอดีต และประการที่สามคือ การเปลี่ยนมุมมองที่รัฐไทยควรมีต่อพม่าในบริบทปัจจุบัน อ.ดร.ฟูอาดี้ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ “ไม่มีความชอบธรรมแน่นอน” และเป็นกระบวนการที่รัฐบาลทหารพม่าพยายามควบคุมเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจ (transition) อยู่ในมือของกองทัพมากที่สุด แม้จะมีความหวังลึก ๆ ของ พล.อ.อาวุโสมินอ่องหล่าย ว่าการเลือกตั้งอาจช่วยเพิ่มการยอมรับจากรัฐบาลไทย อาเซียน และต่างประเทศเพื่อลดแรงกดดันจากภายนอกก็ตาม ส่วนระบบการเลือกตั้งรัฐบาลทหารได้เปลี่ยนระบบเลือกตั้งสภาสูง และสภาท้องถิ่น โดยเพิ่มระบบสัดส่วนในพื้นที่ที่ตนเสียเปรียบ และยังมีโควตาทหาร 25% ในสภาทั้ง 3 ระดับ ตามที่ระบุในรัฐธรรมนูญปี 2008 อยู่แล้ว อ.ดร.ฟูอาดี้ นำเสนอแผนที่ซึ่งเขาอธิบายเพิ่มเติมว่า แผนที่แสดงพื้นที่ภายใต้กฎอัยการศึก และแผนที่แสดงพื้นที่ที่ไม่ได้จัดการเลือกตั้งที่จะเริ่มจัดปลายเดือนธันวาคมปี 2025 มีลักษณะซ้อนทับกันอย่างมาก โดยประมาณ 30–35% ของประเทศอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ขณะที่พื้นที่ประมาณ 25–30% ของประเทศเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลทหารพม่า SSPP ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ส่วนพื้นที่ที่สามารถจัดการเลือกตั้งเฟสแรกได้ก็กินพื้นที่ราว 20–25% ของประเทศเท่านั้น การแบ่งเขตเช่นนี้ทำให้เห็นชัดว่ากองทัพพม่าควบคุมพื้นที่ใด และสะท้อนข้อจำกัดของการเลือกตั้งในประเทศที่ยังสู้รบอย่างต่อเนื่อง หากแบ่งพื้นที่ออกเป็นกลุ่มสี พื้นที่สีเขียว อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายต่อต้าน พื้นที่สีแดงเป็นพื้นที่สู้รบ พื้นที่สีเหลืองเป็นพื้นที่ผสม และพื้นที่สีเทาเป็นพื้นที่ที่ไม่มีเหตุปะทะ แต่ก็ไม่มั่นคงพอจะจัดการเลือกตั้งได้ เรื่องที่เกี่ยวข้อง * “ความหวังที่ร่วงโรย” ผลสำรวจเยาวชนพม่าพลัดถิ่นที่แม่สอดหลังรัฐประหาร 2564 * 'ศิรดา' ตั้งคำถามรัฐบาลทหารพม่า 'จัดเลือกตั้ง' แก้ปัญหาการเมืองได้จริงหรือไม่ * 'ณัฐพล' ชี้ พม่าจัดเลือกตั้ง มุ่งสืบทอดอำนาจ-ลดแรงกดดันภายในกองทัพ ในเชิง “ข้อถกเถียงหลัก” (core controversy) อ.ดร.ฟูอาดี้ กล่าวถึงการใช้กฎหมายควบคุมการเลือกตั้งอย่างเข้มงวดของรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งล่าสุดมีผู้ถูกจับกุมแล้ว 94 คน และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือ NLD ถูกสั่งยุบไม่สามารถกลับมารวมตัวได้ เอ็นจีโอระหว่างประเทศ เช่น International Crisis Group (ICG) ระบุชัดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาการเมืองพม่า หรือหยุดวงจรความรุนแรงได้ เพราะมีปัญหาเรื่องความชอบธรรม การปรับกติกาเพื่อให้ฝ่ายทหารได้เปรียบ รวมถึงกองกำลังฝ่ายต่อต้านเองก็เชื่อมั่นมากขึ้นว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบ ซึ่งผลักให้การสู้รบเดินหน้าต่อเนื่อง กลายเป็นการเร่งความรุนแรงมากกว่าเป็นการคลี่คลายสถานการณ์ ขณะเดียวกัน ยังมีกลุ่มประชาสังคมที่ต่อต้านเผด็จการจัด “การเลือกตั้งคู่ขนาน” เพื่อตั้งคำถามต่อความชอบธรรมของการเลือกตั้งที่จัดโดยรัฐบาลทหาร ขณะที่รัฐบาลไทยประกาศท่าทีว่าต้องการให้การเลือกตั้งมีความ “ครอบคลุม เที่ยงธรรม โปร่งใส” และพร้อมให้ความช่วยเหลือหากถูกขอร้อง อย่างไรก็ตาม อ.ดร.ฟูอาดี้ย้ำว่า “ไม่มีทางที่การเลือกตั้งเมียนมาจะมีความครอบครัว เที่ยงธรรม และโปร่งใส” ในความเป็นจริง เขาระบุว่าไทยต้องเล่นสองด้าน ทางหนึ่งต้องรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารพม่า แต่อีกทางก็ต้องรับแรงกดดันจากนานาชาติ พร้อมทั้งย้ำว่าไทยพยายามชี้แจงว่าการส่งผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งพม่าไม่ได้แปลว่ายอมรับการเลือกตั้ง เขาคาดว่าความรุนแรงในพม่าจะทวีเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดผู้อพยพจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในไทย แม้ไทยจะย้ำว่าต้องการเห็นการเลือกตั้งเสรีและเป็นธรรม แต่ก็จำเป็นต้องเตรียมการรองรับผู้อพยพ กระทรวงมหาดไทยเริ่มเตรียมพื้นที่สำหรับตั้งค่ายใหม่ รองรับหากมีผู้ลี้ภัยรอบใหม่ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้อพยพกลุ่มปัจจุบันบางส่วนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพ 9 แห่งออกไปทำงาน เพื่อลดภาระทางมนุษยธรรมและส่งเสริมให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจไทย ในเวทีระหว่างประเทศ อ.