ประชาไท Prachatai.com
@prachatai.com
700 followers 0 following 2.6K posts
Posts Media Videos Starter Packs
prachatai.com
อนุทิน ตั้ง 7 ที่ปรึกษาของนายกฯ มีผล 1 ต.ค.
อนุทิน ตั้ง 7 ที่ปรึกษาของนายกฯ มีผล 1 ต.ค. See Think Fri, 2025-10-10 - 13:21 นายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีจำนวน 7 คน ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่างๆ มีผล 1 ต.ค. 10 ต.ค. 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ลงนามในคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 312/2568 เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ เพื่อให้การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความถูกต้องเรียบร้อย รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล อาศัยอํานาจตามความใน มาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงมีคําสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ปฏิบัติหน้าที่ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เพื่อทําหน้าที่ให้คําปรึกษาและพิจารณาเสนอ ความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ดังนี้ * นายสรอรรถ กลิ่นประทุม * นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ * นายวุฒิสาร ตันไชย * นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ * พันตํารวจเอก ประเวศน์ มูลประมุข * นายทองเจือ ชาติกิจเจริญ * นายชัยวัฒน์ ศรีวิภาสถิตย์ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 * ข่าว * การเมือง * ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี * อนุทิน ชาญวีรกูล * สรอรรถ กลิ่นประทุม * สมคิด เลิศไพฑูรย์ * วุฒิสาร ตันไชย * ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ * พันตํารวจเอก ประเวศน์ มูลประมุข * ทองเจือ ชาติกิจเจริญ * ชัยวัฒน์ ศรีวิภาสถิตย์
dlvr.it
prachatai.com
'เวียดนาม' แก้ไม่ตก คนหันกลับไปใช้มอเตอร์ไซค์ หลังรถไฟฟ้าโฮจิมินคนทะลัก
'เวียดนาม' แก้ไม่ตก คนหันกลับไปใช้มอเตอร์ไซค์ หลังรถไฟฟ้าโฮจิมินคนทะลัก Pazzle Fri, 2025-10-10 - 10:23 โฮจิมินซิตีของเวียดนามกำลังเผชิญปัญหาผู้คนโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินเพิ่มขึ้นจำนวนมากจนทำให้ที่จอดรถตามสถานีต่างๆ แน่น ที่จอดรถเต็ม ทำให้เกิดความไม่สะดวก เมื่อบวกกับปัญหาผู้คนแออัดในรถไฟฟ้าแล้ว ทำให้หลายคนหันกลับไปใช้มอเตอร์ไซค์ในการเดินทาง บริษัทให้บริการรถไฟในโฮจิมินเผยว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รถไฟในเมืองโฮจิมินซิตีสายที่ 1 ได้ให้บริการผู้โดยสารไปแล้วกว่า 13.7 ล้านราย และมีความต้องการลานจอดรถจำนวนมหาศาล   9 ต.ค. 2568 ปฏิเสธไม่ได้ว่าขนส่งสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน จึงควรจะทำให้ผู้คนเข้าถึงได้ทุกคนและมีโครงสร้างที่รองรับกับวิถีชีวิตผู้คน เมื่อโครงสร้างพื้นฐานและระบบยังขาดความทั่วถึง จึงทำให้เกิดปัญหาการใช้งานขนส่งสาธารณะในแบบที่เกิดขึ้นกับเมืองโฮจิมินซิตีของเวียดนาม มีรายงานข่าวจากสื่อเวียดนามและประสบการณ์ส่วนตัวจากผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดินในโฮจิมินซิตี สะท้อนถึงปัญหาเรื่องความแออัดและที่จอดรถที่สถานีไม่เพียงพอ เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินสายที่ 1 ของโฮจิมินซิตีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยผู้ใช้บริการมักจะขับขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดที่สถานีแล้วใช้บริการรถไฟฟ้าต่อ แต่จำนวนผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ก็มีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประสบปัญหาที่จอดรถเต็ม ทางการเวียดนามระบุว่า กำลังพยายามหาทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวสำหรับเรื่องนี้ แล้วขอให้ประชาชนใช้รถเมล์เพื่อเดินทางมาที่สถานีรถไฟฟ้าแทนรถมอเตอร์ไซค์ แต่การใช้รถเมล์เองก็มีปัญหาในตัวเองที่อาจจะทำให้เกิดความล่าช้า หรือไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกคน มีผู้ใช้รถไฟฟ้ารายหนึ่งชื่อ Minh Phuong เขียนถึงประสบการณ์การใช้รถไฟฟ้าโฮจิมินซิตีสาย 1 เส้น Ben Thanh - Suoi Tien เขามักจะจอดรถที่สถานีมหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนามแล้วก็ขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางไปใจกลางเมือง แต่ทำแบบนี้ได้แค่ไม่กี่สัปดาห์เขาก็เปลี่ยนกลับไปใช้รถมอเตอร์ไซค์เหมือนเดิม Minh Phuong เผยว่า รถไฟฟ้าแออัดมากในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้า รถไฟฟ้ามาถึงสถานีก็มีคนอยู่เต็มขบวนแล้ว และสถานีแรกสุดคือสถานีรถโดยสาร Suoi Tien ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ถือสัมภาระมาด้วย เขาขึ้นรถไฟฟ้าโดยไม่ได้นั่งเลยตลอดทั้งสาย มีผู้คนแออัดยัดเยียดเต็มขบวนรถในช่วงเย็นก็ไม่ต่างกัน   ที่จอดรถเต็ม ที่จอดเอกชนก็แพง สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 1 ของโฮจิมินซิตีแทบจะทุกสถานีประสบปัญหาที่จอดรถเต็มตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ ไม่ว่าจะเป็นสถานีมหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม, สถานี Thu Duc และสถานีไฮเทคปาร์ค โดยที่ประชาชนในพื้นที่รวมถึงนักศึกษามักจะใช้รถมอเตอร์ไซค์ขี่เข้าไปจอดที่สถานีแล้วโดยสารรถไฟฟ้าต่อไปยังใจกลางเมือง เพื่อไปเรียนหรือไปทำงาน และเวลา 9 โมงเช้าก็จะมีป้ายเขียนว่า "ที่จอดรถเต็มแล้ว" ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์จึงพยายามหาที่อื่นๆ ในการจอดรถทิ้งไว้ ทางเลือกหนึ่งคือการไปจอดรถไว้ในบริการให้เช่าที่จอดรถของเอกชนที่ผุดขึ้นรอบๆ สถานีรถไฟฟ้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม แต่ก็มักจะชาร์จราคามากเกินสองเท่าเทียบกับที่จอดรถของทางการ นอกจากนี้ที่จอดเอกชนบางที่ก็มีคนจอดเต็มเช่นเดียวกับที่จอดรถของเมือง เรื่องนี้ทำให้ผู้ขับขี่รถต้องชั่งน้ำหนักว่าจะจอดรถในที่เอกชนดีหรือไม่ เพราะที่จอดรถเอกชนในพื้นที่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเวียดนามก็ไม่ได้ปลอดภัยมากนัก มีผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์รายหนึ่งบอกว่า นอกจากเรื่องค่าเช่าที่จอดรถแพงแล้วยังมีเรื่องเสี่ยงไฟไหม้ด้วย ทำให้เธอไม่อยากเสี่ยงจอดรถไว้ในที่เอกชนเพราะกลัวถ้ารถเสียหายจะไม่ได้ค่าชดเชย ทำให้วันไหนที่ไม่มีที่จอดรถ เธอก็จะขี่ตรงไปยังที่ทำงานเลย สะท้อนปัญหาว่าที่จอดรถก็มีความสำคัญในการผลักดันให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะ ลดจำนวนการใช้ยานพาหนะส่วนตัวไปทำงานที่ใจกลางเมือง เพราะการจะทำให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะได้นั้นต้องมีการเสริมแรงทางบวกที่เอื้อต่อการปรับพฤติกรรมด้วย เช่นการทำให้ขนส่งสาธารณะเข้าถึงได้ง่าย, สะดวกสบาย และคุ้มราคา ชาวเวียดนามผู้ใช้รถไฟฟ้ามองว่านอกจากควรจะเพิ่มปริมาณที่จอดรถแถวสถานีแล้ว รัฐบาลควรจะกำกับดูแลทำให้ที่จอดรถมีความปลอดภัย และมีค่าธรรมเนียมที่เป็นธรรมด้วย เพื่อทำให้ผู้คนอยากจอดรถในที่เหล่านั้นโดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลาหาที่จอดรถหรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทางบริษัทการรถไฟในเมืองโฮจิมินซิตีสายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถไฟสายดังกล่าวนี้เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รถไฟในเมืองโฮจิมินซิตีสายที่ 1 ได้ให้บริการแก่ผู้โดยสารแล้ว 13.7 ล้านราย มีความต้องการใช้ลานจอดรถเป็นจำนวนมหาศาล ส่วนรถที่มาจอดก็มักจะจอดอยู่ทั้งวัน ส่งผลให้ความต้องการจอดรถมีมากกว่าจำนวนรถที่รองรับได้ ซึ่งทางบริษัทเล็งเห็นปัญหานี้และได้ปรึกษาหารือกับบริษัทเยาวชนอาสาเพื่อบริการสวัสดิการสาธารณะ ในเรื่องข้อเสนอที่จะขยายเพิ่มเติมที่จอดรถภายในเร็วๆ นี้   ผลักดันให้ใช้รถเมล์ร่วมด้วย Nguyen Van Vinh เป็นผู้ใช้รถไฟฟ้าบ่อยมาก ก่อนหน้านี้เขามักจะพยายามหาที่จอดรถก่อนที่จะขึ้นรถไฟฟ้าต่อ แต่เมื่อพบว่าที่จอดรถมักจะเต็มเขาหันมาเดินออกจากบ้านเป็นเวลา 10 นาที เพื่อไปรอรถประจำทางสาย 153 แล้วลงที่สถานีได้ ซึ่งสะดวกกว่า Vinh บอกว่า หน่วยงานในท้องที่ควรจะเพิ่มจุดจอดรถไปพร้อมๆ กับการส่งเสริมให้คนหันมาขึ้นรถเมล์ไปยังสถานีรถไฟฟ้า และเพื่อที่จะส่งเสริมให้คนนั่งรถเมล์มากขึ้น ควรมีการวางผังการเดินรถใหม่ที่ครอบคลุม ทำให้คนเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น รวมถึงมีโครงการจูงใจให้นักศึกษาหันมาใช้รถไฟฟ้า ปัจจุบันการใช้รถเมล์เพื่อเดินทางไปรถไฟฟ้าในโฮจิมินยังคงมีอุปสรรคอยู่ เพราะผู้คนมักจะต้องรอรถเมล์เป็นเวลานาน บางครั้งก็นานถึง 20-25 นาที รวมถึงการเสี่ยงเจอรถติดกลางทาง เทียบกับการใช้รถมอเตอร์ไซค์ไปสถานีแล้วใช้เวลาน้อยกว่าแค่ประมาณ 5-7 นาที การที่จะแก้ปัญหานี้จึงควรต้องเพิ่มการเชื่อมต่อรถเมล์กับรถไฟฟ้ามากขึ้นด้วย Le Hoan รองอธิบดีศูนย์การจัดการขนส่งสาธารณะโฮจิมินซิตี สังกัดกรมการโยธาเวียดนาม แถลงเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ว่าทางศูนย์กำลังประสานความร่วมมือเพื่อให้มีการพิจารณาเพิ่มการเชื่อมต่อรถบัสกับสถานีรถไฟฟ้าเพื่อให้เกิดความสะดวกมากขึ้น   เรียบเรียงจาก Ho Chi Minh City metro station parking lots frequently overflowing, Tuoi Tre News, 01-10-2025 https://news.tuoitre.vn/ho-chi-minh-city-metro-station-parking-lots-frequently-overflowing-103251001142445944.htm Overcrowded HCMC metro forces me back to motorbike, VN Express, 15-06-2025 https://e.vnexpress.net/news/perspectives/readers-views/overcrowded-hcmc-metro-forces-me-back-to-motorbike-4898776.html * ข่าว * คุณภาพชีวิต * ต่างประเทศ * คมนาคม * ขนส่งสาธารณะ * ขนส่งมวลชน * รถไฟฟ้า * โฮจิมินซิตี * เวียดนาม * ที่จอดรถ * ผังเมือง
dlvr.it
prachatai.com
กมธ.แรงงาน มีมติให้บริษัทที่เลิกจ้างแม่บ้านสภาฯ ไม่เป็นธรรม รับกลับเข้าทำงาน
กมธ.แรงงาน มีมติให้บริษัทที่เลิกจ้างแม่บ้านสภาฯ ไม่เป็นธรรม รับกลับเข้าทำงาน ภาพปก: กลุ่มแม่บ้านสภาฯ ที่ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมยื่นหนังสือต่อ กมธ.แรงงาน เมื่อ 1 ต.ค. 2568 (ถ่ายโดย ทีมสื่อเซีย จำปาทอง) XmasUser Thu, 2025-10-09 - 20:37 จากกรณีเมื่อ 1 ต.ค. 68 กลุ่มแม่บ้านสภาฯ ได้ยื่นหนังสือถึง กมธ.แรงงาน ปมถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ล่าสุดที่ประชุม กมธ.ได้ข้อสรุป บริษัทจะรับแม่บ้านกลับเข้าทำงาน พร้อมคืนเงินค่าเครื่องแบบที่เก็บจากแม่บ้าน 271 คนภายในเดือน ต.ค. และจะทบทวนสัญญาจ้างระยะสั้นที่เดิมกำหนดไว้เพียง 2 เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน   9 ต.ค. 2568 ทีมสื่อ สส.เซีย จำปาทอง รายงานวันนี้ (9 ต.ค. 68) ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ สัดส่วนเครือข่ายผู้ใช้แรงงาน พรรคประชาชน เข้าร่วมประชุม เพื่อหาทางออกในกรณีแม่บ้านรัฐสภาถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดยูนิฟอร์มทำงานด้วยตนเองจำนวนกว่าหลายพันบาท สืบเนื่องจากกรณีที่กลุ่มแม่บ้าน ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2568 และประธาน กมธ.แรงงาน ได้มอบหมายให้ เซีย จำปาทอง ในฐานะรองประธานกรรมาธิการการแรงงาน คนที่ 3 รับหนังสือแทน และเขาจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมกรรมาธิการการแรงงาน และเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวมาชี้แจงข้อขอมูล วันนี้ที่ประชุมกรรมาธิการการแรงงานได้ประชุมพิจารณา เรื่อง "ปัญหาการจ้างงานของลูกจ้างบริษัททำความสะอาดอาคารรัฐสภา" โดยได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ได้แก่ เลขาธิการสภาฯ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรรมการผู้จัดการบริษัท มัดชา เซอร์วิส จำกัด และนิชุดา แก้วมาตย์ (ผู้เสนอเรื่อง) โดยที่ประชุมได้รับฟังความคิดเห็นจากผู้เสนอเรื่องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกับอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ก่อนมีข้อสรุปว่าบริษัทจะรับแม่บ้านที่เดือดร้อนกลับเข้าทำงาน พร้อมคืนเงินค่าเครื่องแบบยูนิฟอร์มที่ลูกจ้างต้องจ่ายเงิน คืนให้กับแม่บ้านต้องจ่ายเงินซื้อไปก่อน จำนวน 271 คน ภายในสิ้นเดือนนี้ (ต.ค.) รวมถึงทบทวนสัญญาจ้างระยะสั้นที่ปัจจุบันกำหนดไว้เพียง 2 เดือนให้มีความเป็นธรรมและสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองแรงงานมากขึ้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหาและสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับผู้ใช้แรงงานแม่บ้านรัฐสภาในระยะยาวต่อไป * ข่าว * แรงงาน * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * แม่บ้าน * สภาผู้แทนราษฎร * เซีย จำปาทอง * สิทธิแรงงาน * พนักงานทำความสะอาด
dlvr.it
prachatai.com
'โรม' กังวลเกณฑ์คนสแกนม่านตาแลกเงิน อาจถูกใช้เปิด บช.ม้า-โยงสแกมเมอร์
'โรม' กังวลเกณฑ์คนสแกนม่านตาแลกเงิน อาจถูกใช้เปิด บช.ม้า-โยงสแกมเมอร์ ภาพปก: รังสิมันต์ โรม  XmasUser Thu, 2025-10-09 - 17:16 ผลประชุม กมธ.ความมั่นคง แนะนำ ก.ล.ต. คุยกับสิงคโปร์ ลุยปราบสแกมเมอร์และธนาคารเอี่ยวฟอกเงิน กังวลประชาชนถูกเกณฑ์สแกนม่านตาแลกเงิน เอาข้อมูลชีวมิติไปขาย อาจถูกเอาไปใช้สร้างตัวตนออนไลน์ เปิดบัญชีม้า โยงแก๊งสแกมเมอร์   9 ต.ค. 2568 ผู้สื่อข่าว The Reporters รายงานวันนี้ (9 ต.ค.) ที่รัฐสภา เวลา 12.27 น. ธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระบุว่าเขามาแทน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อชี้แจงคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร เรื่องความสัมพันธ์กับ ‘เบน สมิธ’ และขบวนการฟอกเงิน ธนดล กล่าวต่อว่า วันนี้ธรรมนัส ติดภารกิจลงพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงมอบหมายให้เขามาชี้แจงแทน ตั้งแต่ข้อมูลที่มาที่ไปของเบน สมิธ และที่มีหมายจับจากตำรวจสากล (Interpol) แต่วันนี้ไม่ได้เข้าชี้แจงใน กมธ.  รังสิมันต์ กล่าวว่า เขาอยากให้ตัวของธรรมนัส มาชี้แจงด้วยตัวเองโดยผ่านการออกหนังสือเชิญ และยืนยันว่าส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาอะไรกับธนดล และอยากให้ธนดล ถ้ามีโอกาสได้คุยกับธรรมนัส อยากให้ชี้แจงว่า กมธ.เชิญมา ไม่ได้เชิญมาฆ่ารัฐมนตรี แต่อยากให้มาทำงานด้วยกัน “รอบนี้หนังสือที่เราเชิญท่านร้อยเอกธรรมนัส และก็เชิญท่านนฤมล ท่านไชยชนก พลตำรวจเอกธัชชัย เราเชิญในลักษณะที่ให้มาด้วยตัวเอง การมอบให้ท่านอื่นมา ทางเราไม่สามารถตอบรับได้ และจริงๆ ผมทราบเป็นหนังสือว่าได้มอบให้ทีมทนายความมา ผมก็ได้สั่งการให้ทางฝ่ายเลขาฯ ประสานภายในว่าต้องให้ร้อยเอกธรรมนัส มาด้วยตัวเองเท่านั้น เลยเป็นเหตุผลว่าไม่สามารถให้ผู้แทนของธรรมนัสเข้าประชุมได้” รังสิมันต์ โรม กล่าว โรม กล่าวต่อว่า การใช้อำนาจเรียกจะทำต่อเมื่อไม่ได้รับความร่วมมือ และธรรมนัส ยืนยันมาตลอดว่าจะให้ความร่วมมือ เลยมองว่าไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจเรียก ซึ่งต้องขอมติจาก กมธ.ความมั่นคงฯ และถ้าไม่มาในวันนี้ อาจจะมีเหตุผลว่าติดภารกิจ อ้างแบบนี้ใครก็อ้างได้ แต่ว่าจะมาเมื่อไรก็ขอให้แจ้ง เพื่อให้ กมธ.จะได้จัดการและอำนวยความสะดวกให้ร้อยเอกธรรมนัส แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับคำตอบอะไรจากธรรมนัส  โรม กล่าวต่อว่าจะมีการเชิญรอบที่ 2 แน่นอน แต่เบื้องต้นวันที่ 30 ต.ค.นี้ จะมีการเชิญวรภัค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามาชี้แจง และจะมีหน่วยงานอื่นๆ ด้วย โรม กล่าวว่า ผลการประชุมหน่วยงานหลายๆ หน่วยงานต้องติดตามข้อมูลต่อไป เพราะว่าถ้าเราไล่เส้นเรื่องทั้งหมดมันมีคีย์แมนหลายๆ คีย์แมน ย้ำกับสื่อมวลชนว่าไม่มีแค่ ‘เบน สมิธ’ แต่มีหลายบริษัท เบื้องต้น ให้คำแนะนำกับ ก.ล.ต. ว่าบุคคลเป้าหมายมีใครบ้าง และต้องทำงานร่วมกับใคร และขอให้ ก.ล.ต.คุยกับตำรวจไซเบอร์ และ ปปง. ที่จะต้องเสาะหาข้อมูล โรม กล่าวต่อว่า เขาได้รับทราบข่าวว่ามีการซื้อขายข้อมูลชีวภาพ และสแกนม่านตา โดยที่จ่ายเงินเป็นคริปโตฯ โดยมูลค่าอยู่ที่ 2,000 บาท เหมือนเป็นการให้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลชีวมิติ ซึ่งข้อมูลชีวมิติที่เป็นสแกนม่านตา น่ากังวลว่าสามารถเอาไปสร้างตัวตนปลอมบนโลกออนไลน์ และมันอาจจะเป็นแหล่งที่มาสำคัญของการสร้างบัญชีม้า และเป็นแก๊งสแกมเมอร์ได้ ถ้าคนที่ไม่หวังดีได้ข้อมูลนี้และเอามาใช้ลักษณะแบบนั้นก็เป็นเรื่องน่ากังวล สส.พรรคประชาชน กล่าวต่อว่า ตอนนี้มีคนที่สแกนม่านตามาแล้ว 1,000,000 คน มีทั้งคนไทย และแรงงานข้ามชาติ โดยกลุ่มคนที่สแกนจะมีสถานะทางการเงินไม่ค่อยดี และพอเรามาดูบริษัท เราพบว่าเราเริ่มเจอบริษัทที่อาจจะถูกเชื่อมโยงในเรื่องนี้ โดยมี ‘ยิน เลี๊ยก’ ซึ่งเป็นหนึ่งในคีย์แมนของบริษัท ‘BIC’ เป็น 1 ในพาร์ทเนอร์ของเบน สมิธ เราเริ่มได้ข้อมูลตรงนี้และต้องชื่นชมหน่วยงาน ส.ค.ส. (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) ที่เอาข้อมูลตรงนี้มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการอย่างเป็นประโยชน์มากๆ ซึ่งต้องมีการสืบและตรวจสอบต่อ “สมมติว่า 1 ล้านคน ถ้าเกิดมันมีการให้คริปโตฯ ไปเรื่อยๆ มูลค่าตอนนี้รวมกัน 2 พันล้านแล้วเป็นอย่างน้อย แสดงว่ามันต้องมีการเสาะแสวงหาข้อมูลต่อไป ต้องติดตามต่อ” โรม กล่าว โรม กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องระดับชาติ แต่เป็นเรื่องระดับโลก และมีบริษัทข้ามชาติหลายๆ บริษัทเข้ามาเกี่ยวข้อง และบริษัทเหล่านี้มีลักษณะของการกระบวนการบางอย่างทำให้การแสวงหาผู้ที่รับประโยชน์จริงๆ จากการฟอกเงิน หรือเส้นทางการเงินต่างๆ ทำได้ยากมากๆ เลยพยายามพูดคุยและยกระดับกันอยู่ โดยทาง กมธ. ได้แนะนำให้กับ ก.ล.ต. คุยกับหน่วยงาน ‘Monetary Authority of Singapore’ (MAS) ของสิงคโปร์ เขาจะทำ 2 ฟังก์ชัน ที่เป็นเหมือน ก.ล.ต. และก็ ธ.ป.ท. เพื่อแสวงหาความร่วมมือและปราบปรามธนาคารต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทุนสีเทา โรม ยืนยันว่าตอนนี้เป็นห่วงเรื่องข้อมูลชีวมิติ เพราะมีข้อมูลบ่งชี้หลายอย่างที่น่าเป็นกังวล เพราะมันมีลักษณะของการทำที่ มันมีการไปเกณฑ์คนโดยเป็นการไปเกณฑ์มาทั้งหมู่บ้าน และเอาคนเหล่านี้ไปสแกนม่านตา และให้เงิน 500 บาท และถ้าแบบนี้ทำกันไปเรื่อยๆ เราไม่รู้เลยว่าการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเป็นอย่างไร และมันอันตรายมาก “ถ้ามีการเอาข้อมูลสแกนม่านตาไปใช้ มันจะยิ่งยากขึ้นไปอีก และกังวลว่าความพร้อมของเจ้าหน้าที่รัฐไทยของเราอาจจะยังไม่มีความพร้อมกับความกังวลแบบนี้” โรม กล่าว และแย้มว่า พื้นที่ที่ได้ยินว่ามีการเกณฑ์คนไปสแกนม่านตาเป็นพื้นที่ในภาคอีสาน * ข่าว * การเมือง * คุณภาพชีวิต * ต่างประเทศ * แก๊งสแกมเมอร์ * ฟอกเงิน * กัมพูชา * ไทย * เบน สมิธ * ธรรมนัส พรหมเผ่า * รังสิมันต์ โรม * พรรคประชาชน * กมธ.ความมั่นคง
dlvr.it
prachatai.com
''ณัฐพงษ์' ถาม 'สีหศักดิ์' ตอบ' เห็นด้วยหรือไม่ยกเลิก MOU43-44
''ณัฐพงษ์' ถาม 'สีหศักดิ์' ตอบ' เห็นด้วยหรือไม่ยกเลิก MOU43-44 ภาพปก: สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว (ซ้าย) และ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ขวา) XmasUser Thu, 2025-10-09 - 15:02 'ณัฐพงษ์' หัวหน้พรรคประชาชน ถามกระทู้ รมว.ต่างประเทศ กรณีประชามติ MOU 43-44 เต็มไปด้วยข้อมูลอ่อนไหวต่อความมั่นคงของชาติ รัฐบาลมั่นใจแค่ไหนที่จะเปิดเผยข้อมูล ให้ประชาชนมีข้อมูลตัดสินใจอย่างละเอียด ด้าน ‘สีหศักดิ์’ ยังคลุมเครือ มองยกเลิก MOU43-44 อย่างไร แต่เผยเพียงว่าต้องมีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ คาดสัปดาห์หน้า ‘บวรศักดิ์’ มีประชุมหารือเพิ่มเติม เรื่องแนวทางทำประชามติ   9 ต.ค. 2568 ทีมสื่อพรรคประชาชน รายงานวันนี้ (9 ต.ค.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ถามกระทู้สดด้วยวาจาต่อ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงแนวคิดของรัฐบาลในการจัดทำประชามติยกเลิก MOU 43-44 ระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมกับการเลือกตั้ง และการทำประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในอีก 4 เดือนข้างหน้า ณัฐพงษ์ ระบุว่า จากการแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี พูดอย่างชัดเจนในสภาผู้แทนราษฎรว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีบัตรทั้งหมด 4 ใบ คือบัตรเลือก สส.เขต, เลือก สส.บัญชีรายชื่อ, การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการสอบถามประชาชนเรื่องการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจของนิด้าโพลที่ผ่านมา พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจราว 69% ยังมีความไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่เข้าใจเลยในเนื้อหาหาและรายละเอียดของ MOU 43-44 ขณะเดียวกัน ราว 60% ก็ตอบแบบสำรวจว่ายังอยากจะให้มีการจัดทำประชามติสอบถามความคิดเห็นประชาชนในเรื่องนี้อยู่ว่าจะยกเลิกหรือไม่อย่างไร แม้การจัดทำประชามติจะเป็นกลไกที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตย ที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้อำนาจทางตรงในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของประเทศ แต่การจัดทำประชามติจะสะท้อนเจตจำนงของประชาชนได้ สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือกระบวนการที่จะต้องมีการรณรงค์อย่างเปิดกว้าง ให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน ให้ประชาชนเข้าใจอย่างถี่ถ้วนก่อนการออกเสียงในคูหา ทำให้ประชาชนเห็นข้อมูลอย่างชัดเจนว่าหากยกเลิก MOU แต่ละฉบับจะส่งผลอย่างไรต่อการจัดการข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา และไทยจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างไรจากการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ ณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ในมุมมองของพวกเขาแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรณรงค์เรื่องนี้ให้ประชาชนรับทราบข้อมูล ทั้งข้อได้เปรียบ และข้อเสียเปรียบ โดยไม่ทำให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ได้ MOU ทั้ง 2 ฉบับมีสาระสำคัญในเรื่องการปักปันเขตแดนทางบก และการบริหารผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ข้อมูลจำนวนมากบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยจะได้เปรียบและเสียเปรียบในประเด็นใดบ้าง ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรยังต้องประชุมลับกันในช่วงที่ผ่านมาเพื่อไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ ตาม พ.ร.บ.ประชามติ มีบทบัญญัติไว้ว่าการออกเสียงประชามติต้องไม่เป็นการชี้นำ รัฐบาลและ กกต.จะต้องให้รายละเอียดอย่างรอบด้าน ซึ่งหมายถึงข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของไทยที่มีต่อกัมพูชา รัฐบาลและ กกต.จะต้องจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านสถานีวิทยุและโทรทัศน์ และเวทีสาธารณะอย่างทั่วถึง ภายใต้รายละเอียดจำนวนมากที่ประชาชนจำเป็นจะต้องใช้ในการประกอบการตัดสินใจ คำถามคือรัฐบาลมีแผนในการดำเนินการจัดทำประชามติอย่างไรเพื่อไม่ให้การออกเสียงประชามติยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับนี้ขัดต่อ พ.ร.บ.ประชามติ ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนเช่นนี้ ณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า พ.ร.บ.ประชามติ ยังมีบทบัญญัติเพิ่มเติมว่า รัฐบาลและ กกต.จะต้องให้ข้อมูลในส่วนของมาตรการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหากมีการดำเนินการตามผลประชามติ ก็คือถ้าจะต้องมีการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับจริง รัฐบาลจะต้องให้ข้อมูลแก่ประชาชนก่อนวันออกเสียงประชามติ ว่าหากมีการยกเลิกจริงจะมีมาตรการในการป้องกันเยียวยาความเสียหายอย่างไร เช่นในเรื่องของการปักปันเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา วันนี้รัฐบาลมีมาตรการหรือกลไกอื่นใดที่ดีกว่า MOU 43 ในการปักปันเขตแดงทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาหรือไม่ ส่วนกรณี MOU 44 รัฐบาลมีวิธีการหรือมาตรการอย่างไรในการป้องกันไม่ให้เอกชนที่ได้ลงนามสัญญาสัมปทานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ให้เอาเรื่องไปฟ้องอนุญาโตตุลาการเรียกค่าเสียหายกับรัฐบาลไทย ณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ในทางปฏิบัติการรณรงค์ในเรื่องนี้ผ่านเวทีสาธารณะและให้ข้อมูลรอบด้านจริงโดยไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ในรายละเอียดนั้นยากมาก และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เขาจึงอยากถามว่าหากรัฐบาลยังจะดึงดันเดินหน้าจัดทำประชามติโดยกระบวนการแบบนี้ที่อาจสุ่มเสี่ยงขัดต่อกฎหมายต่อหรือไม่ และหากจะมีผู้ร้องไปร้องว่ากระบวนการจะทำประชามติแบบนี้ให้ข้อมูลไม่รอบด้าน ไม่ได้ให้คำชี้แจงในเรื่องมาตรการป้องกันเยียวยาความเสียหายตามกฏหมาย และทำให้การจัดทำประชามติเป็นโมฆะหรือสิ้นผลไป รัฐบาลจะยังเดินหน้าต่อจริงหรือ หรือกลไกอื่น เช่น การใช้กลไกในสภา กรรมาธิการวิสามัญ จะเป็นทางออกที่ดีกว่าการออกเสียงประชามติหรือไม่ รัฐบาลได้พิจารณาการใช้กลไกแบบนี้ในการศึกษาอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะส่งผลสรุปการศึกษาให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจในการตัดสินใจหรือไม่ ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบคำถามโดยระบุว่า เรื่องของ MOU มีความสำคัญในแง่อธิปไตยและเขตแดน ประชาชนควรที่จะได้มีส่วนในการแสดงความเห็น นี่คือที่มาของแนวคิดการทำประชามติ แต่วิธีการจะทำอย่างไรนั้นก็ต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ จึงต้องฟังเสียงของสังคม ในสภาก็มีกระบวนการตั้งกรรมาธิการเพื่อให้รอบคอบ จึงเป็นสิ่งที่ดีที่ขณะนี้มีการอภิปรายในเรื่องนี้ยังจริงจัง การให้ข้อมูลข่าวสารที่จะนำมาเปิดเผยสู่สาธารณชน รวมถึงการเยียวยาโดยเฉพาะภาคเอกชน เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เป็นรายละเอียดที่ต้องพิจารณากันให้ดี โดยในสัปดาห์หน้า บวรศักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี จะมีการประชุมเพื่อศึกษาว่าขั้นตอน รูปแบบ และวิธีการดำเนินการประชามติจะทำอย่างไร เมื่อมีความชัดเจนหลักการประชุมกันแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร ตนจะมานำเรียนชี้แจงที่รัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง 'สีหศักดิ์' คลุมเครือ เห็นด้วยยกเลิก MOU ดีหรือไม่ ทางด้านณัฐพงษ์ ได้ถามกระทู้ต่อ โดยระบุว่าในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเคยเป็นข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศมาโดยตลอด เขาอยากทราบความเห็นในฐานะที่เป็นนักการทูตและเป็นตัวแทนของรัฐบาลว่า เขาเห็นด้วยว่ารัฐบาลควรจะต้องยกเลิก MOU 43 และ 44 หรือไม่ สีหศักดิ์ ระบุว่า MOU เป็นผลประโยชน์ที่สำคัญมากของประเทศ เขตแดน และอธิปไตย เพราะฉะนั้น การเข้าสู่กระบวนการประชามติจะพิจารณายกเลิกหรือไม่ เขาคิดว่าต้องทำด้วยความรอบคอบ ต้องมีความชัดเจนว่าถ้าไม่มี MOU แล้วจะมีอะไรเป็นทางเลือกบ้าง เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศได้รับผลกระทบ ไม่ใช่อยู่ดีๆ อยากมีประชามติแล้วไปสู่การทำประชามติ โดยไม่มีการเตรียมการ และไม่มีแผนรองรับ กระทรวงการต่างประเทศเห็นความสำคัญของการมีแผนรองรับว่า ถ้าไม่มี MOU แล้วอะไรคือทางเลือกของไทยที่จะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของไทยไว้ได้ ส่วนเรื่องการเยียวยามีรายละเอียดมากมาย แต่อะไรที่เป็นสิทธิอันชอบธรรมและถูกกระทบจากการยกเลิก MOU ก็ต้องมีการให้การเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบแน่นอน จากนั้น ณัฐพงษ์ ถามกระทู้ต่อในรอบสุดท้ายว่า การที่รัฐมนตรีตอบคำถามเขาไม่ได้เช่นนี้ เชื่อว่าเป็นเพราะรัฐมนตรีมีข้อจำกัด สิ่งที่ทุกคนต้องการคือผลประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยแน่นอน แต่สิ่งที่เราไม่ต้องการคือการใช้ประเด็นนี้มาเรียกกระแส และอาจทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดจนไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีก หากกัมพูชาล่วงรู้ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของไทยทั้งหมด แล้วสุดท้ายกัมพูชาเอาเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกได้ รัฐมนตรีย่อมรู้ว่าอะไรคือทางออกที่ถูกต้อง เพียงแต่ในวันนี้ท่านอยู่ในคณะรัฐมนตรีจึงทำให้มีอุปสรรคบางอย่างที่ตอบไม่ได้ตรงๆ แต่สิ่งที่ตนคาดหวังคือในขณะที่ประชาชนคนไทยคาดหวังระบบการเมืองที่ดี ที่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้มาจากการเจรจาต่อรองโควตาตำแหน่งทางการเมืองเพียงอย่างเดียว ณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนอยากได้ยินรัฐมนตรีตอบคือคำยืนยันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งคำพูดย่อมมีน้ำหนักแน่นอนในการให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี ขอให้ยืนยืนยันออกมาได้หรือไม่ว่าท่านเห็นด้วยจริงหรือที่จะต้องมีการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ การทำประชามติเป็นกระบวนการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ หรือหากไม่เห็นด้วยหรือหากไม่สามารถตอบออกมาได้อย่างชัดเจน เขาขอคำยืนยันได้หรือไม่ว่ารัฐมนตรีจะเข้าไปนำเสนอข้อคิดเห็นเพื่อเบรกฝ่ายการเมือง ที่เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อใช้กระแสชาตินิยมหวังผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ สีหศักดิ์ ตอบคำถามว่า เขาขอยืนยันว่าเรื่องการต่างประเทศเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของชาติ ต้องไม่นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง และต้องมีการอภิปรายอย่างจริงจัง ไม่ว่าเขาจะตอบอะไรต้องตอบด้วยความมั่นใจ จึงอยากให้มีการพูดคุยในรายละเอียดโดยคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ให้ชัดเจนว่าจะเดินหน้ากันอย่างไร ความเห็นส่วนตัวของเขาจะนำไปเสนอแน่นอนในการพิจารณาของรัฐบาล และขอยืนยันว่าเขามองเรื่องของผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ขณะเดียวกัน เรื่องของกระบวนการประชาธิปไตยที่รัฐบาลต้องมีความรับผิดชอบต่อสภาฯ ก็สำคัญ หากมีประเด็นอะไรเขาพร้อมที่จะมาชี้แจงต่อไปในอนาคต * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * MOU 43 * MOU 44 * กัมพูชา * ไทย * ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ * สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว * กระทรวงการต่างประเทศ * ประชามติยกเลิก MOU43-44
dlvr.it
prachatai.com
'ธรรมนัส-ไชยชนก' ยังไม่มาแจง กมธ.ความมั่นคงฯ 'ปมคอลเซ็นเตอร์-สินบน 40 ล.'