ดร.ฟูอาดี้ กล่าวว่าไทยและจีนมีมุมมองใกล้เคียงกัน คือการสนับสนุนไม่ให้รัฐพม่าล่มสลาย และยังให้ความสำคัญกับแนวคิดที่ว่ากองทัพเป็น “guardian of state” ซึ่งเป็นมุมมองที่เห็นว่ากองทัพต้องคงบทบาทกำกับรัฐบางส่วน อย่างไรก็ตาม เขาเสนอว่า “ถึงเวลาที่ต้องพลิกแนวคิดนี้” และเปลี่ยนมุมมองการมีความสัมพันธ์กับพม่าให้หลุดจากระดับ G-to-G หรือการทูตแบบยกหูคุยระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลเพียงอย่างเดียว โดยควรแบ่งบทบาทกันมากขึ้น เช่น การแชร์ข้อมูลด้านความมั่นคงที่แยกกันระหว่างส่วนราชการ หรือเพิ่มบทบาทให้กับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องซึ่งยังไม่เคยถูกใช้เต็มศักยภาพ สำหรับบทบาทของสมาคมอาเซียน (ASEAN) เขาระบุว่า หลังการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งล่าสุด อาเซียนตัดสินใจไม่ส่งผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลทหาร ซึ่งต่างจากท่าทีไทยที่ระบุว่าพร้อมส่งผู้สังเกตการณ์หากถูกขอร้อง ความแตกต่างนี้สะท้อนทิศทางนโยบายต่างประเทศที่ไม่เป็นเอกภาพภายในอาเซียน อ.ดร.ฟูอาดี้ยังนำเสนอว่าท่าทีของนานาชาติต่อการเลือกตั้งพม่ามีได้ 4 แบบ ได้แก่ หนึ่ง ยอมรับการเลือกตั้งและคาดหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง สอง ยอมรับการเลือกตั้งแต่ไม่คาดหวังการเปลี่ยนแปลง สาม ไม่ยอมรับการเลือกตั้งแต่หวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง และสี่ ไม่ยอมรับการเลือกตั้งและไม่หวังการเปลี่ยนแปลง สำหรับไทย เขากล่าวว่าเข้าข่ายแบบที่สอง คือ “ยอมรับกระบวนการแต่ไม่หวังผล” ขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้ไทยกลายเป็นเครื่องมือช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลทหารโดยไม่ได้ตั้งใจ และยังต้องรักษาความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีภูมิภาคและระดับโลก เขาเสนอด้วยว่า ไทยจำเป็นต้องฉลาดและยืนบนผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ต้องเน้นประเด็นสิทธิมนุษยชนและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมากขึ้น เพราะผลกระทบจากพม่าจะรุนแรงขึ้นในปีนี้และปีหน้า ทั้งในด้านความมั่นคง การสู้รบ และผู้อพยพ พร้อมเสนอว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยควรเลิกมองประเด็นพม่าในกรอบ “ความมั่นคง” อย่างเดียว และมองหา “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ที่สามารถพัฒนาไปพร้อมกันได้   * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * พม่า * เลือกตั้งพม่า 2025 * รัฐบาลทหารพม่า * ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ * ชายแดนไทย-พม่า * ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ * กระทรวงการต่างประเทศ * กองทัพพม่า
dlvr.it
November 25, 2025 at 9:57 AM
'ดีอี - สคส.' สั่งเอกชนลบข้อมูล 1.2 ล้านคน "สแกนม่านตาแลกเหรียญ" เหตุปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลัก PDPA
'ดีอี - สคส.' สั่งเอกชนลบข้อมูล 1.2 ล้านคน "สแกนม่านตาแลกเหรียญ" เหตุปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลัก PDPA auser15 Tue, 2025-11-25 - 16:27 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เผยมีการสั่งเอกชนลบข้อมูล 1.2 ล้านคน "สแกนม่านตาแลกเหรียญ" เหตุปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลัก PDPA เพจ PDPA Thailand รายงานเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ว่า จากโครงการที่เป็นกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อมนุษย์ต้อง “ยืนยันความเป็นมนุษย์” ในโปรเจ็กต์ World Coin ที่ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูล “ม่านตา” ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลลักษณะพิเศษ ตามกฎหมาย PDPA มาตรา 26 สำหรับการยืนยันตัวตน เพื่อแลกเปลี่ยนกับเหรียญดิจิทัลซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 700-1,000 บาท “เพราะข้อมูลม่านตาเป็นข้อมูลทางชีวภาพที่ไม่ซ้ำใคร ยากต่อการปลอมแปลง และแม่นยำที่สุดในโลก” ล่าสุดวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 - นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกับ พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และคณะ แถลงถึงประเด็นดังกล่าวว่า จากการตรวจสอบภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายเกี่ยวกับ “ธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี หรือ World Coin” ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวม “ข้อมูลชีวภาพ” ที่เข้าข่ายตามลักษณะข้อมูลส่วนบุคคลลักษณะพิเศษ พบว่าบริษัทผู้ให้บริการ “แจ้งวัตถุประสงค์การขอความยินยอมไม่ครบถ้วน” โดยอ้างว่าโครงการดังกล่าวเป็นเพียงการ “ยืนยันความเป็นมนุษย์อย่างเดียว” ซึ่งในทางปฏิบัติจริง ระบบสามารถเทียบกลับข้อมูลดังกล่าวไปและยืนยันถึงตัวบุคคลดังกล่าวได้จริง ซึ่งเป็นการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลลักษณะพิเศษที่ “ไม่ตรงต่อวัตถุประสงค์ที่แจ้ง” ต่อผู้เข้าร่วมโครงการ และเข้าข่ายการขอความยินยอมที่ไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย PDPA หลังจากตรวจสอบ สคส. ได้เร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนทั้งลงพื้นที่ตรวจสอบ, ส่งแจ้งเตือนประชาชน และส่งสำนวนไปยังคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ซึ่งให้มีคำสั่งทางปกครอง ประกอบไปด้วย 1. ระงับการดำเนินการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลม่านตาทั้งหมดทันที 2. ลบข้อมูลม่านตาทั้งหมดจำนวน 1.2 ล้านข้อมูลที่ได้เก็บไป นอกจากนี้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ยังอยู่ระหว่างพิจารณามูลค่าการลงโทษปรับตามกฎหมายที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะสูงถึง 5 ล้านบาท (และอาจพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย) นายไชยชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่ากิจกรรมการสแกนม่านตาเพื่อแลกกับเหรียญจะเป็นกิจกรรมที่ทำกันในหลายประเทศทั่วโลก แต่ในปัจจุบันมีมากกว่า 8 ประเทศที่มีการห้ามหรือระงับกิจกรรมนี้ไปแล้วเช่นกัน ซึ่งมี 5 ประเทศที่มีคำสั่งระงับชัดเจน ได้แก่ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี, ประเทศสเปน, ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี, ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย, ประเทศบราซิล และอื่น ๆ ซึ่งในสาธารณรัฐเกาหลีมีการลงโทษปรับมาแล้วเช่นกัน สิ่งที่ได้พบจากการดำเนินการตรวจสอบ พบว่ากรณีนี้ต้องพิจารณาเป็น “คดีพิเศษ” เนื่องจาก 1. ประชาชนส่วนมากไม่ได้รับรู้ว่า ข้อมูลจะถูกเก็บรวบรวมไว้และนำไปใช้อย่างไรบ้าง 2. ประชาชนหลายท่านที่ไม่เข้าใจในระบบคริปโทเคอร์เรนซีอย่างแท้จริง 3. ในบางพื้นที่ที่ได้ตรวจพบ และมีหลักฐานจากการสืบสวนของ PDPC Eagle Eyes มีการเกณฑ์ประชาชนเป็นกลุ่มไปเพื่อเข้าร่วมโครงการแบบลับ ๆ เพราะอุปกรณ์ (Device) ที่ใช้ในการสแกนม่านตาไม่ใช่ของเจ้าของข้อมูลเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่โปร่งใส เพราะโครงการดังกล่าวเป็นการให้ผลตอบแทนด้วยเหรียญ ในลักษณะการตอบแทนแบบ “รายเดือน” นั่นหมายความว่า เมื่อประชาชนเข้าไปสแกนม่านตาแล้ว แต่ไม่ได้ใช้ไอดี หรือบัญชีของตัวเองจริง เหรียญหรือผลตอบแทนดังกล่าวที่ควรจะได้รับนั้นไม่ได้เข้าสู่ประชาชนรายนั้นอย่างแท้จริง มาตรการป้องกันปัญหาในลักษณะนี้ที่ทางหน่วยงานรัฐมีการสั่งการเพิ่มเติม ประกอบไปด้วย 1. การรวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ ส่วนงานเพื่อพิจารณายกระดับมาตรฐานในเรื่องของกฎหมาย และการขอใบอนุญาตที่เข้มงวด 2. การไม่ใช่แค่คุมเข้มในเรื่องของกิจกรรมลักษณะนี้ เพราะ “อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวมข้อมูล” ไม่เพียงแต่ข้อมูลม่านตา แต่การอ่านข้อมูลในรูปแบบ Chip & PIN ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งจะมีการเร่งดำเนินการเพิ่มมาตรการเหล่านี้ต่อไป นายไชยชนกกล่าวปิดท้ายว่า “เทคโนโลยีไม่ได้ผิด” แต่มันอยู่ที่การใช้งานและเจตนาในการใช้เทคโนโลยีมากกว่า เพราะข้อมูล “ม่านตา” 1.2 ล้านข้อมูลเป็นข้อมูลที่มีความละเอียดสูง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และยืนยันได้ถึงตัวบุคคลนั้นจริง แม้ว่าเทคโนโลยีในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดก็ตาม กล่าวอีกนัยหากการสแกนม่านตาสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ทุกรูปแบบในอนาคตโดยไม่มีการกำกับดูแล นั่นหมายความว่าความเสี่ยงจะมาเยือนถึงเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างแท้จริง * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * ไอซีที * PDPA * ข้อมูลส่วนบุคคล * World Coin * คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล * สคส.