'ธรรมนัส-ไชยชนก' ยังไม่มาแจง กมธ.ความมั่นคงฯ 'ปมคอลเซ็นเตอร์-สินบน 40 ล.' ภาพปก: รังสิมันต์ โรม  XmasUser Thu, 2025-10-09 - 12:54 'ธรรมนัส - นฤมล - ไชยชนก' ยังไร้เงา เข้าชี้แจง กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร ปมความสัมพันธ์ ‘เบน สมิธ’ ขบวนการฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และติดสินบน 40 ล. 'โรม' ยันพร้อมให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย เผยได้หลักฐานเอกสาร 48 หน้า เชื่อเป็นประโยชน์ในการติดตามอาณาจักรอาชญากรรมฟอกเงิน เตรียมเชิญ 'วรภัค' ชี้แจง กมธ. วันที่ 30 ต.ค.นี้   9 ต.ค. 2568 สำนักข่าว The Reporters ถ่ายทอดสดออนไลน์วันนี้ (9 ต.ค.) เมื่อเวลา 9.29 น. ที่รัฐสภา แยกเกียกกาย คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โดยมีรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้มีการเชิญหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม กองทัพเรือ รวมได้เชิญร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมาธิการควมมั่นคงฯ ประเด็นที่เกี่ยวกับ “เบน สมิธ” และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงประเด็นติดสินบน 40 ล้านบาทที่ไชยชนก ได้อภิปรายในสภาฯ รังสิมันต์ ให้สัมภาษณ์สื่อก่อนเข้าประชุม กมธ. ระบุว่า วันนี้จะมีการหารือและพิจารณาจำนวน 3 วาระ ประกอบด้วย วาระแรกจะเน้นไปที่หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการฟอกเงิน โดยได้มีบุคคลที่เชิญมาหลายคน เช่น พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจไซเบอร์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ธนาคารแห่งประเทศไทย กองทัพเรือที่เกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่บริเวณจังหวัดตราด และอีกหลายๆ หน่วยงาน ในวาระที่ 2 จะเป็นกรณีที่มีการเชิญ ธรรมนัส และนฤมล ที่เกี่ยวข้องกับ ‘เบน สมิธ’ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าธรรมนัสจะมาเองหรือไม่ แต่อยากยืนยันว่าทาง กมธ.ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สุดท้าย วาระที่ 3 ที่จะพิจารณาคือเราเชิญเฉพาะไชยชนก ชิดชอบ เรื่องเกี่ยวกับการพยายามติดสินบนรัฐมนตรีจำนวน 40 ล้านบาท โรม กล่าวต่อว่า เบื้องต้น เราได้รับหนังสือตอบกลับจากไชยชนก ได้มีการให้การกับทางตำรวจซึ่งเป็นประเด็นข่าว และจะไม่มาตอบคำถามของ กมธ. ซึ่งเราจะดำเนินการติดตามต่อในเรื่องนี้ ซึ่งเรายังให้โอกาสทั้งธรรมนัส และไชยชนก อย่างที่ยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีคนไหน เราให้โอกาส ถ้าไม่มาครั้งที่ 1 ไม่ว่าจะติดภารกิจอะไรก็แล้วแต่ ไม่มาครั้งที่ 2 ก็ต้องมีคำตอบที่ดีแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากนี้ตนเองจะพยายามนัดล่วงหน้าให้ไชยชนก และร้อยเอก ธรรมนัส กรณีที่ธรรมนัส ไม่มาในวันนี้ เพื่อให้ข้อมูลใน กมธ.ครบถ้วน เพราะถ้าหากเราไม่ฟังทุกฝ่าย ก็จะมีข้อกล่าวหาว่า กมธ. เลือกปฏิบัติ สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า เรื่อง ‘เสี่ยตือ’ ถ้าไปดูข้อมูลจริงๆ เราจะเห็นอะไรเยอะ และเขาเองอยากเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ว่าถ้าไปดูข้อมูลจริงๆ โดยใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อดูว่าเส้นทางการเงินเป็นอย่างไร คุณมีคำอธิบายอย่างไรในเรื่องที่มาของเงิน และเชื่อเขาเถอะว่าที่มาของเงินมันอธิบายไม่ได้โดยง่าย มากไปกว่านั้นในกรณีอื่นๆ ที่หลังๆ เราเจออาชญากรรมข้ามชาติมีความสลับซับซ้อน ถึงขั้นที่ว่าอาจจะทำให้ไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออยู่เลย เพื่อไม่ให้มีความเชื่อมโยงกับตัวเอง ซึ่งมันต้องอาศัยความร่วมมือจำนวนมาก แต่แนวทางที่ผ่านมาของรัฐบาลไม่ใช่แค่เฉพาะชุดนี้ แต่ก่อนหน้านี้ด้วย คือให้ความสำคัญกับบัญชีม้า และซิมม้า แต่เราต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถจัดการโครงข่ายข้ามชาติด้วยการแค่จับบัญชีม้าได้ ถ้าอยากทำลายโครงสร้างของอาชญากรรมข้ามชาติ เราต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเรื่องการฟอกเงิน “การฟอกเงินวันนี้มันมโหฬารจริงๆ เผลอๆ มันจะมากกว่าเงินงบประมาณแผ่นดินทั้งปีของเราด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเรากำลังต่อสู้กับเรื่องที่มันใหญ่มาก และเงินเหล่านี้ไหลเข้าสู่ประเทศไทยใช้เพื่อยึดอำนาจรัฐ บางส่วนถูกใช้เพื่อยึดบริษัทพลังงาน บางส่วนก็ถูกใช้เพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำให้กระบวนการยุติธรรมเดินไม่ได้ แล้ววันนี้ระดับรองนายกฯ ยังไม่นำพา ระดับรัฐมนตรี หรือ นายกฯ ยังเงียบ แม้กระทั่งคุณไชยชนก ออกมาแฉ ออกมาพูด ทุกคนฟังแล้วมีความหวังเอาจริงแน่ๆ เลยในเรื่อง 40 ล้าน แต่ไปๆ มาๆ มันเริ่มส่งสัญญาณแปลกๆ มันจะอยู่กันยังไง” “ผมอยากให้ทุกคนได้ตระหนักว่า วันนี้เรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์มันไม่ใช่อาชญากรรมธรรมดา และอาจจะไม่รู้ตัว ประเทศเรากำลังตกอยู่ภายใต้ทุนสีเทาเหล่านี้จริงๆ” โรม กล่าว สส.พรรคประชาชน กล่าวต่อว่า วันนี้เขาเชิญธรรมนัส มาด้วยตัวเองจริงๆ เพราะเราอยากจะฟังจากปากคำของธรรมนัสโดยตรง คือ กมธ.พร้อมให้เกียรติท่านและเราปฏิบัติด้วยดี เราไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร และเราให้ความสำคัญในเรื่องของข้อมูล เราพยายามทำความเข้าใจกับธรรมนัสในฐานะประจักษ์พยาน แต่ท่าทีของธรรมนัสทำให้เราเกิดความสงสัยว่าทำไมต้องช่วย ‘เบน สมิธ’ ขนาดนี้ สุดท้าย ถ้ามีหลักฐานพยานยืนยันความบริสุทธิ์ สามารถเอามาแสดง เพราะว่า กมธ.เป็นหนึ่งในกลไกของสภาฯ และเราพร้อมที่จะรับฟังข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ส่วนเรื่องที่อยากให้ธรรมนัส ชี้แจงเป็นเรื่องความเป็นมาและความสัมพันธ์กับเบน สมิธ เป็นหลัก และจะเชื่อมไปถึงว่าการฟอกเงินต่างๆ มีมากน้อยแค่ไหน ธรรมนัสทราบมากน้อยแค่ไหน ต่อประเด็นที่สื่อถาม เอกสารหลักฐาน 48 หน้ามันคืออะไร โรม กล่าวตอบว่า เอกสารดังกล่าวทำให้ข้อมูลอาณาจักรกรฟอกเงิน และมีตัวละครต่างๆ หลายตัวละครทั้งที่เรารู้จัก หรืออาจจะไม่รู้จัก และมีหลักฐานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งคิดว่าการได้ข้อมูลนี้มาเป็นประโยชน์ในการติดตามขบวนการฟอกเงิน “เรื่องการฟอกเงิน ของผมมันไม่ใช่แค่เรื่องตัวบุคคล มันไม่ใช่แค่เรื่องของคุณธรรมนัสกับผม ไม่ใช่แค่เรื่องของเบน สมิธ แต่เป็นอาณาจักรในการฟอกเงินที่ใหญ่มโหฬาร ในระดับที่อาจจะมีรัฐบางรัฐอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ นี่คือความใหญ่ของสถานการณ์ที่เรากำลังเจอ และผมคิดว่าถ้ารัฐบาลนี้เอาจริงเอาจริง ให้ความสำคัญในเรื่องการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วจริงๆ ท่านต้องทำให้เห็น ต้องทำให้มากกว่านี้” โรม กล่าว โรม กล่าวต่อว่า ตอนนี้ยังไม่อยากเปิดเผยตัวเลขผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่จะมีการเชิญ วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามาให้ข้อมูลกับ กมธ.ด้วย และด้านหนึ่งวรภัค มีสิทธิในการชี้แจง และให้ข้อมูล อาจจะเป็นวรภัค และคนอื่นๆ โรม กล่าวต่อว่า จริงๆ ตอนที่เอาเรื่องนี้มาแถลงนโยบาย เขาคาดหวังว่ารัฐบาลจะรับเรื่องนี้ไปดำเนินการอย่างจริงๆ จังๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องที่เราพยายามไปสอบหาเส้นเงินต่างๆ และคาดหวังว่าหน่วยงานรัฐจะให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ หลังจากนี้ โรม มีแผนจะนำเรื่องไปยื่น ปปง. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) เพื่อให้หน่วยงานรับลูกต่อ อยู่ในแผนที่เราจะทำอยู่แล้ว ต่อกรณีที่สื่อถามว่า ที่ทางธรรมนัส ชี้แจงว่า เบน สมิธ เป็นเพียงแค่คนรู้จักนั้น โรม ตอบว่า ถ้าทีมงานของธรรมนัส ไปตรวจสอบเรื่องนี้ดีๆ จะเจอชื่อบริษัทหนึ่ง ลองไปดูข้อมูลเรื่องนี้เราจะเห็นความเชื่อมโยงหลายๆ อย่าง และเป็นร่องรอยที่สำคัญ ข้อมูลที่หลายๆ อย่างมันยืนยัน และเชื่อมโยงในลักษณะแบบนี้ บางครั้งที่เราอย่าไปคิด อย่าไปดูแค่ว่าชื่อมันไม่เหมือนกันและเป็นคนละคน อย่าไปคิดว่าบริษัทที่มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต้มตุ๋นคน มันจะต้องมีตัวละครจริงๆ คนพวกนี้ไม่โง่ คนพวกนี้มีวิธีการในการทำให้พวกเราเชื่อและหลอกเงินจากพวกเราไป จริงๆ เราไปเจอข้อมูลไปเพิ่มเติมอีก แต่ขอยืนยันข้อมูลอีกนิดหนึ่ง เรื่อง “เทียนเทียนเวนเจอร์” และผมคิดว่าเรื่องนี้จะสะท้อนว่ากระบวนการทางกฎหมายมาก เรื่องเทียนเทียนเวนเจอร์ ทาง ก.ล.ต.เคยดำเนินคดีแจ้งความไปตั้งแต่ปี 2564 อยู่ในชั้นอัยการ และตอนนี้ปี 2568 แล้วไม่มีความคืบหน้า มันเกิดอะไรขึ้น ต่อประเด็นที่สื่อถามว่ามีหลักฐานเชื่อมโยง ‘เบน สมิธ’ หรือยัง โรม กล่าวเพียงว่าจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ส่วนการแจ้งดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจทำอย่างเต็มที่แน่นอน * ข่าว * การเมือง * คุณภาพชีวิต * รังสิมันต์ โรม * ธรรมนัส พรหมเผ่า * นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ * ไชยชนก ชิดชอบ * พรรคภูมิใจไทย * เบน สมิธ * ฟอกเงิน * แก๊งคอลเซ็นเตอร์
dlvr.it
prachatai.com
วิกฤตที่ไม่สิ้นสุด สภาวะการพังทลายลงทางโครงสร้างที่อยู่อาศัยในเงาเหมืองโปแตช
วิกฤตที่ไม่สิ้นสุด สภาวะการพังทลายลงทางโครงสร้างที่อยู่อาศัยในเงาเหมืองโปแตช กิตติธัช สิงห์เสนา 21 กันยายน 2568   sarayut Wed, 2025-10-08 - 21:18 เป็นเวลาเกือบ 10 ปีที่การประกอบกิจการเหมืองแร่โปแตช ของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ที่ตั้งอยู่ในตำบลหนองไทร อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ได้สร้างร่องรอยเปลี่ยนแปลงที่ลึกเกินกว่าพื้นดินและผืนน้ำจะฟื้นตัวได้ง่าย ผลกระทบได้ทำลายระบบนิเวศชุมชนทำให้เกิดดินเค็ม น้ำเค็ม จนผืนแผ่นดินไร้ความสามารถในการเพาะปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ และสั่นคลอนโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้คนในชุมชน หลายครอบครัวต้องขายที่ดินทำกินเพราะหนี้สินถาโถม ต้องละทิ้งอาชีพเกษตรกรรมซึ่งเคยเป็นรากฐานของชีวิต แล้วหันไปพึ่งงานรับจ้างที่รายได้ไม่แน่นอนและไร้หลักประกัน เหลือเพียงบ้านที่อยู่อาศัยซึ่งกลายเป็นที่พึ่งพิงสุดท้าย ในทางนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม (environmental and ecology) เราไม่อาจแยกมนุษย์ออกจากระบบนิเวศที่เขาอาศัยอยู่ได้ สิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงฉากหลังของการดำรงชีวิต หากแต่เป็นโครงสร้างที่กำหนดวิถีชีวิตวิถีการผลิต และแม้แต่โลกทัศน์ของผู้คนในชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ชุมชนตำบลหนองไทรจึงแปรเปลี่ยนผันไปอย่างรุนแรง ภายใต้แรงกดดันของอำนาจรัฐและทุน แม้เหลือเพียงบ้านเรือน แต่ความไม่แน่นอนทางกายภาพก็ยังคงดำเนินอยู่ เพราะสภาพแวดล้อมโดยรอบชุมชนยังเต็มไปด้วยการปนเปื้อนของเกลือ ทั้งในน้ำ ดินและอากาศ แหล่งน้ำสาธารณะของชุมชนหลายแห่งมีความเค็มมากกว่าระดับน้ำทะเลถึงสี่เท่า โดยสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้ลงพื้นที่ตรวจน้ำในชุมชนและพบว่าน้ำในพื้นที่ มีความเค็มสูงถึง 115 กรัมต่อลิตร หรือประมาณ 4 เท่าของน้ำทะเล ทำให้ไม่สามารถใช้ทำเกษตรได้ โดยเฉพาะค่าโปแตสเซียมคลอไรด์ที่ควรไม่เกิน 100 PPM แต่กลับพบสูงสุดถึง 1,000 PPM ซึ่งสภาพดังกล่าวทำให้น้ำมีประสิทธิภาพการกัดกร่อนสูงผิดปกติ ต้นตอสำคัญของปัญหานี้ คือ การปล่อยน้ำเค็มจากเหมืองแร่ทิ้งลงสู่คลองลำมะหลอด หนองมะค่านอก หนองมะค่าใน หนองน้ำในวัดหนองไทร ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสาธารณะของชุมชน ทำให้เกิดการสะสมของความเค็มในระบบนิเวศ ส่งผลให้ดินเสื่อมคุณภาพจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ พืชผลตายเป็นวงกว้าง และสัตว์น้ำในแหล่งน้ำล้มตายหรือลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เพียงแต่สิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่แม้กระทั่งบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อิฐก่อ ปูนก่อ เหล็กเส้นในคอนกรีต  ก็ถูกกัดกร่อนพังทลายและเสื่อมสภาพลงอย่างน่าสลด การทำเหมืองโปแตชสามารถทำให้น้ำใต้ดินมีปริมาณสูงขึ้นและดันตัวขึ้นมาได้ เนื่องจากกระบวนการสกัดแร่ไปลดแรงกดทับของชั้นหินเหนือแร่โปแตช เมื่อชั้นหินถูกนำออกไป ช่องว่างที่เกิดขึ้นจะเปิดโอกาสให้น้ำใต้ดินจากบริเวณใกล้เคียงไหลซึมเข้ามาแทนที่ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการรบกวนโครงสร้างของดินและหินจากการทำเหมืองยังทำให้โครงสร้างเปราะบางและเกิดช่องว่างมากขึ้น ส่งผลให้น้ำจากชั้นบนไหลลงสู่ชั้นหินล่างและสะสมตัวเพิ่มขึ้น การสะสมนี้ก่อให้เกิดแรงดันน้ำในชั้นดินสูงขึ้น จนทำให้ดินเกิดการดันตัวและเปลี่ยนแปลงสภาพตามมาในที่สุด โดยผู้เขียนจะยกตัวอย่างผลกระทบเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ผู้เขียนได้ลงพื้นที่สำรวจในชุมชนมาเป็นเวลามากกว่า 5 เดือน ภาพแม่ไปล่และครอบครัวที่อาศัยอยู่ในบ้าน (แม่ไปล่นั่งอยู่ทางขึ้นบันได)   กรณีบ้านของแม่ไปล่ ยอพันดุง ตั้งอยู่ที่บ้านดอนแต้ว ต.หนองไทร อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เป็นหมู่บ้านที่ไกลออกมาจากตัวเหมืองประมาณ 1.5 กิโลเมตร โดยการวัดระยะทางเป็นเชิงเส้นตรง และไกลอออกมาจากตัวเหมืองประมาณ 5 กิโลเมตร โดยการวัดระยะทางตามถนน กำลังเผชิญปัญหาหนักในชีวิตประจำวันจากผลกระทบโดยตรงที่ได้รับจากการทำเหมืองโปแตช จากครอบครัว 6 ชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดิม ซึ่งไม่เคยได้รับการซ่อมแซมตั้งแต่ได้รับผลกระทบ บ้านทั้งหลังค่อย ๆ ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ผนังเต็มไปด้วยคราบความชื้นและคราบขาว กำแพงอิฐที่มีรูพรุนเริ่มเสี่ยงต่อการพังทลาย ห้องน้ำก็กลายเป็นปัญหาใหญ่เพราะน้ำในท่อสิ่งปฏิกูลเต็มอยู่เสมอจากน้ำใต้ดินที่ซึมขึ้นมา ต้องเสียค่าใช้จ่ายจ้างรถสูบอยู่บ่อยครั้งจนกระทบรายได้ อีกทั้งพื้นดินรอบบ้านยังมีความชื้นเค็มสะสม ทำให้พืชผักรอบบ้านตายหมดไปและไม่สามารถปลูกขึ้นได้อีกเลย   บ้านของแม่ไปล่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำกว่าคลองลำมะหลอด ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสาธารณะสำคัญของชุมชน เดิมทีคลองสายนี้เป็นแหล่งน้ำสายหลักที่ชุมชนใช้ในการอุปโภคและบริโภค ไม่ว่าจะใช้ทำการเกษตร แหล่งอาหารสำคัญและใช้ภายในครัวเรือน แต่ปัจจุบันคลองลำมะหลอดกลายเป็นคลองน้ำเสียจากการรับน้ำทิ้งของเหมืองโปแตชที่มีการปนเปื้อนของเกลือ จนไม่สามารถนำน้ำในคลองมาใช้ประโยชน์ได้อีก ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะบ้านของแม่ไปล่ตั้งอยู่ในระดับพื้นที่ลุ่มต่ำกว่าแนวคลอง ทำให้ทุกครั้งเมื่อเวลาน้ำหลาก น้ำเค็มจะไหลเข้าท่วมบ้านโดยไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้ แม่ไปล่เล่าว่าในปี 2562 เคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมล้นคลองจากการปล่อยน้ำเสียของเหมืองโปแตช ทำให้น้ำล้นเข้าท่วมบ้านของแม่ไปล่ โครงสร้างบ้านเรือนที่เป็นปูนก่อและอิฐก่อถูกกัดเซาะจนผุกร่อนและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาน้ำใต้ดินที่ดันตัวสูงขึ้น โดยน้ำใต้ดินจะเคลื่อนตัวขึ้นมาสู่ผิวดินแทรกเข้าสู่ฐานรากและผนังบ้าน เกิดการดูดซึม เกลือในน้ำจะสะสมในเนื้อปูนหรืออิฐ เกิดคราบขาวและความชื้นถาวร จนทำให้กำแพงบ้านอ่อนแอและเสี่ยงพังทลายลง นอกจากนี้ พื้นดินรอบบ้านยังคงมีความชื้นสูงอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงฤดูฝน น้ำฝนที่ตกลงมาจะไม่สามารถซึมลงดินได้ตามปกติ แต่จะขังอยู่บนผิวดินนานหลายวันกว่าจะระเหยหรือแห้ง หากเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน น้ำก็จะเอ่อท่วมเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ทำให้การอยู่อาศัยลำบากยิ่งขึ้น พื้นดินรอบบ้านที่มีความชื้นอยู่ตลอดเวลา คอกวัวใหม่ที่ต้องใช้ดินถมสูงขึ้นเพื่อหนีความชื้น พื้นดินรอบบ้านของแม่ไปล่มีความชื้นตลอดเวลา แม้ในฤดูแล้งดินก็ยังไม่แห้ง เนื่องจากน้ำใต้ดินดันความชื้นขึ้นมา ทำให้ดินเก็บความชื้นและอมน้ำอยู่เสมอ แม่ไปล่เล่าว่าในช่วงฤดูแล้งหรืออากาศร้อนจัด สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเกลือและสารปนเปื้อนทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง คันยุบยิบ และเหนียวตัวตลอดเวลา ปัญหานี้ยิ่งเห็นชัดในคอกวัว เพราะวัวไม่สามารถนอนหรือนั่งบนดินได้เลย จนต้องซื้อดินใหม่มาถมเพื่อสร้างคอกวัวให้วัวนอนได้อย่างปกติ นอกจากนี้ ดินรอบบ้านยังไม่สามารถใช้ปลูกพืชผักสวนครัวได้เลย เนื่องจากมีความเค็มจัดจนพืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ท่อเก็บสิ่งปฏิกูลของห้องน้ำ ในภาพมีรอยการซึมของน้ำซึ่งผุดซึมเข้าอยู่ตลอดเวลา และห้องน้ำภายนอกออกมาใช้ ทุกขภาวะของส้วม : เมื่อมีความชื้นและน้ำในดินจำนวนมากย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งก่อสร้างที่ฝังอยู่ใต้ดิน หนึ่งในนั้นคือท่อเก็บสิ่งปฏิกูลของส้วมในห้องน้ำ ซึ่งมักมีน้ำซึมเข้าไปตลอดเวลา ทำให้เกิดปัญหาส้วมเต็ม ทั้งที่ไม่ได้เต็มเพราะสิ่งปฏิกูล แต่เต็มเพราะน้ำที่ซึมเข้ามาอยู่ตลอด จนไม่สามารถใช้งานส้วมในห้องน้ำได้ตามปกติ แม่ไปล่เล่าว่าต้องจ้างรถมาสูบส้วมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งในช่วงฤดูฝน ส่วนฤดูแล้งจะสูบส้วมหนึ่งเดือนต่อครั้ง ทั้งที่เมื่อก่อนจะสูบส้วมเพียง 4-5 ปีต่อครั้ง เมื่อทนต่อรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว ครอบครัวแม่ไปล่จำต้องออกมาใช้ส้วมในห้องน้ำภายนอกบ้านที่มีปัญหากัดกร่อนบนพื้นและผนังเช่นเดียวกับส้วมในห้องน้ำภายในบ้าน แต่มีปริมาณน้ำซึมเข้าท่อเก็บสิ่งปฏิกูลไม่หนักเท่า โดยจะสูบส้วมสามสี่เดือนต่อครั้ง เนื่องจากส้วมในห้องน้ำภายนอกบ้านตั้งอยู่ระดับสูงกว่าส้วมในห้องน้ำภายในบ้าน ในส่วนของผนังส้วมในห้องน้ำภายนอกบ้านที่ถูกกัดกร่อนจากความเค็มของเกลือก็แก้ปัญหาโดยการนำสังกะสีไปแอ้มรูที่ผุพังไว้ ปัญหาเหล่านี้สร้างความเดือดร้อนและทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูง จนสูญเสียรายได้ไปเป็นอย่างมาก ตัวอย่างบทเรียนจากผลกระทบอื่นๆในพื้นที่ใกล้เหมือง บ้านที่ตั้งอยู่หมู่บ้านหนองไทร-ไทรงาม ซึ่งห่างจากเหมืองโปแตชไม่ถึง 1กิโลเมตร บ้านของแม่แต่ง ฝอดสูงเนิน ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองมาตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา และจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยได้รับการเยียวยาหรือแก้ไขใดๆ จากผู้ที่เป็นต้นเหตุ ปัญหาที่เกิดขึ้นสะสมมาอย่างต่อเนื่องและส่งผลรุนแรงต่อทั้งตัวบ้านและการดำรงชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย เริ่มจากโครงสร้างบ้านที่เสื่อมสภาพลง กำแพงบ้านเกิดการผุกร่อนทีละน้อย สาเหตุสำคัญมาจากน้ำเค็มใต้ดินที่ซึมขึ้นมาจากด้านล่างเข้าสู่ตัวบ้าน น้ำเค็มเหล่านี้มีปริมาณเกลือสูงและมีคุณสมบัติในการกัดกร่อนอย่างรุนแรง เมื่อซึมเข้าสู่กำแพงจึงทำให้เกิดรอยแตกร้าว และหากปล่อยไว้นานย่อมอาจนำไปสู่การพังทลายลงงในอนาคต ส่วนเสาที่ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กก็เผชิญผลกระทบไม่ต่างกัน ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเกลือคลอไรด์ คอนกรีตจะดูดซับความชื้นไว้ตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไปเกลือและความชื้นจะซึมลึกเข้าไปในเนื้อคอนกรีตจนทำให้โครงสร้างเปื่อยยุ่ย แตกตัว และเสื่อมสภาพกลายเป็นผง ผลลัพธ์คือเสาจะไม่สามารถคงความแข็งแรงได้ดังเดิม กลายเป็นความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยอย่างมาก นอกจากความเสียหายทางกายภาพของบ้านแล้ว ปัญหาจากน้ำเค็มใต้ดินยังส่งผลต่อวิถีชีวิตประจำวันโดยตรง พื้นกระเบื้องในบ้านมักเหนียวและชื้นอยู่เสมอ เพราะเกลือที่ซึมขึ้นมาจากใต้ดินก่อตัวบนผิวกระเบื้อง ทำให้การเดินเหินภายในบ้านไม่สะดวก จำเป็นต้องใช้น้ำยาถูพื้นทำความสะอาดทุกวันเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งสร้างทั้งภาระค่าใช้จ่ายและความลำบากในการดำเนินชีวิต การซึมของน้ำเค็มใต้ดินที่นำไปสู่การเกิดรอยร้าวในภาพถัดไป รอยร้าวที่เกิดจากผลกระทบของน้ำเค็มที่ซึมขึ้นและมีประสิทธิภาพกัดกร่อนที่รุนแรง คอนกรีตเสริมเหล็กที่เริ่มเปื่อยออก ตัวอย่างบ้านอีกหลังที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เหมือง บ้านของ พ่อเสงี่ยม ฝองสูงเนิน ที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ซึ่งสร้างด้วยการก่ออิฐเกือบทั้งบ้านที่เป็นวัสดุแพ้ทางความเค็มที่มีประสิทธิภาพกัดกร่อนอย่างรุนแรง  โดยสรุป ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวแม่ไปล่ แม่แต่ง และพ่อเสงี่ยม เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเดือดร้อนที่แผ่ขยายในชุมชน ชาวบ้านหลายคนที่มีที่ดินและบ้านเรือนใกล้กับเหมืองแร่โปแตชก็กำลังเผชิญกับผลกระทบที่ทำลายชีวิตและระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง การปนเปื้อนในน้ำ ดิน ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ได้อีกต่อไป และยังสั่นคลอนโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนผลกระทบนี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาชั่วคราว แต่เป็นวิกฤตที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่อง และส่งผลเรื่อย ๆ ในทุกมิติ สิ่งที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือผลกระทบต่อบ้านเรือนที่อยู่อาศัย น้ำใต้ดินที่ดันตัวสูงขึ้นได้ซึมเข้าสู่โครงสร้าง ทำให้บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เริ่มเสื่อมสภาพและมีแนวโน้มที่จะผุกร่อนพังทลายลงในอนาคต นอกจากนี้ ผลกระทบยังส่งผลต่อสุขภาวะทางร่างกายโดยตรง เฉพาะในช่วงอากาศร้อนจัด สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเกลือและสารปนเปื้อนอื่น ๆ ทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง คันยุบยิบ และเหนียวตัวตลอดเวลา ปัญหาสุขภาพเหล่านี้แม้ไม่รุนแรงในทันที แต่ก็ค่อย ๆ บั่นทอนคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านในทุก ๆ วัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผลลัพธ์จากการทำเหมืองโปแตชนั้นลึกซึ้งและครอบคลุมทุกมิติ ทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพของมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่     Reference  -ThaiPBS The Active 2025 l  สว. เล็งลงพื้นที่ ดูผลกระทบ ‘เหมืองโปแตช’ หลังถกข้อพิพาท ไร้เงาบริษัทร่วมชี้แจง   * บทความ * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * ที่อยู่อาศัย * เหมืองโปแตช
dlvr.it
prachatai.com
ป.ป.ช. ชี้ คดีชั้น 14 'ทักษิณ' มี 2 ตัวละครเพิ่ม โยงนักการเมือง-ข้าราชการระดับสูง
ป.ป.ช. ชี้ คดีชั้น 14 'ทักษิณ' มี 2 ตัวละครเพิ่ม โยงนักการเมือง-ข้าราชการระดับสูง Pazzle Wed, 2025-10-08 - 21:03 รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุ คดีชั้น 14 “ทักษิณ” มีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 2 คน ขณะนี้ ป.ป.ช. แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือคำร้องกรณีพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเกิน 120 วัน แต่ไม่ 180 วัน และคำร้องภายหลังการพักโทษ องค์คณะไต่สวนเตรียมสอบเพิ่ม   8 ต.ค. 2568 บีบีซีไทย สุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าคดี 14 ชั้น กรณีที่มีการกล่าวหาข้าราชการช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า มีการตั้งองค์คณะไต่สวนข้าราชการที่เกี่ยวข้องไปแล้ว 12 คน แต่มีคำร้องเพิ่มเติมเข้ามา ขณะนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือคำร้องกรณีพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเกิน 120 วัน แต่ไม่ 180 วัน และคำร้องภายหลังการพักโทษ โดยมีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 2 คน ch3plus หลังจากคัดคำพิพากษาศาลฎีกาฯ  คณะทำงานเจ้าของเรื่องต้องนำข้อเท็จจริงมาถอดว่า มีการร้องเรียนเพิ่มเติมหรือไม่ หรือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษา กับข้อมูลที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนไปแล้ว สอดคล้องกันหรือไม่ ซึ่งมีข้อเท็จจริงที่ยังไม่ตรงกัน ป.ป.ช. จึงต้องดูตามแนวคำพิพากษาเป็นหลัก “การบ้านขององค์คณะไต่สวนที่ต้องเอาคำพิพากษามาถอด ดูตัวละครเพิ่มเติมที่เราต้องไต่สวน โดยเฉพาะที่มีคำร้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง ทางองค์คณะจะพิจารณาอย่างไร และเกี่ยวข้องกับการพักโทษด้วยหรือไม่” รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าว รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า มีการแยกสำนวนเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือข้าราชการที่ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัว อีกส่วนคือเรื่องกระบวนการพักโทษ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้นายทักษิณได้รับการบังคับโทษจำคุก 1 ปี เนื่องจากการเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่นับว่าเป็นการบังคับโทษตามกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้บังคับโทษจำคุกนายทักษิณ 1 ปี   * ข่าว * การเมือง * ทักษิณ ชินวัตร * ป.ป.ช. * คดีชั้น 14 * สุรพงษ์ อินทรถาวร
dlvr.it
prachatai.com
อดีตลูกจ้าง 'ยานภัณฑ์' พบ รมต.แรงงาน ยื่นหนังสือขอช่วยติดตามเงินชดเชย
อดีตลูกจ้าง 'ยานภัณฑ์' พบ รมต.แรงงาน ยื่นหนังสือขอช่วยติดตามเงินชดเชย Pazzle Wed, 2025-10-08 - 17:49 อดีตลูกจ้างบริษัทยานภัณฑ์ ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรีนุช เทียนทอง ขอให้เร่งดำนเนินการแก้ไขปัญหาแรงงานถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับเงินค่าชดเชย หลังผ่านมากว่า 9 เดือน นายจ้างก็ยังไม่มีการพูดคุยหรือเจรจา ลูกจ้างกว่า 800 คน เดือดร้อนอย่างมาก เซีย จำปาทอง สส. พรรคประชาชนที่เข้าร่วมติดตามกรณีนี้มาตลอดเสนอให้กระทรวงแรงงานเข้ามาเป็นเจ้าภาพในการเชิญฝ่ายนายจ้างมาพูดคุยเจรจากับฝ่ายลูกจ้าง   8 ต.ค. 2568 ที่อาคารัฐสภา ตัวแทนอดีตลูกจ้างบริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) นำโดยวิมล ห่วงไธสง พร้อมอดีตลูกจ้างอีก 3 คน เดินทางมายื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรีนุช เทียนทอง ขอให้มีการดำนเนินการแก้ไขปัญหาแรงงานถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับเงินค่าชดเชย นอกจากนี้มีเซีย จำปาทอง และวรรณวิภา ไม้สน สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เข้าร่วมติดตามอย่างใกล้ชิด สืบเนื่องจากกรณีที่คนงานบริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) กว่า 800 คน ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าชดเชยและการบอกกล่าวล่วงหน้า จากการปิดกิจการของบริษัทดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2567 ซึ่งถือเป็นการขัดต่อกฎหมาย พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ล่าสุดผ่านมาแล้วกว่า 9 เดือน ก็ยังไม่มีการพูดคุยหรือเจรจาจากฝั่งของนายจ้าง โดยข้อเรียกร้องของตัวแทนอดีตลูกจ้างต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คือขอให้เร่งดำเนินการพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาและหาวิธีการเยียวยาเร่งด่วนให้กับอดีตลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็ว เซีย จำปาทอง ได้เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานขอให้เร่งหาช่องทางในการเยียวยาอดีตลูกจ้างเหล่านี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระหว่างการรอกระบวนการ เช่น การนำงบกลางมาดูแลและเยียวยาลูกจ้างที่เดือดร้อนเหล่านี้ หากเป็นไปได้อยากฝากให้กระทรวงแรงงานเป็นเจ้าภาพในการเชิญฝ่ายนายจ้างมาพูดคุยและเจรจากับทางฝ่ายลูกจ้างว่าจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไรต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมา 7-8 เดือน ฝ่ายนายจ้างไม่เคยเข้ามาพูดคุยกับฝ่ายลูกจ้างเลย “ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่จะไปจัดการว่า เมื่อเจ้าของโรงงานไม่รับผิดชอบใดๆ สุดท้ายปัญหาทางสังคมเกิดขึ้นกับคนงานเกือบ 1,000 คน ซึ่งมันคือความเจ็บปวดของคนงานเหล่านี้ บางคนก็อายุ 40-50 ปีแล้ว ก็ยังหางานไม่ได้… ถ้าเป็นไปได้อยากให้ท่านรัฐมนตรีลองประสานกับเจ้าของโรงงานยานภัณฑ์ดูอีกสักครั้งหนึ่งว่ามีความเป็นไปได้ไหมถ้าจะต้องมานั่งคุยกัน” เซีย กล่าว นอกจากนี้ เซีย จำปาทอง ยังได้เสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิแรงงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในอีก 3 ประเด็น คือ 1. ให้ดำเนินการรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87, 98 2. ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 3. ให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศ * ข่าว * แรงงาน * ยานภัณฑ์ * เซีย จำปาทอง * ตรีนุช เทียนทอง * กระทรวงแรงงาน * ลอยแพลูกจ้าง
dlvr.it
prachatai.com
ภาคประชาชนยื่น ป.ป.ช. สอบ 5 ตุลากรศาล รธน. ตีความเกินอำนาจหน้าที่ ห้ามประชาชนเลือกผู้ร่าง รธน.
ภาคประชาชนยื่น ป.ป.ช. สอบ 5 ตุลากรศาล รธน. ตีความเกินอำนาจหน้าที่ ห้ามประชาชนเลือกผู้ร่าง รธน. Pazzle Wed, 2025-10-08 - 15:00 ConforAll (เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ) ยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบ 5 ตุลากรศาลรัฐธรรมนูญ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, อุดม สิทธิวิรัชธรรม, วิรุฬห์ แสงเทียน, จิรนิติ หะวานนท์ และนภดล เทพพิทักษ์ ปมคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ที่ระบุห้ามไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เป็นการตีความเกินอำนาจหน้าที่และจงใจสร้างข้อจำกัดในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่    8 ต.ค. 2568 iLaw รายงาน เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ConforAll นำโดยบารมี ชัยรัตน์ เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นข้อกล่าวหาตุลากรศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน กรณีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2568 ห้ามไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง หลังศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่คำวินิจฉัยประเด็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2568 โดยมีความตอนหนึ่งระบุว่า "รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง" ซึ่งเป็นข้อความที่ศาลรัฐธรรมนูญเขียนเพิ่มขึ้น ทั้งที่ไม่ใช่ประเด็นที่ผู้ร้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และไม่ใช่ประเด็นที่เกิดปัญหาข้อพิพาทกันมาก่อน แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับเขียนข้อจำกัดในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยไม่แม้แต่จะเขียนคำวินิจฉัยเพื่ออธิบายหลักอ้างอิงทางวิชาการ หรือเหตุผลทางกฎหมายที่มาสู่ข้อจำกัดดังกล่าว เครือข่าย ConforAll เห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการกระทำที่เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อหลักการประชาธิปไตยอันมีอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนชาวไทย และเป็นการก้าวล่วงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อสร้างข้อจำกัดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา จึงดำเนินการยื่นข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ทำการไต่สวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 5 คน ได้แก่ 1.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (ประธานศาลรัฐธรรมนูญ) 2.อุดม สิทธิวิรัชธรรม 3.วิรุฬห์ แสงเทียน 4.จิรนิติ หะวานนท์ 5.นภดล เทพพิทักษ์ ว่าได้กระทำผิด ฐานจงใจใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากทางเครือข่าย ConforAll เห็นว่าการวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ขัดต่อหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนตาม มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขัดต่อหลักการพิจารณาคดีที่เป็นพื้นฐานในระบบกฎหมายไทยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญามาตรา 192 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และไม่เข้าเป็นลักษณะเป็นคำบังคับ ตามมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 โดยการลงมติและคำวินิจฉัยในลักษณะที่เกินคำขอดังกล่าวเป็นการจงใจสร้างข้อจำกัดในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ด้วยการกำหนดให้รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ซึ่งถือว่าเป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สร้างความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยและการใช้อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชนอย่างร้ายแรง บารมี ชัยรัตน์ ตัวแทนเครือข่ายระบุว่า ประเด็นสำคัญที่นำมาสู่การยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ในครั้งนี้คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีการ "แถมมา" ในส่วนที่ห้ามไม่ให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ได้โดยตรง ซึ่งทางเครือข่ายเห็นว่าเป็นการวินิจฉัย "เกินอำนาจหน้าที่" ของศาลรัฐธรรมนูญ จึงต้องให้ ป.ป.ช. ช่วยตรวจสอบศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 5 ท่านว่าทำหน้าที่โดยชอบหรือไม่ การมายัง ป.ป.ช. ในวันนี้เป็นเพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้ระบุกลไกที่ชัดเจนว่า หากศาลรัฐธรรมนูญกระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนจะสามารถตรวจสอบได้ที่หน่วยงานใด ทำให้ ป.ป.ช. เป็นเพียงช่องทางเดียวที่เหลืออยู่ในการตรวจสอบการใช้อำนาจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ระบุว่า สิ่งที่ ConforAll ยื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช. ในวันนี้ เป็นการใช้สิทธิของปวงชนชาวไทยที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 234 ซึ่งบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจหรือวินิจฉัยขัดต่อรัฐธรรมนูญ การยื่นคำร้องจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายที่ระบุในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ต่อมาเวลา 10.14 น. พัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เดินทางลงมารับหนังสือจากเครือข่าย โดยระบุว่า การใช้สิทธิตรวจสอบองค์กรอิสระเป็นสิทธิที่ถูกรองรับไว้ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป โดยขั้นตอนการตรวจสอบจะดำเนินการไปตามกฎหมายที่กำหนดระยะเวลาในการตรวจสอบไว้ คือ 1 ถึง 3 ปี แต่ยืนยันว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันมีแนวทางในการดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในกรอบระยะเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ ระยะเวลาในการตรวจสอบที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับ "เนื้อหาในรายละเอียด" ว่าต้องใช้กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ ป.ป.ช. ย้ำว่ากระบวนการจะดำเนินการอย่างรวดเร็วภายใต้กรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด เครือข่ายภาคประชาชนทราบดีว่าไม่อาจคาดหวังให้ ป.ป.ช. ต้องสั่งฟ้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 5 คนแต่กลไกการตรวจสอบองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีเพียงการยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพียงช่องทางเดียว ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 234 และ มาตรา 235 ที่จะต้องให้ ป.ป.ช. ไต่สวนและเสนอเรื่องไปยังอัยการสูงสุดให้พิจารณาส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป * ข่าว * การเมือง * ศาลรัฐธรรมนูญ * ตุลาการรัฐธรรมนูญ * นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ * อุดม สิทธิวิรัชธรรม * วิรุฬห์ แสงเทียน * จิรนิติ หะวานนท์ * นภดล เทพพิทักษ์ * conforall * เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ * บารมี ชัยรัตน์ * iLaw
dlvr.it
prachatai.com
'ผสานวัฒนธรรม' เรียกร้องหยุดกดปราบข้ามชาติ หลังไทยจับ 'นักข่าวชาวออสเตรเลีย' ข้อหาหมิ่นประมาทมาเลเซีย
'ผสานวัฒนธรรม' เรียกร้องหยุดกดปราบข้ามชาติ หลังไทยจับ 'นักข่าวชาวออสเตรเลีย' ข้อหาหมิ่นประมาทมาเลเซีย Pazzle Wed, 2025-10-08 - 11:37 “มูลนิธิผสานวัฒนธรรม” องค์กรสิทธิมนุษยชนในไทยออกแถลงเรียกร้องให้หยุดการใช้กระบวนการยุติธรรมไทย “ฟ้องปิดปาก-กดปราบข้ามชาติ” หลัง “เมอร์เรย์ ฮันเตอร์” นักข่าวออสเตรเลีย วัย 66 ปี ถูกตำรวจไทยจับกุมข้อหาหมิ่นประมาทคณะกรรมาธิการการสื่อสารและสื่อประสมแห่งประเทศมาเลเซีย (MCMC) มูลนิธิผสานวัฒนธรรมระบุ การดำเนินคดีกับฮันเตอร์เป็นการคุกคามเสรีภาพสื่ออย่างร้ายแรง และเป็นการที่ประเทศอื่นฉวยโอกาสใช้กระบวนการยุติธรรมไทยปิดปากนักข่าวและนักวิจารณ์ที่อยู่นอกเหนือเขตอำนาจของตน เรียกร้องให้ศาลไทยพิจารณายกฟ้องคดีดังกล่าวโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งคืนหนังสือเดินทางและยุติการดำเนินคดีทั้งปวงกับนักข่าวออสเตรเลียในกรณีนี้   8 ต.ค. 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยุติการใช้กระบวนการยุติธรรมไทยฟ้องปิดปากและกดปราบข้ามชาติ กรณีเมอร์เรย์ ฮันเตอร์ (Murray Hunter) นักข่าวชาวออสเตรเลีย วัย 66 ปี ถูกตำรวจไทยจับกุมข้อหาหมิ่นประมาทรัฐมาเลเซีย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 ฮันเตอร์ถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาทหน่วยงานรัฐของประเทศมาเลเซีย จากการเผยแพร่ข้อมูลบนเว็บไซต์ของตนเอง สำนักข่าว BBC รายงานว่าได้เห็นคำร้องขอหมายของฮันเตอร์ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลยานนาวาเป็นผู้ร้องโดยระบุพฤติการณ์แห่งคดีว่า ผู้กล่าวหาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศไทยได้ใช้งานโทรศัพท์มือถือของตนเอง และพบข้อความที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของฮันเตอร์ หมิ่นประมาทคณะกรรมาธิการการสื่อสารและสื่อประสมแห่งประเทศมาเลเซีย (The Malaysian Communication and Multimedia Commission – MCMC) และผู้กล่าวหาเชื่อโดยสุจริตว่าข้อความนั้นอาจเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทผู้เสียหายทำให้ผู้กล่าวหาได้รับมอบอำนาจให้มาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี” กับฮันเตอร์ ฮันเตอร์รับทราบข้อกล่าวหา และปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา มูลนิธิผสานวัฒนธรรมในฐานะองค์กรสิทธิมนุษยชนที่ทำงานส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ขอแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้กฎหมายไทยเป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องคดีเพื่อปิดปาก (Strategic Lawsuit Against Public Participation – SLAPP) ในลักษณะข้ามชาติ (Transnational Repression -TNR) อันเป็นการคุกคามเสรีภาพสื่อมวลชนและเสรีภาพในการแสดงออกอย่างร้ายแรง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮันเตอร์ ซึ่งถูกควบคุมตัวและยึดหนังสือเดินทาง เพียงเพราะหน่วยงานรัฐของประเทศมาเลเซียได้มอบอำนาจให้ตัวแทนมาแจ้งความร้องทุกข์ในประเทศไทย อาจเข้าข่ายเป็นการปราบปรามข้ามชาติ (Transnational Repression) ที่รัฐต่างชาติฉวยโอกาสใช้กระบวนการยุติธรรมของไทยเพื่อปิดปากนักข่าวและนักวิจารณ์ที่อยู่นอกเหนือเขตอำนาจของตน การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการบั่นทอนหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปกป้องและคุ้มครอง แต่ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก อีกทั้งประเทศไทยอาจกลายเป็น “ดินแดนที่ไม่ปลอดภัย” หากยอมรับให้มีการแจ้งความเพื่อฟ้องปิดปากข้ามชาติเช่นนี้ และเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลอื่นๆ ที่มีลักษณะการปกครองแบบอำนาจนิยมสามารถใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อตามล่าและกดดันผู้เห็นต่างของตนได้ ผสานวัฒนธรรมเห็นว่า ปัจจุบันการฟ้องปิดปากผู้เห็นต่างทางการเมืองหรือผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐโดยสุจริตถูกฟ้องกลับหลายกรณี นอกจากนี้การที่กฎหมายหมิ่นประมาทของไทยยังคงมีโทษทางอาญา เป็นช่องโหว่สำคัญที่เอื้อให้เกิดการใช้กฎหมายในทางที่ผิดเพื่อเป็นเครื่องมือฟ้องคดีปิดปาก ทั้งจากหน่วยงานรัฐและเอกชนภายในประเทศ หรืออาจถูกฉวยใช้โดยหน่วยงานจากต่างประเทศเพื่อปราบปรามผู้เห็นต่างในประเทศของตน  การคงอยู่ของความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาทในประเทศไทยจึงกลายเป็นเครื่องมือของรัฐอื่นและไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งมีแนวโน้มให้ใช้มาตรการทางแพ่งเป็นหลักในการเยียวยาผู้เสียหาย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม มีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้ 1. ขอเรียกร้องต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ขอให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีของเมอร์เรย์ ฮันเตอร์ และศาลยุติธรรมโปรดพิจารณายกฟ้องคดีดังกล่าวโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งคืนหนังสือเดินทางและยุติการดำเนินคดีทั้งปวง เพื่อยืนยันหลักการว่ากระบวนการยุติธรรมไทยจะไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปราบปรามการใช้เสรีภาพสื่อข้ามชาติ 2. ขอเรียกร้องต่อรัฐบาลและรัฐสภาไทย ต้องทบทวนและดำเนินการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา โดยยกเลิกโทษอาญาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ให้คงเหลือเพียงมาตรการทางแพ่ง เพื่อป้องกันการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) และยกระดับการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล 3. ขอเรียกร้องต่อหน่วยงานภาครัฐของมาเลเซียและรัฐไทย ขอให้ยุติความพยายามในการใช้กระบวนการทางกฎหมายนอกอาณาเขตของตนเพื่อคุกคามและปิดปากสื่อมวลชน และขอให้ถอนการแจ้งความดำเนินคดีต่อเมอร์เรย์ ฮันเตอร์ ในประเทศไทย 4. ขอให้ตรวจสอบการใช้ดุลพินิจในการแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายเมอร์เรย์ว่าเป็นการกระทำไปโดยสุจริตหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้เพื่อเป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจทางกฎหมายให้เป็นธรรมต่อกรณีดังกล่าว และเป็นมาตราการป้องกันไม่่ให้เกิดการใช้ช่องว่างดำเนินการกดปราบข้ามชาติอีก 5. ขอเรียกร้องต่อรัฐไทย ขอให้ทบทวนการใช้อำนาจรัฐอย่างระมัดระวังและหากพบว่า ฮันเตอร์มีความเสี่ยงในการถูกละเมิดหลักการไม่ส่งกลับ (Non-refoulement) ถึงแม้ว่าการฟ้องจะใช้กฎหมายไทย แต่หากศาลมีคำสั่งลงโทษหรือมีการร้องขอให้ส่งตัวฮันเตอร์กลับไปยังประเทศมาเลเซีย อาจเข้าข่ายละเมิดมาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * เมอร์เรย์ ฮันเตอร์ * เสรีภาพสื่อ * ฟ้องปิดปาก * จับกุมนักข่าว * มูลนิธิผสานวัฒนธรรม * มาเลเซีย * MCMC
dlvr.it
prachatai.com
กวีประชาไท: ปรัมปราปลดปลง
กวีประชาไท: ปรัมปราปลดปลง ขาย แสงอากาศ   sarayut Tue, 2025-10-07 - 20:47     เวียนครบบรรจบรอบ ดอกไม้มอบวางรำลึก เปลวไฟในดื่นดึก คือเปลวเทียนชะตากรรม ตุลาฯ แววตาใคร เลือดเคยไหลลงรอยงำ ปีเดือนเคลื่อนทรงจำ เป็นเรื่องเล่าเลือนสมัย ครึ่งศตวรรษพ้น ช่อดอกชนเหลือดอกใด กลีบบางยังอ่อนไหว ยังปลิดปลิวบนริ้วมือ ชีพชนคนตุลาฯ คนไร้หน้าว่านับถือ เรื่องเร้นหรือเรื่องลือ คือฉากทัศน์ปรัศนี บางเรื่องในเมืองแดน มิหมายแม้นให้มากมี ความจริงคือสิ่งที่- โค้งและเว้าเท่าจิ๊กซอว์ กังขาเกินแก้ไข ปะติดไปใครปะต่อ ทรงจำยังค้ำคอ ยังกระอักกระอ่วนยง เรื่องเล่าหกตุลาฯ คือปรัมปราการปลดปลง เป็นจริง--ไม่ประสงค์ เป็นบ้านเมือง--ไม่ประสา สืบแรงศตวรรษ แรงกำจัดหกตุลาฯ คนตายยังไร้หน้า แดนประชาธิปไตย ?     * บทความ * การเมือง * วัฒนธรรม * กวีประชาไท * ขาย แสงอากาศ * 6 ตุลาคม 2519
dlvr.it
prachatai.com
ประชาธิปไตยไทยที่สั่นคลอน กัดกร่อนความหวังของผู้ลี้ภัย
ประชาธิปไตยไทยที่สั่นคลอน กัดกร่อนความหวังของผู้ลี้ภัย ฐานิดา ปิยโชติ   sarayut Tue, 2025-10-07 - 20:40 สถานการณ์ทางการเมืองของไทยยังคงความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เหตุการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งปลุกกระแสชาตินิยมฝั่งขวาและทำคะแนนให้กับกองทัพอย่างท่วมท้น ตามมาด้วยคดีถอดถอนนายกรัฐมนตรีด้วยข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมโดยศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง การยื้อแย่งอำนาจระหว่างพรรคการเมืองที่นำไปสู่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา ซึ่งเป็นที่น่ากังวลว่าพรรคอนุรักษ์นิยมที่สืบทอดมรดกที่หลงเหลือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง ขณะที่ประชาชนบางส่วนต้องผิดหวังที่นโยบายที่อยู่ในระหว่างดำเนินการของรัฐบาลชุดก่อนต้องหยุดชะงักไปอย่างไม่มีกำหนด รวมไปถึงนโยบายที่หลายฝ่ายกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งการเจรจากำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา หรือความพยายามในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา แต่นั่นอาจไม่ใช่ความคืบหน้าเดียวทางนโยบายที่น่าจับตามอง หากไม่ใช่เพราะว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยมานานกว่าสี่ทศวรรษ ในบริเวณชายแดนทั้ง 9 แห่งของ 4 จังหวัดแนวชายแดนประเทศไทย-เมียนมา เพิ่งได้รับข่าวดีจากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปลดล็อคให้ผู้ลี้ภัยสามารถออกไปทำงานนอกค่ายผู้ลี้ภัยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จากสถานการณ์การยุติงบประมาณสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา แต่เพียงสามวันถัดมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้นายกและคณะรัฐมนตรีชุดนี้พ้นสภาพ ทำให้มีการประกาศโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันที่ 5 กันยายน  ความปั่นป่วนทางการเมืองเช่นนี้ได้สร้างความกังวลให้กับบรรดาผู้ลี้ภัยที่เฝ้ารอผลลัพธ์ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมมาอย่างยาวนาน ในสัปดาห์ที่ผ่านๆ มา ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ลี้ภัยในค่าย รวมทั้งหญิงชาวกะเหรี่ยงอายุ 43 ปีรายหนึ่งที่ได้ดูแลลูกทั้งสามคนเพียงลำพังภายหลังสามีของเธอเสียชีวิตลง เธอบอกเล่าถึงการรอคอยอย่างมีความหวังว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสออกไปทำงานนอกค่าย ภายหลังจากที่มีการประกาศโหวตนายกใหม่ เธอบอกกับผู้เขียนว่า ผู้คนที่นี่ไม่มีที่ไปแล้ว...ฉันก็กังวลว่าหากเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายที่ทำไว้เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยจะเปลี่ยนไปด้วย พวกที่จะทำบัตร [สถานะทางกฎหมาย] ให้ หรือที่จะให้ทำงานข้างนอก การเปลี่ยนรัฐบาลไปมา ก็คิดอยู่ว่าแล้วต่อไปจะเป็นยังไง คนที่นี่ [ในค่าย] ไม่ค่อยดูข่าว พูดภาษาไทยก็ไม่ค่อยได้ ใครจะเป็นรัฐบาลก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ฉันไม่ขออะไรหรอก ใครจะขึ้น[เป็นรัฐบาล] ก็ช่าง ขอแค่ได้อยู่ที่นี่ก็พอแล้ว จะห่วงก็แต่อนาคตของลูก การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของสภาในวันที่ 5 กันยายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ได้รับเลือกให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ย้อนกลับไปในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อนุทินเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข การบริหารสถานการณ์โรคระบาดบริเวณชายแดนของเขาเป็นที่รู้จักทั้งในแง่บวกและลบ อนุทินได้อ้างถึงความพยายามในการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมในการแจกจ่ายวัคซีนให้กับชาวเมียนมาบริเวณชายแดน แต่ขณะเดียวกันก็จุดประกายกระแสชาตินิยมที่กล่าวโทษผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติจากเมียนมาว่าเป็นต้นตอของการแพร่เชื้อไวรัส ปัจจุบันยังแทบไม่มีข้อมูลว่าพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายหรือคำมั่นใดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนหรือสวัสดิการของผู้ลี้ภัย และเป็นที่น่ากังวลว่าพรรคได้รับแรงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากฝ่ายขวาเช่นนี้ จะยินยอมดำเนินการสนับสนุนผู้ลี้ภัยให้สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมได้มากน้อยเพียงใด แม้ที่ผ่านมาเราจะเห็นความพยายามของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในการมีบทบาททางด้านสิทธิมนุษยชนทางเวทีระหว่างประเทศบ้าง เช่น เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ที่ประเทศไทยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แต่ถัดจากนั้นมาเพียงไม่กี่เดือน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ทางการไทยก็ได้ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์จำนวนกว่า 40 รายไปยังประเทศจีน ประเด็นเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในประเทศไทยถูกจัดเป็นปัญหาด้าน “ความมั่นคงของประเทศ” อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช. เป็นหลัก โดยมีนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธาน ดังนั้นผู้นำทางการเมืองจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบนโยบายที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเช่นมติคณะรัฐมนตรีล่าสุดที่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยในค่ายสามารถออกไปทำงานได้ แม้มตินี้จะผ่านการนำเสนอโดยรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานผู้เป็นเจ้าของเรื่อง แต่การตัดสินใจและอนุญาตถูกเทน้ำหนักมาที่สมช.ในการพิจารณารับร่าง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าของประเทศไทยไม่เพียงทำให้การบริหารประเทศขาดความต่อเนื่อง ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ยังสั่นคลอนความไว้วางใจและความหวังของผู้ลี้ภัยที่มีต่อนโยบายการคุ้มครอง สถานะทางกฎหมาย หรือความคุ้มครองจากการถูกกดปราบที่ยังคงไม่แน่นอน เนื่องจากทุกการเปลี่ยนแปลงอาจก่อให้เกิดคำถามว่านโยบายของรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น หรือก่อให้เกิดการกดปราบมากขึ้นกันแน่ รัฐบาลไทยไม่ว่าจะอยู่ภายใต้พรรคการเมืองหรือรัฐบาลผสมชุดใด ควรยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ และยืนหยัดที่จะคุ้มครองผู้ลี้ภัยอย่างต่อเนื่อง นโยบายที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไม่ควรถูกกำหนดโดยกระแสการเมืองที่ผันผวนหรือผลประโยชน์ทางการเมือง แต่จะต้องตั้งอยู่บนพันธกรณีระหว่างประเทศและความรับผิดชอบด้านมนุษยธรรม ซึ่งขณะนี้นายกรัฐมนตรีอนุทินจำเป็นต้องปฏิบัติตามพันธกิจของประเทศไทยที่มีต่อผู้ลี้ภัยให้เป็นจริง       * บทความ * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * ฐานิดา ปิยโชติ * ผู้ลี้ภัย
dlvr.it
prachatai.com
ศาลจีนสั่งประหารสมาชิก 'ตระกูลหมิง' มีส่วนพัวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ศาลจีนสั่งประหารสมาชิก 'ตระกูลหมิง' มีส่วนพัวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ auser15 Tue, 2025-10-07 - 19:51 ศาลจีนสั่งตัดสินประหารชีวิตสมาชิก 'ตระกูลหมิง' ซึ่งเป็นชาวจีนโกก้าง สัญชาติพม่ารวม 16 ราย ในเรื่องที่มีส่วนพัวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีการบังคับใช้แรงงานและฆาตกรรมผู้ไม่เชื่อฟัง รวมถึงมีการประกอบอาชญากรรมอื่นๆ เช่นการค้ายาเสพติด มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว มีคนที่ถูกแก๊งตระกูลหมิงสังหารรวม 14 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ขัดขืนหลังถูกบังคับใช้แรงงานหลอกลวงต้มตุ๋นออนไลน์ ศาลประชาชนเมืองเวิ่นโจว มณฑลเจ้อเจียง ของประเทศจีน ได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิตกลุ่มบุคคลรวม 16 ราย ที่เป็นสมาชิกแก๊งอาชญากรรม "ตระกูลหมิง" พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหลายรูปแบบ ทั้งการฉ้อโกง, การค้ายาเสพติด และเปิดซ่องเปิดบ่อนคาสิโน รวมถึงการตั้งศูนย์หลอกลวงต้มตุ๋นออนไลน์ หรือที่เรียกว่าศูนย์สแกมเมอร์อันอื้อฉาว แก๊งตระกูลหมิงนี้ เป็นแก๊งอาชญากรรมที่ดำเนินการภายในครอบครัวมาตั้งแต่ปี 2558 พวกเขาเป็นชาวจีนเชื้อสายโกก้าง สัญชาติพม่า ที่อาศัยอิทธิพลในพื้นที่เขตโกก้างของพม่าในการก่อตั้งศูนย์สแกมเมอร์หลายแห่งและสมคมคิดกับผู้หนุนหลังทางการเงินหลายรายในการประกอบอาชญากรรมต่างๆ ซึ่งมีเงินหมุนเวียนมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านหยวน (ราว 46,000 ล้านบาท) ในพื้นที่ติดชายแดนของพม่ามักจะมีศูนย์สแกมเมอร์ที่ใช้ทำการหลอกลวงออนไลน์แบบแก๊งมิจฉาชีพที่เรียกว่าแก๊งคอลเซนเตอร์ ศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้มักจะมีการค้ามนุษย์เข้าไปบังคับใช้แรงงานในนั้น ซึ่งมีอยู่จำนวนมากที่เป็นชาวจีน รายงานระบุว่า ศูนย์สแกมเมอร์ทั้งของแก๊งตระกูลหมิงและแก๊งอื่นๆ มักจะมีการ "ทำร้ายหรือสังหารคนทำงานสแกมเมอร์ผู้ที่พยายามหลบหนีหรือไม่เชื่อฟังพวกเขา" ศาลในมณฑบเวิ่นโจวระบุว่า แก็งตระกูลหมิงได้ทำการสังหารผู้คน 14 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มี 10 ราย ที่เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานสแกมเมอร์แล้วพยายามหลบหนีหรือไม่ยอมทำตามคำสั่งของแก๊ง นอกจากนี้ยังมีคำให้การในชั้นศาลที่พาดพิงถึงเหตุการณ์เดือน ตุลาคม 2565 คือเหตุการณ์ที่แก๊งตระกูลหมิงได้เปิดฉากยิงใส่ชาวจีนที่พวกเขาจับตัวมาเสียชีวิต 4 ราย เพื่อที่จะไม่ต้องส่งตัวชาวจีนเหล่านี้ให้กับทางการจีน ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทางการจีนได้เพิ่มความร่วมมือกับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการปราบปรามศูนย์สแกมเมอร์ ทำให้มีชาวจีนกลายพันคนได้รับการปล่อยตัวและส่งตัวกลับประเทศ และทางการพม่าก็เคยส่งตัวผู้ต้องสงสัยว่าถูกค้ามนุษย์เข้าไปศูนย์สแกมเมอร์กลับประเทศจีนรวมหลายพันราย ในหมู่ผู้ที่ถูกตัดสินลงโทษในคดีตระกูลหมิงนี้ มีอยู่ 5 ราย ที่ได้รับการพักโทษประหารเป็นเวลา 2 ปี โดยมีโอกาสที่จะเปลี่ยนคำตัดสินเป็นจำคุกตลอดชีวิตได้ แต่อีก 11 รายที่เหลือถูกตัดสินประหารชีวิตโดยไม่มีการพักโทษ ในจำนวน 11 รายนี้มี Ming Guoping หรือ Mg Myin Shaut ที่มีพ่อชื่อ Ming Xuechang ชาวจีนสัญชาติพม่าที่เป็นหัวหน้าแก๊งของตระกูล ส่วนหลานสาวของ Ming Xuechang ชื่อ Ming ZhenZhen หรือ Ma Thiri Maung ก็ถูกลงโทษประหารชีวิตเช่นกัน โดยที่ Ming Xuechang หัวหน้าแก็ง ยังคงดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส.ในรัฐฉานและเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้นำโกก้าง เขาเคยถูกตำรวจจีนจับกุมตัวและเสียชีวิตในขณะถูกคุมขังเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2566 โดยดูเหมือนจะเป็นการฆ่าตัวตาย นอกจากตระกูลหมิงแล้ว จำเลยรายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ต่างก็ถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลในเจ้อเจียงเริ่มพิจารณาคดีตระกูลหมิงมาตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งทางอัยการเปิดเผยว่าแก๊งตระกูลหมิงนั้นได้ก่อตั้งเครือข่ายศูนย์์สแกมเมอร์โดยมีคนที่ทำงานเป็นสแกมเมอร์ในนั้นรวมหลายพันชีวิต มีการใช้กลโกงหลายรูปแบบเพื่อหลอกเหยื่อไม่ว่าจะเป็นการล่อลวงให้ลงทุน การปลอมแปลงทางออนไลน์เพื่อล่อลวงเอาข้อมูลส่วนตัวแบบที่เรียกว่า 'ฟิชชิง' (phishing) และการขู่กรรโชคทรัพย์ คดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของการที่ทางการจีนพยายามปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์และเหล่าสแกมเมอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งต่อความรู้สึกและต่อทรัพย์สินการเงินของประชาชนชาวจีนจำนวนมาก โดยที่จีนมุ่งเป้ากลุ่มผู้ต้องสงสัยว่าอยู่ที่แถบชายแดนสามประเทศ คือ ไทย, ลาว, พม่า ที่เรียกว่าสามเหลี่ยมทองคำ ส่วนกรณีของแก๊งตระกูลหมิงนี้มีพื้นที่ปฏิบัติการอยู่ที่เขตโกก้างทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐฉาน ที่อยู่ใกล้กับมณฑลยูนนานของจีน เรียบเรียงจาก Chinese court sentences 16 Myanmar-linked gang members to death, HKFP, 29-09-2025 Chinese court hands death sentences to 16 people linked to Myanmar crime family, SCMP, 29-09-2025   * ข่าว * ต่างประเทศ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * จีน * อาเซียน * ตระกูลหมิง * โกก้าง * พม่า