dlvr.it
November 25, 2025 at 9:30 AM
พบปัญหาสถานะบุคคลชาติพันธุ์ จ.เชียงใหม่ ล่าช้า เหตุแนวปฏิบัติอำเภอไม่เหมือนกัน
พบปัญหาสถานะบุคคลชาติพันธุ์ จ.เชียงใหม่ ล่าช้า เหตุแนวปฏิบัติอำเภอไม่เหมือนกัน auser15 Tue, 2025-11-25 - 16:17 กมธ.การพัฒนาสังคมฯ วุฒิสภา ร่วมกับภาคีเครือข่าย ติดตามปัญหาสถานะบุคคลกลุ่มชาติพันธุ์ จ.เชียงใหม่ พบปัญหาสถานะบุคคลชาติพันธุ์ล่าช้า เหตุแนวปฏิบัติอำเภอไม่เหมือนกัน เตรียมจัดทำนโยบายคุ้มครองวิถีชีวิต 25 พฤศจิกายน 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า  นายชาญชัย ไชยพิศ รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และความหลากหลายทางสังคม วุฒิสภา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน และกลุ่มชาติพันธุ์ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อประชุมติดตามการดำเนินงานด้านกลุ่มชาติพันธุ์ ร่วมกับมูลนิธิโพธิยาลัย สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (IMPECT) และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง ณ ศูนย์การเรียนโพธิยาลัย โรงเรียนดอยสะเก็ดผดุงศาสน์ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดย คณะกรรมาธิการฯ ได้ประชุมร่วมกับมูลนิธิโพธิยาลัย โดยมีพระมหาอินสอน คุณวุฑฺโฒ ผู้อำนวยการโรงเรียนดอยสะเก็ดผดุงศาสน์ และประธานศูนย์การเรียนโพธิยาลัย นายสันติพงษ์ มูลฟอง ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล นายสุมิตรวอพะพอ ผู้เชี่ยวชาญด้านสถานะบุคคลมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะจากการปฏิบัติงานจริงในหลายประเด็นที่สำคัญ อาทิ สถานการณ์ปัญหาสถานะบุคคลในประเทศไทย การดำเนินการกำหนดสถานะบุคคลตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ซึ่งออกตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 เพื่อแก้ปัญหาสัญชาติและการรับรองสถานะบุคคล จำนวน 480,000 ราย พบปัญหา เช่น ปัญหาด้านความแตกต่างของแนวปฏิบัติในแต่ละอำเภอ ปัญหาด้านแนวปฏิบัติและความล่าช้าในการแก้ไขหรือจัดทำเอกสารใหม่กรณีเอกสารผิดพลาดหรือสูญหาย รวมทั้งการกำหนดระยะเวลาดำเนินการภายใน 1 ปี ซึ่งปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 5 เดือน ดำเนินการได้เพียงร้อยละ 25 เป็นต้น และแนวทางการกำหนดแนวปฏิบัติต่อเด็กตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 จำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.เด็กที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน 2. เด็กลูกหลานแรงงานต่างด้าว 3.เด็กที่เดินทางโดยลำพังด้วยเหตุผลทางการศึกษา 4.เด็กที่เดินทางไปกลับตามชายแดน และ 5.เด็กในพื้นที่พักพิงชั่วคราว รวมทั้งปัญหาการจัดการศึกษาสำหรับเด็กโยกย้ายถิ่นฐาน การจัดการศึกษาสำหรับสามเณรและกลุ่มไร้สัญชาติในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่            นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้ประชุมร่วมกับสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย หรือ IMPECT โดยมีนายศักดิ์ดา แสนมี่ ผู้ประสานเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้แทนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับทราบข้อมูลการดำเนินงานด้านการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พร้อมทั้งติดตามการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 รวมถึงปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินงานในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันภาคีเครือข่ายได้ร่วมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวกับกลุ่มชาติพันธุ์ รวมทั้งการเข้าไปมีส่วนร่วมในการออกกฎหมายลำดับรอง เพื่อเป็นกลไกหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย            ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ จะรวบรวมข้อมูลจากการลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อประกอบการพิจารณาศึกษาและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการฯ ต่อไป * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * กลุ่มชาติพันธุ์ * ชาวไทยภูเขา * ชนเผ่าพื้นเมือง * สถานะบุคคล * เชียงใหม่
dlvr.it
November 25, 2025 at 9:21 AM