dlvr.it
prachatai.com
คำ ผกา: Grand compromise หรือ Grand sale
คำ ผกา: Grand compromise หรือ Grand sale คำ ผกา   sarayut Tue, 2025-10-07 - 18:58 ฟังเรื่องแกรนด์คอมโพรไมซ์จากปากของธนาธร และถูกขยายความผลิตซ้ำโดยองคาพยพของพรรคประชาชนและคณะก้าวหน้าแล้วเกือบจะอุทานออกมาว่า “ไปหลับอยู่ที่ไหนมา?” ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 2566 ในทุกๆ เวทีดีเบตของพรรคเพื่อไทย พวกเขาพยายามเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามว่า"จะร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐหรือรวมไทยสร้างชาติหรือไม่?" ด้วยเหตุผลสองประการคือ หนึ่ง เขาขายยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์เพื่อจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่ต้องร่วมกับใครหรืออย่างน้อยก็สวยเลือกได้ เลือกร่วมเฉพาะบางพรรค สอง พรรคเพื่อไทยย่อมรู้ว่า การจัดตั้งรัฐบาลเป็นคณิตศาสตร์ เป็นตัวเลข หากเพื่อไทยชนะแลนด์สไลด์ การตั้งรัฐบาลต้องไปดูตัวเลขจำนวน ส.ส.กันหน้างาน จึงเป็นที่มาของคำพูดแพทองธารที่ว่า “ทุกอย่างเป็นไปได้” และนั่นเป็นเหตุผลที่พรรคก้าวไกล ณ เวลานั้นเลือกโจมตีพรรคเพื่อไทยในช่วงหาเสียงว่า “พรรคเพื่อไทยไม่ชัดเจนเรื่องมีลุงมีเราหรือไม่มีเรา” จากนั้นก็ปลุกเร้าจินตนาการโดยการปราศรัยว่าพรรคเพื่อไทยเตรียมดีลกับอำนาจเก่า ดีลกับประยุทธ์ เพียงเพราะอยากเป้นรัฐบาล พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ compromise พร้อมดีล พร้อมประนีประนอม พร้อมกราบ จากนั้นพรรคก้าวไกลก็เดินหน้าขายแบรนด์ของพรรคที่สันหลังตรง  สู้กว่าใคร เป็นตัวเลือกที่จะไม่ทรยศประชาชน จะไม่กราบ จะแก้รัฐธรรมนูญ เรื่อง ม.112  "หากแก้ไม่ได้ก็ไปยกเลิกด้วยกัน" นั่นคือประโยคที่ทิม พิธา กล่าวบนเวทีหาเสียงอยุธยา จากนั้นสื่อมวลชน เวทีดีเบตก็ “สนุก” มากกับการบี้ให้เพื่อไทยจะต้องตอบให้ได้ว่ามีลุงมีเราหรือไม่? กระแสนี้ส่งไปยังมวลชนในพื้นที่ แคนดิเดต ส.ส. ต้องเจอกับคำถามว่า ถ้าเลือกเพื่อไทยหมายถึงพ่วงประยุทธ์หรือไม่? ด้วยเหตุดังนั้นจึงนำไปสู่การประกาศของหมอชลน่านบนเวทีดีเบตว่า “เอาตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นเดิมพัน ถ้าไปจับมือกับลุงจะลาออกจากหัวหน้าพรรค” ตัวฉันเองจัดรายการ inhereyes หน้าเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่สยามฯ ช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงว่า “พรรคเพื่อไทยห้ามประกาศว่าจะจับมือใครไม่จับมือใคร เพราะเราไม่มีวันรู้ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร เพราะมันไม่มีอะไรจริงไปกว่า การบอกว่า เราไม่อยากจับมือกับใครเลย เราอยากเป็นรัฐบาลพรรคเดียว แต่ถ้าเราไม่แลนด์สไลด์ เราก็รับไม่ปากไม่ได้หรอกว่าหน้าตารัฐบาลผสมจะออกมาอย่างไร” และสังคมไทย คนไทย สื่อ ควรเลิกมองโลกแบบ “สัมบูรณ์” มองโลกแบบ ขาวเท่านั้นดำเท่านั้น เลิกมองโลกด้วยโลกทัศน์แบบ “ผิดจากนี้ไม่ใช่เรา” เพราะในชีวิตจริงทุกคนล้วนมีชีวิตอยู่บนการต่อรองและอยู่ในสภาวะที่ไม่สมบูรณ์และมีพลวัตรมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนย้ายตำแหน่งแห่งที่ของตนเองไปตามเหตุ ปัจจัย และเงื่อนไขที่ถูกกำหนดจาก “คนอื่น” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเที่ยวไปพูดว่า “มีกรณ์ไม่มีกูมีหนูไม่มีเรา” หรือแม้แต่ “มีลุงไม่มีเรา” ล้วนแต่เป็นการพูดโดยทึกทักไปเองว่าตัวฉันนั้นกำกับโลกได้ ตัวฉันนั้นมีอาญาสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายให้คนได้ เป็นโลกทัศน์ที่ดูเบาเอเจนซี่ของคนอื่นแล้วคิดว่าเจตจำนงของตนเองถูกต้องที่สุด ชอบธรรมที่สุด ดังนั้นโลกทั้งใบจงทำในสิ่งที่ฉันบอกให้ทำ เป็นในสิ่งที่ฉันบอกว่าพวกเธอควรจะเป็น ณ วันนั้น พรรคก้าวไกลได้พยายามใช้เรื่องนี้เป็นจุดขายเพื่อจะ “ชนะ“ พรรคเพื่อไทย โดยไม่คำนึงว่ามันสอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริงหรือไม่? เพื่อเราทักว่าสิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง บรรดา ”ส้มส้ม“ ก็บอกว่า ”พวกเธอมันไม่กล้าฝัน พวกเรากล้าฝัน แค่กล้าจะฝันก็ชนะแล้ว” ฉันฟังแล้วก็ตะโกนออกมาดังว่า “จ้า เอาที่มึงสบายใจจ้า” จะด้วยความห่วยของพรรคเพื่อไทยหรือจะด้วยอะไรก็ตาม สุดท้ายพรรคเพื่อไทยก็เป็นได้เพียงพรรคอันดับสอง พรรคก้าวไกลนั้นได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากประชาชนชาวไทยได้ ส.ส. มามากถึง 151 คน ฉันขอข้ามรายละเอียด เพราะเราคงฟังและอ่านไทม์ไลน์นี้จนเอียนว่า แม้พรรคเพื่อไทยยกมือโหวตให้พิธาเป็นนายกฯ ถึงสองครั้ง พรรคก้าวไกลก็ข้ามด่านนี้ไปไม่ได้และวรรคทองของ ชาดา ไทยเศรษฐ ยังตราตรึงนั่นคือ “หากพรรคก้าวไกลจะลบนโยบายเกี่ยวกับ 112 ออก จะยอมยกมือให้พิธาเป็นนายกฯแล้วภูมิใจไทยจะยอมเป็นฝ่ายค้าน” ณ วันนั้น พรรคก้าวไกลก็ขายความหล่อด้วยการบอกว่า เราจะไม่ทรยศประชาชน ประชาชนเลือกเรามาเพราะนโยบายนี้ ดังนั้นเราจะไม่เอานโยบายนี้ออกไป และนั่นก็ทำให้พรรค “ส้ม” ได้รับเสียงสรรเสริญว่า เป็นพรรคการเมืองที่กระดูกสันหลังตั้งตรงที่สุดในประเทศไทย เป็นพรรคการเมืองที่เข้ามาทำการเมืองเพราะอยากเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่ได้เข้ามาเพราะกระหายอำนาจ จนเมื่อพรรคเพื่อไทยข้ามขั้วไปตั้งรัฐบาลกับพรรคอื่นๆที่เหลือ พรรคก้าวไกลก็สาดวาทกรรม “ตระบัดสัตย์” ใส่พรรคเพื่อไทยทันที โกหก หลอกลวง ตระบัดสัตย์  ไม่นับคำบริภาษ เย้ยหยันในปริมาณมหาศาล ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองก็งงๆ ว่า “แล้วจะให้ทำยังไง?” เพราะเมื่อมีโอกาสจะเป็นรัฐบาล มีโอกาสจะเป็นนายกฯ มีโอกาสจะ “ทำงาน”  ใครบ้างจะไม่คว้าโอกาสไว้  ที่สำคัญการข้ามขั้วนี้ ข้ามขั้วแบบที่เป็น “แกนนำ” ข้ามขั้วในแบบที่มีนายกฯ มาจากแคนดิเดตของพรรค ที่สำคัญไม่มีทั้งประยุทธ์ และ ไม่มีทั้งประวิตร มิใยที่นักวิชาการที่พอจะมีสติอยู่บ้างอย่าง อ. สิริพรรณ นกสวน สวัสดี จะออกมาอธิบาย การผิดสัญญาของพรรคการเมืองเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย   ถามว่ามันกระทบคะแนนนิยมไหม? คำตอบคือ "กระทบ" ถามว่ามันขัดกับหลักการประชาธิปไตยไหม? คำตอบคือ "ไม่ขัด" หรือตัวฉันเอง พยายามจะอธิบายการกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปเป็นประชาธิปไตยนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง “ประนีประนอมกับอำนาจเก่าที่เคยเป็นศัตรูกับเรา เพราะมีแต่การหาจุดลงตัวทางอำนาจและผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายไปพร้อมๆ กับการประคองการเลือกตั้งให้ราบรื่นยาวนาน คือเครื่องมือเดียวที่เราจะสั่งสมวัฒนธรรมประชาธิปไตยไปพร้อมๆกัน” ถามว่า ณ วันที่ฉันพูดเช่นนี้มีคนฟังไหม? คำตอบคือ "ไม่" นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังออกมาด่า ประนาม แคนเซิล ว่าฉันนั้นทอดตัวไปรับใช้พรรคการเมือง ขายวิญญาณ สรรหาคำอธิบายมาสร้างความชอบธรรมให้พรรคที่ตนเองแบก และโศกนาฎกรรมหลังจากนั้นคือ ไม่ว่าฉันจะเขียนหรือพูดอะไร ก็จะถูกบอมบาร์ดด้วยคอมเมนต์ซ้ำๆ ว่า “แบก แบก แบก แบก” วนไป มันไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงที่สังคมไทยอันมีรากฐานของการเข้าใจโลกและระบบการให้ “คุณค่า” ของเรายังอยู่บนฐานของละครคุณธรรม ทั้งพล็อตวัลลี (ลูกกตัญญูกับคนชั้นกลางที่แสนใจดี), ครูบ้านนอก (ข้าราชการที่ทุ่มเท เสียสละ), เขาชื่อกานต์ (หมอที่อุทิศตนเพื่อผู้ยากไร้ปะทะกับข้าราชการมาเฟียจนตาย) หรือ บุคคลจริงไม่ใช่นิยาย แต่ชีวิตของพวกเขาถูกทำให้กลายเป็นตำนานแห่งคุณธรรม ความดี สัญลักษณ์ของการต่อสู้ เช่น สืบ นาคะเสถียร, อิศรา อมันตกุล, จิตร ภูมิศักดิ์ หรือแม้แต่ ปรีดี พนมยงค์ ด้วยโครงเรื่องที่เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจโลกเช่นนี้ คนไทยเกือบร้อยละร้อย จึงพร้อมจะมองการเมืองและพรรคการเมืองบนโครงเรื่องนี้ พรรคส้ม คือส่วนผสมของ เขาชื่อกานต์ วัลลี จิตร ภูมิศักดิ์ ปรีดี พนมยงค์ อิศรา อมันตกุล สืบ นาคะเสถียร จะว่าไปแล้ว พรรคส้มนี่แหละคือนักปฏิบัติการทางวัฒนธรรมที่ช่ำชอง เพราะมี ”ตัวเล่น“ ที่ถอดแคแรคเตอร์ของ “ไอดอล” ละครคุณธรรมมาครบ ทั้ง สตรีนักต่อสู้คอระหงที่มักสวมชุดราตรีออกงานแต่แท้จริงแล้วในสนามรบเธอคือนักฆ่า, ไพร่หมื่นล้านผู้ไม่แยแสความมั่งคั่งของตระกูลแต่กลับอยากทำลายพริวิลเลจนั้นเพื่อมวลชน, หลานสาวของอดีตนายกฯ ที่ถูกรัฐประหารเป็นส่วนหนึ่งของอีลีต มีพ่อเป็นพันธมิตรผู้หันหลังให้กับเลือดสีน้ำเงินของตนเองมาต่อสู้เคียงข้างผู้รักความเป็นธรรม, อดีตนักหนังสือพิมพ์คนหนุ่มผู้ทรนง, ด็อกเตอร์สาวนักเศรษฐศาสตร์มือฉมัง แถมด้วยอดีตแอคดิวิสต์ผู้แข็งกร้าวอีกจำนวนนับไม่ถ้วน, เรียกว่าตัวละครแบบที่เป็นโครงเรื่องประจำชาติไทยมาครบทุกบทบาท ส่วนพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ไม่อ่านนิยายน้ำเน่า สนามวัฒนธรรมนี้เพื่อไทยแพ้หมดเพราะ ”จริงเกินไป“ นอกจากไม่อ่านวรรณกรรมแล้ว พรรคเพื่อไทยเชื่ออย่างซื่อๆ ว่า นโยบายเราดี เดี๋ยวเรามีผลงาน ประชาชนก็เห็นเอง ในโครงเรื่องละครคุณธรรม พรรคเพื่อไทยคือตัวแทนของนักการเมือง พ่อค้า นายทุนผู้ละโมบ ร่ำรวยแต่ไร้รสนิยม (อยู่ใน narrative ที่วิจารณ์การแต่งตัวของนายกฯ แพทองธาร) พรรคเพื่อไทยในโครงเรื่องละครก็จะลงตัวในบทของตัวอิจฉาที่มาจากครอบครัวรวยแต่โกง ดังนั้น การข้ามขั้วตั้งรัฐบาลของเพื่อไทยเมื่อเจอกับวาทกรรมตะบัดสัตย์ และมีต้นทุนของขบวนการสร้างปิศาจทักษิณเป็นหัวเชื้อตั้งแต่ก่อนรัฐประหารปี 2549 จึงเป็นพล็อตของเรื่องเล่าที่ครบองค์ประกอบที่จะให้สังคมไทยกระแสหลักเกลียด เกลียด และเกลียดแบบไม่ต้องมีเหตุผล รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะทำนโยบายดีอีกห้าร้อยอย่างสำเร็จ พวกเขาก็จะเกลียดอยู่ดี เพราะมันถูก fixed ไว้เป็นตัวละครฝ่าย “โจร” เหมือน กิ๊ก สุวัจจนีต้องเล่นบทเป็นตัวร้ายตลอดไป ณ ปัจจุบันสมัย ภายใต้โครงเรื่องแบบละครคุณธรรม พรรคประชาชน จึงเป็นตัวแทนของสิ่งที่เป็นน้ำดี เป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิต เป็นบทแห่งสติปัญญา เป็นบทกวี เป็นศิลปะ เป็นแฟชั่น เป็นหอมกลิ่นความเจริญ แต่กฎแห่งกรรมย่อมหา fast track  ของมันจนเจอ วันที่ฉันมีความสุขและเอนโดฟีนหลั่งแรงที่สุดคือวันที่พรรคประชาชนคนดีพากันขานชื่ออนุทินเป็นนายกฯ เออ ให้มันจบๆไป นางฟ้านางสวรรค์ทั้งหลายได้คืนสู่ร่างเก่าของตัวเองเสียที เลิกเล่นละครเป็น “ฟ้าบ่กั้น” แล้วคืนร่างเป็นนิยายน้ำเซาะทรายของกฤษณา อโศกสินตามรสนิยมที่แท้จริงของตัวเองเสียที มันจะไม่เป็นอะไรเลย หากพรรคประชาชนโหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ แล้วเข้าร่วมรัฐบาล แถลงนโยบายว่าจะทำอะไรบ้าง จะยุบสภาฯ หรือจะอยู่จนครบวาระ ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะผิด เพราะนี่หลักการรัฐสภาฯ ง่ายๆ แต่พรรคประชาชนกลับ “ยึกยัก” ไม่ร่วมรัฐบาล อ้างว่าตัวเองทำดีลเพื่อหาทางออกให้ประเทศ เพื่อยืมมือภูมิใจไทยมาแก้รัฐธรรมนูญ นี่คือ grand compromise  เพื่อ “เพื่อเปิดทางให้ประชาธิปไตยก้าวไปข้างหน้าได้ เนื่องจาก “ทุกฝ่าย” ต่างก็เหนื่อยล้า เพราะพรรคการเมืองถูกยุบ นักการเมืองถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง นักกิจกรรมทางการเมืองติดคุก นักสิทธิมนุษยชนต่างทำงานหนัก และฝ่ายรัฐพันลึก (Deep State) เองก็คงจะวิตกกังวลและเหนื่อยล้ากับการต่อต้านของคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน” http://prachatai.com/journal/2025/10/114928 ถ้าธนาธรเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ก็นับว่าความรู้ช้ากว่าเพื่อไทยและนางแบกไปถึงสองปี และคำถามของฉันคือ แล้วตอนนั้นด่าเพื่อไทยทำไมวะ? แย่ไปกว่านั้น grand compromise นี้เป็นการโกหกคำโต เพราะแท้จริงแล้วมันคือการเซ้งพรรคทิ้ง เพราะแท้จริงแล้วมันไม่ใช่การประนีประนอมเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย เพราะการที่พรรคประชาชนโหวตนายกฯที่มาจากพรรคอันดับสาม แต่ไม่ยอมร่วมรัฐบาลแถมยังให้ทอดเวลาไป 4 เดือนมันคือการรัฐประหารเงียบ เพราะการไม่เข้าร่วมเป็นรัฐบาลของ “ส้ม” และ การให้เวลา 4  เดือนทำให้เกิด * ทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ของนักการเมือง ส.ส. จากทั่วสารทิศไหลเข้าภูมิใจไทยรวมทั้งจากเพื่อไทยด้วย เพราะมีทรัพยากรเนืองนองกว่า โอกาสชนะย่อมมีมากกว่า หรือไม่ก็ย้ายไปกล้าธรรม    * ฝ่ายอนุรักษ์นิยมฟื้นตัว ตอนนี้เราเห็นการกลับมามีบทบาททางการเมืองของแกนนำและอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เช่น สุชัชวีร์ กัลยา โสภณพานิชย์ กรณ์ จาติกวานิชย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกครั้ง   * ภูมิใจไทยกุมอำนาจได้ทั้งสภาสูงและสภาล่าง และเวลาสี่เดือนเป็นเวลาที่มากพอที่จะทำให้ปีกอนุรักษ์นิยมกลับมาครองอำนาจในการเมืองอีกครั้ง นี่คือวิบากกรรมที่สังคมไทยต้องเจอจากการสมรู้ร่วมคิดของพรรคประชาชน และฉันคิดว่ามันสำคัญมากๆ ที่สังคมต้องตระหนักว่า วิบากกรรมนี้พรรคประชาชนมีส่วนสมรู้ร่วมทำในนามของ Grand compromise ธนาธรรู้หรือไม่ว่า Grand compromise นี้ทำให้พรรคประชาชน “ตายทั้งเป็น” ถามว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะชูจุดขายอะไร? ฉันเป็นพรรคที่ทำให้เรามีรัฐมนตรีที่เริ่ดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยชื่อศุภจี?  ฉันคือพรรคที่ทำให้ภูมิใจไทยและเนวินกลับมายิ่งใหญ่? ฉันคือพรรคการเมืองอันดับหนึ่งที่ประเคนอำนาจรัฐให้พรรคอันดับสาม? ถามอีกครั้ง ครั้งหน้าพรรค “ส้ม” จะขายอะไรนอกจากขายหน้า จาก Grand compromise คงจะเหลือแค่พรรค Grand sale ให้เขาทุบราคาลงอีกแล้วติดป้ายเป็นพรรคสาขาภูมิใจไทยให้จบๆ ไป     * บทความ * การเมือง * คำ ผกา * Grand Compromise * พรรคประชาชน * ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
dlvr.it
prachatai.com
สมาคมอุทยานแห่งชาติค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ด้านที่ดินและป่าไม้
สมาคมอุทยานแห่งชาติค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ด้านที่ดินและป่าไม้ auser15 Tue, 2025-10-07 - 18:22 ประธาน กมธ.ทรัพยากรธรรมชาติฯ วุฒิสภา รับเรื่องร้องคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผู้กระทำผิดด้านที่ดินและป่าไม้ จากการดำเนินนโยบายรัฐ จาก 'สมาคมศิษย์เก่าเก่าวนศาสตร์-สมาคมอุทยานแห่งชาติ-ภาคีเครือข่ายรักประเทศไทย' เรียกร้อง สส. เร่งถอนร่างกฎหมายออกจากการพิจารณาชั้น กมธ. 7 ตุลาคม 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า  นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา พร้อมคณะ รับหนังสือแถลงการณ์คัดค้านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่ราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามมโยบายของรัฐด้านที่ดินและพรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายหรือให้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน พ.ศ. .... จาก นายพสิษฐ์ เอี๋ยวพานิช นายกสมาคมอุทยานแห่งชาติ และคณะ ในนามผู้แทน 3 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมศิษย์เก่าเก่าวนศาสตร์ สมาคมอุทยานแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายรักประเทศไทย นายพสิษฐ์ เอี๋ยวพานิช นายกสมาคมอุทยานแห่งชาติ กล่าวว่า สมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ สมาคมอุทยานแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายรักประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญที่มีพันธกิจด้านการส่งเสริมและมีพันธกิจด้านการส่งเสริมสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ขอคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับต่อร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว มีเจตนารมณ์ที่จะนิรโทษกรรมต่อผู้กระทำผิดไม่เฉพาะประชาชนผู้ยากไร้ ซึ่งรัฐได้มีมาตรการเยียวยาไปแล้ว แต่มีเจตนาแอบแฝงให้มีผลไปถึงนายทุน ผู้มีอิทธิพล และนักการเมือง ที่กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยที่ดิน ป่าไม้และสัตว์ป่า เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง หรือไม่ อย่างไร ขณะเดียวกัน เห็นว่า พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน เป็นการนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำผิดในอดีต และผู้ที่จะกระทำความผิดในปัจจุบันและในอนาคตด้วย ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคล บุกรุกที่ดินป่าไม้เพิ่มขึ้น พร้อมเห็นว่า กรณีการคืนสิทธิในที่ดินให้กับผู้ได้รับนิรโทษกรรม ตามร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว อาจเป็นการให้อภิสิทธิ์แก่ผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมีเจตนาก้าวล่วงหรือละเมิดอำนาจศาล รวมถึงเห็นว่า ผู้เสนอและผู้สนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว อาจละเมิดมาตรฐานทางจริยธรรมแห่งข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และกรรมาธิการ พ.ศ.2563 ข้อ 4 6 และ 21 และมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 นอกจากนี้ ยังเห็นว่า คณะผู้เสนอและผู้สนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว อาจจะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมายในอีกหลายกรณีด้วย ดังนั้น ทั้ง 3 องค์กร จึงขอแสดงจุดยืนให้ สส.ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ ถอนร่างฯ ออกจากการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยด่วน พร้อมขอเรียกร้องให้ สส. สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. .... ไม่ให้การสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว แต่หากยังไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้อง ทั้ง 3 องค์กร จำเป็นต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ต่อไป ด้าน ประธาน กมธ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา กล่าวภายหลังรับหนังสือ ว่า จากการศึกษาร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว พบความน่ากังวลประมาณ 5 - 6 ประการ โดยตนเชื่อว่าหากร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะทำให้เกิดขบวนการบุกรุกป่า แล้วให้เจ้าหน้าที่รัฐจับกุม เพื่อหวังผลให้เกิดการนิรโทษกรรม และได้ครอบครองที่ดินในป่าซึ่งที่เป็นที่ของรัฐ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อที่ดินแต่อย่างใด และที่สำคัญ ตนขอวิงวอนให้ผู้เกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ถอนร่างกฎหมายออกไปทบทวนใหม่ แล้วจัดสรรที่ดินให้กับผู้ยากไร้ เพื่อไม่ให้เกิดการออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุน  * ข่าว * การเมือง * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * นิรโทษกรรมผู้กระทำผิดด้านที่ดินและป่าไม้ * สมาคมศิษย์เก่าเก่าวนศาสตร์ * สมาคมอุทยานแห่งชาติ * ภาคีเครือข่ายรักประเทศไทย
dlvr.it
prachatai.com
ชาวบ้านทวงถามข้อมูลกรณีโรงไฟฟ้าขยะหนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ชาวบ้านทวงถามข้อมูลกรณีโรงไฟฟ้าขยะหนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา auser15 Tue, 2025-10-07 - 17:31 ชาวบ้านทวงถามข้อมูลสํานักงานคณะกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) และศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย หลังยื่นเรียกร้องกรณีโรงไฟฟ้าขยะหนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แต่ไม่มีความคืบหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 7 ตุลาคม 2568 มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) รายงานว่าวานนี้ (6 ต.ค.) ตัวแทนชาวบ้านชุมชนตำบลหนองสาหร่ายจำนวน 100 คน ซึ่งเป็นผู้มีที่อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงกับโครงการจัดการขยะมูลฝอยแบบบูรณาการ ขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองสาหร่าย  ในพื้นที่หมู่ 19 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา (โรงไฟฟ้าขยะ) ได้เดินทางมายังสํานักงานคณะกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) และศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย เพื่อยื่นหนังสือทวงถามข้อมูลหลักเกณฑ์ในการพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ตลอดจนหลักเกณฑ์ในการเลือกพื้นที่ตั้งโครงการ ซึ่งชาวบ้านมีความกังวลเป็นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่ตั้งโครงการอยู่ในเขตชุมชน โดยการยื่นหนังสือในครั้งนี้ที่สำนักงาน กกพ. ได้มีนายวัลลภ จิวหลง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการมีส่วนร่วมและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เป็นผู้รับหนังสือพร้อมทั้งชี้แจงว่าประเด็นข้อห่วงกังวลของชาวบ้านนั้นทางสำนัก กกพ. ได้มีการรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว และยังไม่มีการออกใบอนุญาตการก่อสร้างอาคาร (อ.1) แต่อยู่ระหว่างการพิจารณา อย่างไรก็ตามชาวบ้านได้มีการสอบถามถึงวันที่แน่ชัดที่จะมีการพิจารณาใบอนุญาติแลัวเสร็จ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถระบุระยะเวลาการดำเนินการที่แน่ชัดให้กับชาวบ้านได้ ขณะเดียวกัน ณ ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย ชาวบ้านได้แจ้งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนได้รับทราบว่าได้มีการยื่นเรื่องขอข้อมูลข่าวสารและหลักเกณฑ์ในการตั้งโครงการ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับจากหน่วยงาน เจ้าหน้าที่ของศูนย์ดำรงธรรมจึงได้ติดต่อประสานงานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งติดตามต่อไป ด้านตัวแทนชาวบ้านกล่าวว่าที่เดินทางมาจากจังหวัดนครราชสีมา มายังหน่วยงานทั้ง 2 ที่ เนื่องจากมีความกังวลใจ เพราะเกรงว่าทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการออกใบอนุญาติก่อสร้างอาคารไปแล้ว และไม่อยากให้มีโรงไฟฟ้าขยะเกิดขึ้น เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตชุมชน และพื้นที่โดยรอบโครงการนั้นมีความสำคัญกับอาชีพและเศรษฐกิจของชุมชนเป็นอย่างมาก เช่น แหล่งท่องเที่ยว แหล่งเกษตรกรรม แหล่งโอโซน ปศุสัตว์ เป็นต้น ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมที่ดี การมีโครงการโรงไฟฟ้าขยะในพื้นที่ชุมชนเช่นนี้อาจสร้างมลพิษและสร้างผลกระทบให้กับชุมชนได้ จึงอยากขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทบทวนโครงการดังกล่าวและมีความหวังว่าการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าขยะนี้จะยุติลง * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * โรงไฟฟ้าขยะหนองสาหร่าย * ปากช่อง * นครราชสีมา * มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม * EnLAW
dlvr.it
prachatai.com
มติ ครม.ไฟเขียว 'คนละครึ่งพลัส' หวังกระตุ้นเศรษฐกิจถึงระดับฐานราก
มติ ครม.ไฟเขียว 'คนละครึ่งพลัส' หวังกระตุ้นเศรษฐกิจถึงระดับฐานราก auser15 Tue, 2025-10-07 - 17:16 ครม.ไฟเขียวมาตรการ 'คนละครึ่งพลัส' ช่วยประชาชน 20 ล้านคน หวังกระตุ้นเศรษฐกิจถึงระดับฐานราก คาดจะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 88,000 ล้านบาท 7 ตุลาคม 2568 เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาโครงการคนละครึ่ง พลัส ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบโครงการคนละครึ่ง พลัส (โครงการฯ) และกรอบวงเงินงบประมาณจำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาท โดยมอบหมาย กค. โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขรายละเอียดที่ไม่ขัดกับหลักการโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพ 2. เห็นชอบให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 25,000 ล้านบาท และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 25,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สศค. และอนุมัติให้ สศค. เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ 3. เห็นชอบให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 19,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สศค. สำหรับการดำเนินโครงการฯ ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 19,000 ล้านบาท กค. โดย สศค. จะได้ดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป 4. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ (1) กค. โดยกรมบัญชีกลางทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินแทนกัน (2) กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยกรมการปกครองตรวจสอบคุณสมบัติและคัดกรองกลุ่มเป้าหมายด้านการทะเบียนราษฎรโครงการฯ และหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ ตามที่ กค. โดย สศค. กำหนด (3) สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กรมการขนส่งทางบก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมการพัฒนาชุมชน สนับสนุนข้อมูลร้านค้าให้ สศค. เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติร้านค้าเป็นร้านค้าในโครงการฯ (4) มท. และกรุงเทพมหานครดำเนินการยืนยันการประกอบกิจการจริงของร้านค้าที่ประสงค์สมัครเข้าร่วมโครงการฯ 5. เห็นชอบให้ สศค. มอบอำนาจให้หน่วยงานในสังกัด มท. ที่ได้รับมอบหมายดำเนินการทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ แทน สศค. โดยให้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมอบอำนาจต่อไป 6. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ และมอบหมาย กค. โดยกรมสรรพากรพิจารณาดำเนินการยกร่างกฏหมายและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป “ โครงการคนละครึ่ง พลัส เป็นโครงการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถึงระดับฐานราก โดยภาครัฐให้การสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดให้แก่ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการ เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพในชีวิตประจำวันแก่ประชาชนให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มการบริโภค สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ กระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2568 ได้อย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงการคลังประมาณการว่าการดำเนินโครงการฯ จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนประมาณ 88,000 ล้านบาท และช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.21 – 0.22ในปี 2568 เมื่อเทียบกับไม่มีโครงการฯ รวมทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * คนละครึ่งพลัส * คนละครึ่ง
dlvr.it
prachatai.com
สลายการชุมนุมพันธมิตรฯ หลังล้อมรัฐสภาไม่ให้ ครม.สมชาย เข้าแถลงนโยบาย
สลายการชุมนุมพันธมิตรฯ หลังล้อมรัฐสภาไม่ให้ ครม.สมชาย เข้าแถลงนโยบาย โยษิตา สินบัว ภาพ/รายงาน admin666 Tue, 2025-10-07 - 16:40 7 ต.ค. 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ ‘กลุ่มเสื้อเหลือง’ ซึ่งปักหลักปิดล้อมอาคารรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม เพื่อกดดันไม่ให้คณะรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้าแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา โดยมองว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมที่จะเข้ามาบริหารประเทศ และไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนำมาสู่การสลายการชุมนุมในวันดังกล่าว หลังผลการเลือกตั้งทั่วไป 2550 พรรคพลังประชาชน ซึ่งถูกมองว่าเกี่ยวข้องกลุ่มอำนาจของ ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลผสม รวมถึงมีการพยายามแก้รัฐธรรมนูญ 2550 ทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ กลับมาชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 22 พ.ค. 2551 เรื่อยมา เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากตำแหน่ง การชุมนุมครั้งนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ออกแบบรูปแบบการเคลื่อนไหว คือ ‘ยุทธศาสตร์ดาวกระจาย’ และ ‘ยุทธการสงคราม 9 ทัพ’ ในการกระจายมวลชนไปสถานที่ราชการต่าง ๆ กระทั่ง ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้ สมัคร สุนทรเวช พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ในวันที่ 9 ก.ย. 2551 ทำให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาชุมนุมต่อต้านกลุ่มพันธมิตรฯ และเกิดการปะทะกันระหว่างมวลชน 17 ก.ย. 2551 สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นำมาสู่การปิดล้อมอาคารรัฐสภาโดยกลุ่มพันธมิตรฯ วันที่ 6 ต.ค. 2551 เพื่อกดดันไม่ให้คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา โดยอ้างว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ระหว่างที่ผู้ชุมนุมปักหลักข้ามคืน เช้าวันที่ 7 ต.ค. 2551 ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดมยิงแก๊สน้ำตา เพื่อเปิดเส้นทางให้คณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาเข้าไปประชุมรัฐสภาและแถลงนโยบาย แต่เมื่อเปิดประชุมพบว่ามีผู้เข้าร่วมเป็นเพียง สส. พรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านได้คว่ำบาตรการแถลงนโยบายครั้งนี้ หลังการแถลงนโยบายเสร็จในช่วงบ่าย สมชายไม่สามารถจะเดินทางออกจากที่รัฐสภาได้ เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปิดกั้นประตูทางออกแทบทุกทาง จึงต้องเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจ ขณะที่ สส. และ สว. ยังคงติดอยู่ภายในอาคารรัฐสภาถึงช่วงเย็นของวันดังกล่าว จากนั้น ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตายิงอีกหลายนัด เพื่อเปิดทางให้ สส. และ สว. ออกมาได้ ตามที่มีการรายงานข่าวในเวลานั้น การสลายการชุมนุมส่งผลให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 443 คน โดยบางรายแขนขาดหรือขาขาด และมีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ โบว์-อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และ พ.ต.ท. เมธี ชาติมนตรี (สารวัตรจ๊าบ) อดีตสารวัตรป้องกันปราบปราม จ.บุรีรัมย์ การ์ดเสื้อเหลือง เสียชีวิตจากเหตุถูกระเบิดในรถยนต์ หน้าพรรคชาติไทย หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมเกิดขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ขณะนั้น) ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ช่อง 3 วันที่ 10 ต.ค. 2551 กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลสมชาย แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนกลุ่มพันธมิตรฯ ครั้งนี้ หมายเหตุ - ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการปริญญานิพนธ์วารสารสนเทศและสื่อใหม่ (Senior Project) ของนิสิตภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2567 โดยมีผู้จัดทำคือ โยษิตา สินบัว #OnThisDay #บันทึกกาลเมืองไทย #ชุมนุมพันธมิตร #เสื้อเหลือง อ้างอิง * การเมืองไทยร่วมสมัย พ.ศ. 2540-2563 : พัฒนาการทางการเมือง ความขัดแย้ง และประชาธิปไตย * พันธมิตรกู้ชาติ บทพิสูจน์ความกล้า เสียสละ อหิงสา. กรุงเทพฯ: ผู้จัดการ 360, 2552. 420 หน้า * “อนุพงษ์” บี้รัฐบาลรับผิดชอบ เหตุ 7 ตุลาทมิฬ - ปูด ตร.ทำปฏิวัติ * บันทึกจากผู้สื่อข่าวต่างประเทศ: เกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลา 2551 * สลายม็อบพันธมิตรฯ ขาขาด 1 สาหัส 4 ราย * ข่าว * การเมือง * พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย * การชุมนุม 7 ตุลาคม 2551
dlvr.it
prachatai.com
เผย รพ.เอกชน กว่า 300 แห่ง เตรียมร่วมโครงการทางเลือกซื้อยาลดค่าครองชีพ
เผย รพ.เอกชน กว่า 300 แห่ง เตรียมร่วมโครงการทางเลือกซื้อยาลดค่าครองชีพ auser15 Tue, 2025-10-07 - 16:19 กรมการค้าภายในร่วมประชุมหน่วยงานรัฐ-รพ.เอกชน ขานรับนโยบาย รมว.พาณิชย์ "สุขกาย สบายกระเป๋า" หวังลดค่าครองชีพประชาชนกว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี เปิดทางเลือกซื้อยาในหรือนอกโรงพยาบาลเอกชนได้ เผยล่าสุดมีกว่า 300 โรงพยาบาลเข้าร่วม เตรียม Kick off 28 ต.ค. 7 ตุลาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า จากนโยบาย นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดูแลค่าครองชีพประชาชน โดยร่วมมือกับโรงพยาบาล เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล คาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี และทำให้โรงพยาบาลรัฐลดความแออัดลง โรงพยาบาลเอกชนก็จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นนั้น ล่าสุดวันนี้กรมการค้าภายใน (DIT) ระดมความเห็น ประชุมร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สมาคมโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาล โรงพยาบาลต่างๆ ระดมความคิดเห็นเพื่อเดินหน้าโครงการ เตรียมความพร้อม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการดังกล่าวภายใต้ชื่อโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า“ ให้ประชาชนทราบราคายา เลือกซื้อยาในหรือนอกโรงพยาบาลได้ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ภายใต้โครงการ “ สุขกายสบายกระเป๋า ” ก่อนหน้านี้ มีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการ 5 เครือ จาก 11 เครือโรงพยาบาล แต่ปัจจุบันได้รับความสนใจเข้าร่วมเพิ่มขึ้นเป็น 9 เครือ และยังมีโรงพยาบาลอื่นที่ไม่ได้สังกัดเครืออีกหลายแห่งเข้าร่วม ทำให้จำนวนโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง จากสมาชิก 354 แห่ง ได้แก่ เครือ BDMS (ดุสิตเวชการ อาทิ รพ.กรุงเทพ รพ.พญาไท เป็นต้น) เครือโรงพยาบาลธนบุรี เครือ BCH (กลุ่มโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และโรงพยาบาลการุญเวช) เครือบางปะกอก-ปิยะเวช เครือรามคำแหง-วิภาราม เครือ PCL (พริ๊นซิเพิล) เครือจุฬารัตน์ เครือนวมินทร์ และเครือสินแพทย์ และโรงพยาบาลหัวเฉียว โรงพยาบาลวิภาวดี โรงพยาบาลบีแคร์ เป็นต้น นายวิทยากร กล่าวต่อว่า ความร่วมมือนี้เป็นยกระดับการให้บริการผู้บริโภค ในการขอทราบราคายาและเลือกซื้อยาจากภายนอกโรงพยาบาลได้ ถือเป็น Quick Big Win MOU ขั้นตอนต่อไป DIT และ อย. จะต้องเตรียมความพร้อม ในการกำหนดคุณสมบัติและลงทะเบียน ร้านขายยาที่มีกว่า 20,000 แห่ง เข้าร่วม ซึ่งจะประชุมในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ หลังจากมีการหารือกันทุกด้านแล้วจะเริ่ม Kick off โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 และหลังจากนั้นทุกโรงพยาบาลและร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการจะมีป้ายประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อใช้บริการได้อย่าวทั่วถึงต่อไป ทั้งนี้ ในการแสดงรายละเอียดของโรงพยาบาล จะมี “รายการยาและค่ายา” อย่างชัดเจนในใบแจ้งค่าใช้จ่าย ใบแจ้งหนี้ หรือใบเสร็จรับเงิน เพื่อให้ผู้รับบริการสามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบราคาได้ และจะได้รับใบสั่งยาเพื่อไปเลือกซื้อยาจากร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ ภายนอกโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล โดยทุกฝ่ายจะมีการร่วมมือประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับสิทธิในการรับบริการและการเลือกซื้อยาให้ทั่วถึง โดยในเฟสต่อไปจะขยายความร่วมมือไปยังคลินิกต่าง ๆ และเข้าไปดูแลเรื่อง มี โครงสร้างราคาต้นทุนยาให้เหมาะสมและเป็นธรรม DIT ย้ำว่าแผนนี้มุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลอย่างเหมาะสม * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * ยา * โรงพยาบาลเอกชน * กรมการค้าภายใน