กมธ. แก้ไข รธน. หวังเปิดประชุมวิสามัญทันเวลา ผลักดันร่างเสร็จก่อนปีใหม่
กมธ. แก้ไข รธน. หวังเปิดประชุมวิสามัญทันเวลา ผลักดันร่างเสร็จก่อนปีใหม่ auser15 Tue, 2025-11-25 - 16:01 ประธาน กมธ.ร่างแก้ไข รธน. เผยการพิจารณาเป็นไปตามกรอบ กมธ.เตรียมรับฟังผู้แปรญัตติ วันที่ 26 พ.ย. ก่อนสรุปรายงานส่งประธานรัฐสภา ย้ำกังวลเวลา 15 วัน ก่อนวาระ 3 อาจกระทบโรดแมป หวังเปิดประชุมวิสามัญทัน วันที่ 1 ธ.ค. เพื่อดันร่างให้เสร็จก่อนปีใหม่ พร้อมส่งสัญญาณอย่าให้กระแสยุบสภาหรือเกมการเมืองมาขัดขวาง ชี้ รธน. 2560 มีปัญหามากจึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการปลดล็อก ย้ำต้องไม่จำกัดสิทธิประชาชนด้วยปัญหาทางการเมือง 25 พ.ย. 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบุว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญยังเดินตามกรอบ โดยการประชุมวันนี้เป็นการจัดเชิงธุรการ และในวันที่ 26 พ.ย. จะเชิญผู้แปรญัตติ ได้แก่ สว. 4 คน และ สส. 2 คน มาชี้แจงประเด็นที่ไม่เห็นด้วย โดยบางส่วนกมธ.ได้ปรับแก้ไปตามข้อเสนอแล้ว เช่น เห็นว่ามาตรา 156 ที่เกี่ยวกับกำหนดการประชุมร่วมรัฐสภาไม่จำเป็นต้องแก้ไข เมื่อพิจารณากฎหมายเสร็จ จะต้องบรรจุร่างรายงาน โดยยังมีคำสงวนของผู้แปรญัตติและกรรมาธิการบางคน เช่น นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ นางรัชนีกร ทองทิพย์ และผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับสูตร 20 หยิบ 1 ซึ่งกมธ.จะพิจารณาร่วมกันช่วงบ่าย 26 พ.ย. หากเสร็จตามกำหนดจะส่งประธานรัฐสภาได้ช้าที่สุดวันที่ 27 พ.ย. และถ้าพิจารณาเสร็จก่อนหน้านั้นก็สามารถส่งรายงานได้ทันที นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวว่า ตัวแทนของคณะรัฐมนตรีที่อยู่ในกมธ. ส่งเสียงมาว่าไม่จำเป็นต้องรอร่างเสร็จขอเพียงส่งเสียงมา การนำเสนอในคณะรัฐมนตรีเพื่อเปิดประชุมวิสามัญ นอกจากการทำหน้าที่ในฐานะประธานจะต้องติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันนี้ ว่าจะมีการขอพระราชกฤษฎีกาเปิดสมัยประชุมวิสามัญหรือไม่และจะเปิดตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่ากับว่ากรณีของกมธ.งานใกล้เสร็จแล้ว และหากมีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.เป็นต้นไป ทางกมธ.ก็พร้อมพิจารณาในสภาต่อไป นายณัฐวุฒิ ระบุว่า กมธ.กังวลเรื่องการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญว่าจะทันวาระสามหรือไม่ เพราะต่างจากกฎหมายทั่วไป เมื่อวาระสองเสร็จต้องรอ 15 วันก่อนลงมติวาระสาม หากเปิดประชุมวิสามัญ 1 ธ.ค.วาระสามอาจเกิดวันที่ 16 ธ.ค.เป็นต้นไป แต่ถ้าเปิดวันที่ 8 ธ.ค. การลงมติอาจไปถึงปลายเดือนธันวาคม กมธ.จึงขอโอกาสให้ร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านหลักการเอกฉันท์และประชุมพิจารณากว่า 15–16 ครั้ง ได้ออกผลเป็นรัฐธรรมนูญที่ปลดล็อก แม้จะคำนึงถึงสถานการณ์การเมือง แต่ต้องการผลักดันให้เสร็จก่อนปีใหม่ และหวังว่าจะไม่มีปัจจัยใดมาขัดขวาง โดยย้ำว่าพร้อมรับทุกสถานการณ์เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จเพื่อประโยชน์ประชาชนสูงสุด นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวว่า ในที่ประชุมยังเห็นตรงกันให้นำข้อความหมวด 1 และหมวด 2  จากรัฐธรรมนูญปี 2560 มาใส่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่มีการแก้ไขถ้อยคำ ส่วนจะมีกรรมาธิการคนอื่นเห็นเป็นอย่างไรก็คงจะมีการไปลงมติในที่ประชุมรัฐสภา ส่วนคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่าเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองหากมีการยุบสภาจะทำให้สิ่งที่เราทำมาสูญเปล่าหรือไม่ ว่าไม่เป็นห่วงเสียทีเดียวก็ไม่ได้ ก่อนหน้านี้กรรธิการเคยพูดคุยเรื่องนี้ในตอนต้นของการประชุมเราควรจะโฟกัสที่เนื้อหามากกว่า จึงมีการวาง สถานการณ์การเมืองไว้ก่อน แต่เชื่อว่าน่าจะไม่มีการยุบสภาก่อนพิจารณาวาระ 2 เสร็จสิ้น ส่วนจะมีการพิจารณาถึง วาระ 3 หรือไม่เนื่องจากมีการรอระยะเวลา 15 วัน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า แม้จะไม่กังวลมากนักเรื่องการรอ 15 วันก่อนวาระสาม แต่เมื่อเดินมาถึงขั้นนี้ ซึ่งตลอด 8–9 ปีที่ผ่านมา การปลดล็อกแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยาก และรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็มีปัญหามาก จึงถือเป็นโอกาสที่ใกล้ที่สุดในการแก้ไข ไม่อยากให้มีอุปสรรคหรือปัญหาการเมืองมาขัดขวาง โดยระยะเวลา 15 วันก่อนลงมติวาระสามอาจถูกใช้เป็นกลไกตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งฝ่ายค้านทุกพรรค—including พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย—กำลังทำอย่างเข้มข้น จึงขอให้รออีกเพียง 15–16 วันก่อนมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ พร้อมสนับสนุนความเห็นของนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ว่าไม่ควรผูกประเด็นอื่นเข้ากับการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะจะสะท้อนว่ารัฐบาลจริงใจหรือไม่ในการเดินหน้าปรับแก้รัฐธรรมนูญ นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวว่า หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค.จริง รัฐบาลเองก็ไม่สามารถยุบสภาได้ในเมื่อในเมื่อยุบสภาไม่ได้ ขอรอให้พิจารณารัฐธรรมนูญให้จบไปพร้อมกันได้หรือไม่ แต่การจะยุบสภาก่อนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่นั้น ตนไม่สามารถก้าวล่วงการตัดสินใจของรัฐบาลได้ แต่หากเกิดขึ้นจริง สิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะค้างอยู่ที่วาระสอง ซึ่งแม้ตามกฎหมายอาจไม่ตกไปทั้งหมดและขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าจะหยิบมาพิจารณาต่อหรือไม่ แต่ในทางปฏิบัติก็เท่ากับต้องเริ่มกระบวนการใหม่ โดยไม่รู้ว่าจะมีฉันทามติอย่างไร จึงยอมรับว่ามีความกังวลทั้งในข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และสถานการณ์ทางการเมือง อย่างไรก็ตาม หากยังเดินหน้าต่อได้ในเวลาที่เหลือ ก็ควรเร่งให้เสร็จ นายณัฐวุฒิจึงขอส่งสัญญาณชัดเจนต่อข้อสงสัยว่าทำไมไม่รอให้กมธ.ทำวาระสามให้เสร็จเพื่อนำไปสู่การทำประชามติรอบเดียว เพื่อไม่ให้ประชาชนเสียโอกาสใช้สิทธิ โดยทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับฉันทามติของประชาชนว่าจะเห็นชอบการแก้ไขหรือไม่ และไม่ควรให้ประเด็นทางการเมืองมากำหนดสิทธิของประชาชน * ข่าว * การเมือง * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
dlvr.it
November 25, 2025 at 9:03 AM
‘เดินเปลี่ยนอนาคต’ ความหวังที่ยังเหลือ รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
‘เดินเปลี่ยนอนาคต’ ความหวังที่ยังเหลือ รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน hungary budapest Tue, 2025-11-25 - 15:52 “...ท่ามกลางจีนเทาและไทยเทาเต็มแผ่นดิน จากมรดกบาปของ คสช. สร้างโรงงานเถื่อนขนขยะพิษมาแปรรูปจนก่อผลกระทบรุนแรงต่อชีวิต ทรัพย์สิน สุขภาพของประชาชน สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเสื่อมโทรมลงอย่างหนัก ยิ่งต้องเดิน…” — เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์, ประธาน กป.อพช. นับตั้งแต่การเลือกตั้ง 2562 ที่ ส.ว. [แต่งตั้ง] ช่วยส่งประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งเก้าอี้นายกฯ อันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐธรรมนูญมรดกรัฐประหาร เสียงเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างโดยประชาชนก็ดังกระหึ่มเรื่อยมา โดยเฉพาะหลังช่วงการชุมนุม 2563 ที่ประเด็นสังคมแง่มุมต่างๆ ถูกนำเสนอให้เห็นความเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญอย่างไร และเป็นเรื่องใกล้ตัวแค่ไหน มิใช่เพียงการเลือกตั้ง แต่ยังรวมถึงสิทธิชุมชน การจัดการทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจที่ยิ่งมากล้นในการแทรกแซงฝ่ายการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ทำให้แม้แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุด 2566 แทบทุกพรรคการเมืองก็หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นส่วนสำคัญในการหาเสียง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าเสียงเรียกร้องนี้จะเคยดังแค่ไหน แต่พิษสงของรัฐธรรมนูญ 2560 กลับไม่เคยทอนพลัง มีแต่จะยิ่งออกฤทธิ์แรงขึ้น เมื่อพรรคก้าวไกลไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้แม้รวมเสียง ส.ส. ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภา ทั้งยังถูกยุบพรรค-ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารในเวลาต่อมา รวมถึงการที่พรรคเพื่อไทยต้องหันไปจับมือกับศัตรูเก่าเพื่อตั้งรัฐบาล ตามมาด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทั้งการปลดนายกฯ สองคนของเพื่อไทย (จนท้ายที่สุดได้รัฐบาลภูมิใจไทยด้วยการโหวตของพรรคประชาชนให้มาดันวาระร่างรัฐธรรมนูญใหม่-ยุบสภา) ยิ่งทำให้การเมืองไทยพิสดารขึ้นทวีคูณ  มากไปกว่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำวินิจฉัยห้ามประชาชนเลือก สสร. โดยตรง ทำให้พรรคการเมืองต้องเสนอโมเดลที่ห่างไกลเหลือเกินจากข้อเรียกร้องที่เคยเกิดขึ้น ล่าสุด อนุทินยังใช้การผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้เป็นตัวประกันจากการอภิปรายซักฟอกด้วย  ดูเหมือนหนทางรัฐธรรมนูญใหม่จะยิ่งกว่าเข้ารกเข้าพง ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเหตุผลที่คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และองค์กรเครือข่าย จัดแคมเปญรณรงค์ ‘Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต’ เพื่อทำให้ข้อเรียกร้องนี้ไม่ถูกซัดหายไปด้วยคลื่นแรงอันแปรปรวนของการเมืองในสภา ดังที่ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ประธาน กป.อพช. โพสต์ในเฟซบุ๊ก “...หากการเมืองเป็นไปตาม MOA หรือบันทึกข้อตกลง ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ที่มีเงื่อนไขว่ารัฐบาลอนุทิน/ภูมิใจไทยต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน เพื่อเลือกตั้งใหม่พร้อมการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ (กำหนดเป็นวันที่ 29 มีนาคม 2569) ก็ควรเดิน แม้การเมืองมีเหตุให้ต้องยุบสภาก่อน หรือเหตุอื่นใดก็ตาม ที่ไม่เป็นไปตาม MOA ก็ยิ่งควรเดิน ยิ่งหนทางไปสู่การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนในรัฐบาลนี้ ไม่มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้ว มีแต่คณะกรรมาธิการยกร่าง และคณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็น ที่เลือกโดยรัฐสภาเท่านั้น ก็ยิ่งควรเดิน เดินเพื่อส่งเสียงกู่ก้องร้องตะโกนว่ากลไกและวิธีการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ยังมีข้อบกพร่องอย่างไรบ้าง…” แคมเปญดังกล่าวเป็นการเดินเท้าระหว่างวันที่ 6-10 ธันวาคม ที่กำลังจะถึงในสุดสัปดาห์หน้า (กินเวลา 5 วัน ระยะทาง 55 กิโลเมตร) เริ่มเดินจากสวนอาหารลุงนวย อ.วังน้อย จ.อยุธยา ในเช้าวันที่ 6 ธ.ค.ไปจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 10 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ โดยมีกิจกรรมรออยู่ทุกปลายทางของแต่ละวัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนต้องเดินหน้าต่อ ไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร ‘รัฐธรรมนูญใหม่ฉบับประชาชน’ คือการทำงานระยะยาว “จริงๆ แล้วเรื่องนี้เรามีการรณรงค์พูดคุยกันมาหลายปีแล้ว แต่ว่ามันก็ยังไม่ได้เห็นทิศทาง หรือว่ามีความหวังของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากนัก แต่ปีนี้มันมีการจุดประเด็นนี้ขึ้นมาใหม่ เราก็คิดว่ามันมีความจำเป็นที่เราจะต้องเป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะบอกให้เห็นถึงความสำคัญของการมีรัฐธรรมนูญที่ดีที่มันจะตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน”  จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ (หญิง) ตัวแทนจาก กป.อพช. กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องจัดแคมเปญ เธอเล่าว่าอยากให้สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ภาคประชาชนกลับมาสนใจประเด็นนี้อย่างจริงจัง หลังจากภาคการเมืองตกลงกันชัดแล้วว่าคงไม่มี สสร. จากการเลือกตั้งโดยตรง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม เธอเองก็รู้ดีว่าด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเร็ววัน โดยเฉพาะบนเงื่อนไข สสร. เลือกตั้ง อย่างที่ภาคประชาชนเรียกร้องมาตลอด การเดินรณรงค์ครั้งนี้จึงเป็นการทำงานระยะยาวเพื่อเลี้ยงกระแสให้คนไม่ลืมและกลับมาสนใจเรื่องนี้ เหมือนอย่างที่แคมเปญ #ConforAll เคยรวบรวมกว่า 200,000 รายชื่อบนกระดาษได้ในเวลาเพียง 3 วัน ส่งให้ กกต. เพื่อขอทำประชามติด้วยคำถามว่า ‘ท่านเห็นชอบหรือไม่ ว่ารัฐสภาต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน’ ซึ่งแม้ท้ายที่สุดไม่มีความคืบหน้าหรือการตอบรับ แต่ก็เป็นเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนจำนวนมากมีความต้องการในเรื่องนี้อย่างไร ไม่เชื่อว่ารัฐบาลอนุทินมีความตั้งใจในการผลักดัน รธน. “เราก็ไม่ได้คาดหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีความตั้งใจในการผลักดันรัฐธรรมนูญ รวมถึงอุปสรรคจากศาลรัฐธรรมนูญเองที่ออกมาพูดถึงกระบวนการเลือก สสร. อันนี้ก็ชัดเจนว่าฝั่งผู้ที่กุมอำนาจไม่ได้ต้องการคืนอำนาจให้ประชาชน อย่างไรก็ตามเราก็เห็นว่ามันก็เป็นความจำเป็นข้องภาคประชาชนที่ต้องพูดคุยถึงเรื่องนี้” เธออธิบายว่าการที่กฎหมายแม่อย่างรัฐธรรมนูญ 2560 มีความผิดปกติ ทำให้กฎหมายลูกที่เกิดขึ้นตามกันมาผิดปกติตามไปด้วย จนเกิดเป็นการลิดรอนสิทธิ์อย่างที่เห็นได้ในหลายกรณี (ดังที่เลิศศักดิ์เขียนโพสต์เฟซบุ๊กไว้ข้างต้น) คำตัดสินน่ากังขาต่าง ๆ ของศาลรัฐธรรมนูญเองก็เป็นผลพวงของความผิดปกตินี้ ทั้งการยุบพรรคการเมือง ปลดนายกฯ สองคนในสองปี หรือแทรกแซงกระบวนการได้มาซึ่ง สสร. ที่ควรเป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองตกลงกันโดยมีส่วนร่วมจากประชาชน กระนั้น เธอไม่เชื่อว่ารัฐบาลพรรคภูมิใจไทยมีความตั้งใจที่จะผลักดันรัฐธรรมนูญใหม่ อาจต้องไปคาดหวังจากรัฐบาลหน้ามากกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเสริมว่าหากภาคประชาชนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จนมีพลังมากเพียงมากพอ ทุกพรรคการเมืองก็ต้องกลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย การที่พรรคฝ่ายค้านเตรียมซักฟอกรัฐบาล จึงไม่ใช่เรื่องที่กระทบอะไรกับการรณรงค์ตามความเห็นของเธอ และการที่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและนายกรัฐมนตรี มีท่าทีขู่ว่าจะยุบสภาฯ แล้วกระบวนการผลักดัน รธน. ล้มไป ทำให้เธอยิ่งเชื่อว่ารัฐบาลอนุทินไม่มีความจริงใจตั้งแต่แรกที่จะร่างใหม่ มิเช่นนั้นคงไม่ดึงเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ในเกมการเมืองเพื่อป้องกันตัวเองจากการซักฟอก เธอยืนยันว่าคำขู่ของอนุทินไม่มีความหมายอะไรต่อเรื่องนี้ ไม่ว่าการเมืองในสภาจะดำเนินไปอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของภาคประชาชนที่ต้องทำการเมืองนอกสภาเพื่อผลักดันเรื่องนี้อยู่ดี “ในเรื่องของการซักฟอกพรรคภูมิไจไทย หากว่ามันมีความจำเป็นที่จะต้องทำ มันก็เป็นเรื่องที่ควรทำ โดยที่ไม่ต้องเอาเรื่องรัฐธรรมนูญมากังวลใจใด ๆ เลย เพราะเราก็เห็นอยู่ตอนนี้มันมีหลายปัญหามาก ๆ ที่รัฐบาลอนุทินเลือกที่จะปล่อยเบลอ” หวังคนร่วมเดินหลักพัน - มีเซอร์ไพรสที่ มธ. รังสิต เมื่อถามถึงความคาดหวังต่อผลลัพธ์ จุฑามาสกล่าว่าอยากให้มีคนร่วมเดินสักหลักพันคน โดยเฉพาะในช่วงวันท้าย ๆ ที่จะเดินไปรัฐสภาและอนุสารีย์ประชาธิปไตย เธอยังเปรยว่าวันแรก (5 ธ.ค.) ที่เดินจากวังน้อยไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต จะมีกิจกรรมเซอร์ไพรส์ที่มหาวิทยาลัย แต่จะขออุบไว้ก่อนเพราะกลัวว่าจะไม่ได้จัด แต่ก็เชิญชวนให้คนมาร่วมกิจกรรมในทุกๆ วัน เธอเชื่อว่าแม้กระแสเรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่จะเงียบลง แต่ผู้คนยังคงเห็นปัญหาและมีความหวังว่าจะแก้ไขอยู่ แต่ไม่มีช่องทางที่จะออกมาทำอะไรร่วมกันได้ เธอหวังว่ากิจกรรมนี้จะจุดประเด็นในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้ หรืออย่างน้อยให้กิจกรรมนี้เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ในการดึงผู้คนกลับมาจนเกิดกระแสได้ จุฑามาสกล่าวว่าหากสนใจก็สามารถเข้ามาร่วมเดินได้เลย แต่หากจะนอนค้างตามรายทางด้วยกันอาจต้องเตรียมของใช้มาเผื่อ อย่างไรก็ตามทางเพจเฟซบุ๊กขององค์กรแจ้งผู้ที่สอบถามประเด็นดังกล่าวว่าผู้จัดจะพยายามจัดสรรที่นอนให้เพียงพอ สำหรับรายละเอียดแคมเปญ สามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊กของ กป.อพช. ที่มา: โพสต์เฟซบุ๊กของ กป.อพช. * สัมภาษณ์ * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน * กป.อพช. * Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต * รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
dlvr.it
November 25, 2025 at 9:03 AM