dlvr.it
prachatai.com
'พรรคเพื่อไทย' ประกาศ "ยกเครื่องพรรค-ยกเครื่องประเทศ"
'พรรคเพื่อไทย' ประกาศ "ยกเครื่องพรรค-ยกเครื่องประเทศ" auser15 Tue, 2025-10-07 - 15:57 พรรคเพื่อไทยประกาศ “ยกเครื่องพรรค-ยกเครื่องประเทศ” เคลียร์โครงสร้างการตัดสินใจ เปิดพื้นที่รับคนรุ่นใหม่ ตั้ง "เวที Moonshot - ตาดูดาวเท้าติดดิน" สร้างนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ และตั้ง “สุริยะ” คุมศึกเลือกตั้ง 7 ตุลาคม 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า  พรรคเพื่อไทย จัดงาน “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” ที่สำนักงานใหญ่พรรค เพื่อแสดงความพร้อมสู่การเลือกตั้งหลังการยุบสภา และเปิดตัวผู้เสนอตัวเป็นผู้สมัคร สส. ล็อตแรกจำนวน 185 คน จากทั่วประเทศ ท่ามกลางบรรยากาศคึกคัก โดยมีกรรมการบริหารพรรค อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนพรรคร่วมกิจกรรม นางสาวแพทองธาร กล่าวเปิดเวทีว่า วันนี้เป็นครั้งแรกหลังความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ “หัวใจของคนเพื่อไทยได้มารวมพลังกันอีกครั้ง โดยกล่าวถึงสถานการณ์ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยถูกกระทำให้กลายเป็นฝ่ายค้าน นายทักษิณ ชินวัตร ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคต้องอยู่ในเรือนจำ และผลการเลือกตั้งซ่อมที่มีทั้งชัยชนะที่เชียงราย และความพ่ายแพ้ที่ศรีสะเกษ หลายคนพูดว่าพรรคเพื่อไทยถึงทางตันแล้ว ใกล้จะตาย สูญพันธุ์ ตนไม่เคยเชื่อแบบนั้น เพราะถ้าจะสูญพันธุ์ พรรคนี้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีผลงานเป็นรูปธรรมที่สุด และเผชิญชะตากรรมทางการเมืองอย่างสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยผ่านทั้งการรัฐประหาร 2 ครั้ง การยุบพรรค 2 พรรค การตัดสิทธิ์กรรมการบริหารเกือบ 200 คน และการปลดนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งถึง 6 คน โดยผู้ก่อรัฐประหารไม่ถูกดำเนินคดี ขณะที่ผู้ก่อตั้งพรรคถูกต้องจำ แต่ยังคงยืนหยัดได้เพราะมีประชาชนเป็นรากฐาน นางสาวแพทองธาร กล่าวย้ำว่า พรรคเพื่อไทยคือพรรคแห่งโอกาส ที่จะยังคงเดินหน้าผลักดันนโยบายเพื่อยกระดับชีวิตประชาชน เพิ่มโอกาสให้คนจน สร้างหลักประกันให้ผู้ประกอบการ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประเทศไทยในปัจจุบันยังต้องการการเมืองที่สร้างสรรค์และไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่หยุดอยู่กับที่ แต่จะปรับตัวให้เท่าทันยุคสมัย ต้องกล้าที่จะทบทวนสิ่งที่ขาดหาย เสริมจุดแข็ง สรุปบทเรียน และเปลี่ยนแปลงจากภายใน เพื่อเตรียมพร้อมสู่สนามการเมืองที่เข้มข้นกว่าเดิม เพราะถ้าเราสามารถเปลี่ยนพรรคเพื่อไทยได้ เราก็สามารถเปลี่ยนประเทศไทยได้เช่นเดียวกัน นางสาวแพทองธาร เปิดเผยถึงโครงสร้างพรรคใหม่ว่า เพื่อไทยจะเดินหน้าในรูปแบบที่มีเอกภาพ โปร่งใส และทันต่อสถานการณ์ทางการเมือง โดยกำหนดอำนาจการตัดสินใจที่ชัดเจน พรรคจะมีการนำแบบรวมหมู่ ที่รวดเร็ว โปร่งใส และมีเอกภาพ โดยกระจายอำนาจสู่คณะกรรมการภาคทั้ง 5 ภูมิภาค เพื่อให้สมาชิกและเครือข่ายในแต่ละพื้นที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง คณะกรรมการบริหารพรรคจะได้รับคำปรึกษาจาก 2 คณะหลัก ได้แก่ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ ซึ่งรวมนักคิด นักวางแผนที่อยู่กับพรรคมาอย่างยาวนาน และ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการเมือง ที่ผ่านประสบการณ์สมรภูมิทางการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย ทั้งนี้ โครงสร้างการทำงานใหม่ของพรรคแบ่งเป็น 4 เสาหลัก ได้แก่ 1. สำนักงานกิจการสภาผู้แทนราษฎร ดูแลการประสานงานและการทำงานในสภา 2. สำนักนโยบาย ศึกษาและวิจัยนโยบาย ซึ่งเป็น DNA ดั้งเดิมของพรรคไทยรักไทย 3. สำนักเลขาธิการพรรค ดูแลการบริหารงานกลาง ประสาน 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ 4. สำนักสื่อสารพรรค ดูแลยุทธศาสตร์การสื่อสารกับประชาชน นางสาวแพทองธาร ยังเปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยได้ยกเครื่องระบบรับสมัครสมาชิกและผู้ร่วมอุดมการณ์ทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ โปร่งใส และเข้าถึงง่าย เพื่อให้ทุกคนที่มีศักยภาพและแนวคิดแบบเดียวกันมีโอกาสร่วมงาน และพรรคเพื่อไทยจะเป็นพื้นที่ของคนที่เชื่อว่าประชาธิปไตยกินได้ และเชื่อว่าการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยนโยบายสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้จริง นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ผู้สมัครหน้าใหม่กว่า 100 คนที่เปิดตัวในวันนี้ มาจากระบบสมัครใหม่นี้ทั้งหมด หลายคนเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ พร้อมเติบโตไปกับพรรค นอกจากนี้ พรรคยังจัดตั้งเวที YPP (Young Pheu Thai Platform) เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้ ฝึกฝน และซึมซับแนวคิดแบบพรรคก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้งจริง และเตรียมเปิดเวทีใหม่ชื่อ “เวทีตาดูดาว เท้าติดดิน (Moonshot Forum)” เพื่อศึกษา วิจัย และค้นหาทางออกใหม่ของประเทศในยุคที่โลกเผชิญความผันผวนทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เวทีดังกล่าวจะเริ่มที่สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ ภายในเดือนตุลาคมนี้ ก่อนขยายสู่ภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนจากทุกภาคมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายโดยตรง นางสาวแพทองธาร กล่าวปิดท้ายว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือน ไม่ว่าจะอีก 2 เดือน หรือ 4 เดือน พรรคเพื่อไทยพร้อมแล้ว โดยตนแต่งตั้งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง และตั้งกองอำนวยการเลือกตั้งเพื่อขับเคลื่อนพรรคในสนามใหญ่ และจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครบทั้ง 3 คน ซึ่งจะเปิดตัวพร้อมกันในเวลาที่เหมาะสม และมั่นใจได้เลยว่าจะถูกใจประชาชนทุกระดับ” ก่อนจบการแสดงวิสัยทัศน์ นางสาวแพทองธาร กล่าวขอบคุณสมาชิกเก่า-ใหม่ ที่ร่วมทาง รวมถึงผู้สนับสนุนที่มาร่วมงาน และฝากข้อความถึงผู้สมัครทุกคนว่า นี่ไม่ใช่แค่โอกาสลงสมัคร สส. แต่คือการพิสูจน์ศักยภาพของตัวเอง เพื่อทำงานให้ประชาชนถ้าเราต่างคนต่างทำเต็มที่ ร่วมมือกันไม่ลดละ ชัยชนะจะเป็นของพวกเรา เพื่อสร้างโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตให้กับประชาชนไทยทุกคน * ข่าว * การเมือง * พรรคเพื่อไทย
dlvr.it
prachatai.com
ธนาคารโลกเตือนเอเชียตะวันออกติดกับดัก 'เติบโตแข็งแกร่ง แต่งานมีคุณภาพต่ำ'
ธนาคารโลกเตือนเอเชียตะวันออกติดกับดัก 'เติบโตแข็งแกร่ง แต่งานมีคุณภาพต่ำ' auser15 Tue, 2025-10-07 - 15:37 ธนาคารโลกคาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียตะวันออก-แปซิฟิกเติบโต 4.8% ปีนี้ นำโดยเวียดนาม 6.6% ไทย 2.0% แต่เผชิญ "ภาวะขัดแย้งการจ้างงาน" คือมีการเติบโตแข็งแกร่ง แต่งานใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการผลิตภาพต่ำและนอกระบบ เยาวชนว่างงาน สตรีเข้าสู่ตลาดแรงงานต่ำ ธนาคารโลกเรียกร้องให้ปฏิรูปเร่งด่วน เพิ่มการแข่งขันภาคธุรกิจ ลงทุนทุนมนุษย์-โครงสร้างดิจิทัล รับมือ AI และมาตรการกีดกันการค้า ภาพจาก: ILO Asia-Pacific (CC BY-NC-ND 2.0)  7 ตุลาคม 2568 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกยังคงแสดงผลการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ มากกว่าภูมิภาคอื่นๆ แต่การสร้างงานเพิ่มเติมและการรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องจะต้องอาศัยการปฏิรูปที่ทะเยอทะยานมากขึ้นในเวลาที่ภูมิภาคกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนต่างๆในเศรษฐกิจโลก รายงานอัพเดทเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia and Pacific Economic Update) ประจำเดือนตุลาคม 2568 ของธนาคารโลก คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้จะเติบโต 4.8% ในปีนี้ ลดลงจาก 5.0% ในปี 2567 เวียดนามเป็นผู้นำด้วยอัตราการเติบโต 6.6% ตามด้วยมองโกเลีย (5.9%) และฟิลิปปินส์ (5.3%) ขณะที่จีน กัมพูชา และอินโดนีเซียคาดว่าจะเติบโตที่ 4.8% เท่ากัน ประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกคาดว่าจะเติบโต 2.7% และประเทศไทย 2.0% รูปแบบการพัฒนาแบบทั่วถึงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ การเติบโตของการจ้างงานในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นในภาคบริการที่มีผลิตภาพต่ำ และอยู่นอกระบบ ซึ่งมักมีโอกาสเติบโตในอาชีพจำกัด นอกจากนี้ คนหนุ่มสาวยังคงประสบปัญหาในการหางาน อีกทั้งสตรีมีอัตราการเข้าร่วมแรงงานที่ต่ำกว่าชาย และแม้ว่าประชาชนกว่า 25 ล้านคนจะหลุดพ้นจากความยากจนระหว่างปี 2025–2026 แต่สัดส่วนของประชากรที่ยังคงมีความเปราะบางและเสี่ยงเข้าเขตภาวะยากจนมีจำนวนมากกว่ากลุ่มชนชั้นกลางในหลายประเทศของภูมิภาคนี้ “ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับภาวะความขัดแย้งของการจ้างงาน — คือมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งพอสมควร แต่กลับมีการสร้างงานที่มีคุณภาพไม่เพียงพอ” คาร์ลอส เฟลิเป้ ฮารามิโย รองประธานธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าว “การปฏิรูปที่กล้าหาญยิ่งขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคต่อการเข้าสู่ตลาดและการแข่งขันของภาคธุรกิจ จะช่วยเปิดทางให้กับเงินทุนภาคเอกชน และเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจที่มีศักยภาพและผลิตภาพสูง อันจะนำไปสู่การสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ ๆ ธนาคารโลกยังคงเป็นพันธมิตรที่มั่นคงในการสนับสนุนความมุ่งมั่นของภูมิภาคนี้ ในการเติบโตอย่างทั่วถึง เพื่อตอบสนองต่อความหวังและความทะเยอทะยานของประชาชน” ดัชนีชี้วัดด้านกิจกรรมเศรษฐกิจ บ่งชี้ถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ยอดค้าปลีกยังคงขยายตัว แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด ด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมแสดงความแข็งแกร่ง แต่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังคงต่ำ การส่งออกมีการเร่งตัวขึ้นก่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้า (tariff) แต่ยอดซื้อส่งออกใหม่ยังอ่อนแอ คาดว่าในปี 2026 การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคจะชะลอลงสู่ 4.3% ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์การเติบโต ได้แก่ มาตรการจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนในระดับโลกที่แม้จะลดลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และนโยบายภายในประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ยังคงพึ่งพามาตรการกระตุ้นทางการคลังมากกว่าการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง รายงานดังกล่าวเรียกร้องให้มีการปฏิรูปและการลงทุนในทุนมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงการเพิ่มการแข่งขันในภาคบริการและนโยบายเพื่อให้เกิดความสอดคล้องระหว่างโอกาสการจ้างงานและทักษะของแรงงาน การก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิทยาการหุ่นยนต์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล กำลังทำให้บริษัท แรงงาน และผู้กำหนดนโยบายต้องมีทักษะ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับตัวที่สูงขึ้น “การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยแรงงานและการส่งออกของเอเชียตะวันออกช่วยยกระดับผู้คนนับพันล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาแต่ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายคู่ ได้แก่ มาตรการกีดกันทางการค้า (trade protection) และการแทนที่แรงงานด้วยระบบอัตโนมัติ (job automation)” อาดิตยา แมตทู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าว “การปฏิรูประบบธุรกิจ และการพัฒนาการศึกษา จะสามารถสร้างวัฏจักรที่มีศีลธรรมระหว่าง ‘โอกาส’ และ ‘ศักยภาพ’ นำไปสู่การเติบโตที่สูงขึ้นและงานที่ดีกว่า” * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * แรงงาน * คุณภาพชีวิต * ต่างประเทศ * ธนาคารโลก * เอเชียตะวันออก
dlvr.it
prachatai.com
บอร์ด สปสช. รับนโยบาย “ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” พร้อมเพิ่มปลูกถ่ายไตมากขึ้น
บอร์ด สปสช. รับนโยบาย “ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” พร้อมเพิ่มปลูกถ่ายไตมากขึ้น auser15 Tue, 2025-10-07 - 15:16 “พัฒนา พร้อมพัฒน์” ประธานบอร์ด สปสช. ประชุมบอร์ด สปสช. นัดแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข มีมติรับทราบนโยบาย “ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” ของรัฐบาล มอบ สปสช. จัดการหน่วยบริการเรียกเก็บค่าบริการฟอกเลือดเพิ่ม ให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที หลังพบผู้ป่วยไตวายสิทธิบัตรทองถูกเรียกเก็บเงินค่าฟอกเลือด พร้อมให้หาแนวทางขยายปลูกถ่ายไตอย่างเป็นระบบ ให้ผู้ป่วยไตวายบัตรทองได้รับบริการนี้มากขึ้น รวมถึงมุ่งเน้นสร้างเสริมองค์ความรู้ให้ประชาชนชะลอไตเสื่อม ลดผู้ป่วยไตวายหน้าใหม่เข้าสู่ระบบการรักษา ก่อนให้ข้อมูล ผลการศึกษาทุกอย่าง เข้าที่ประชุมครั้งหน้า ให้ บอร์ด สปสช.เคาะอีกครั้ง พ.ย. 68 นี้ 7 ตุลาคม 2568 นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เป็นประธานการประชุม บอร์ด สปสช. ครั้งที่ 10/2568 เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งถือเป็นการประชุมครั้งแรกของนายพัฒนา ในฐานะประธาน บอร์ด สปสช. ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข โดยมีตัวแทน บอร์ด สปสช. และผู้บริหารจาก สปสช. เข้าร่วมประชุม และให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ประเด็นพิจารณาวาระสำคัญของการประชุม บอร์ด สปสช. ในครั้งนี้ มีการพิจารณาระเบียบวาระสำคัญตามนโยบายของรัฐบาล คือ นโยบายไตวายเรื้อรังเพื่อให้ผู้ป่วยไตวายในระบบบัตรทองฟอกไตโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และขยายการปลูกถ่ายไต (นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง) โดยที่ประชุมบอร์ด สปสช. มีมติเพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว มอบหมายให้ สปสช. ดำเนินการไม่ให้หน่วยบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในระบบบัตรทอง เรียกเก็บค่าบริการจากผู้รับบริการฟอกไตในระบบบัตรทองเพิ่มเติมไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ซึ่งหากพบว่ามีหน่วยบริการฟอกเลือดใดเรียกเก็บเงินจะต้องดำเนินการทางกฎหมายในทันที พร้อมกันนี้ ยังมีมติมอบให้ สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมขับเคลื่อนการรับรู้เรื่องสุขภาพ และการส่งเสริมป้องกันเพื่อการชะลอไตเสื่อม เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายรายใหม่เข้าสู่ระบบการรักษา และยังเป็นการลดจำนวนผู้ป่วยไตในระบบสุขภาพของประเทศด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ด สปสช. ยังมีมติ ขอให้คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข (บอร์ดควบคุมฯ) พิจารณาข้อเสนอในการดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องคุณภาพบริการ และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารกองทุน พิจารณาผลกระทบและจัดทำข้อเสนอเตรียมการทางด้านงบประมาณเพื่อรองรับนโยบาย ขณะที่ในส่วนขยายบริการปลูกถ่ายไตให้กับผู้ป่วยไตวายในระบบบัตรทอง ให้มีการพัฒนาระบบบริจาค และระบบจัดสรรไตให้มีประสิทธิภาพ โดยให้ สปสช. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประสานดำเนินการกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย สมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย และหน่วยบริการรวมถึงองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว และเสนอ บอร์ด สปสช.อีกครั้ง ในการประชุมครั้งถัดไป หรือในเดือน พ.ย. 2568 นี้ต่อไป  นายพัฒนา กล่าวภายหลังการประชุมว่า ในฐานะรมว.สาธารณสุข และประธานบอร์ด สปสช. มีนโยบายที่ต้องการมุ่งเน้น 5 ด้าน ประกอบด้วย 1. 30 บาทรักษาทุกที่ และฟอกไตฟรีได้ทุกแห่ง 2. รอบรู้ เพื่ออยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี 3. หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี 4. เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศด้วยการแพทย์มูลค่าสูง และ 5. ขวัญกำลังใจบุคลากร แต่ทั้งนี้ ในส่วนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ นอกจากจะมุ่งเน้นนโยบายฟอกไตฟรีได้ทุกแห่งแล้ว ยังมุ่งเน้นให้มีการจัดการกับหน่วยบริการที่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ป่วย ซึ่งยังพบอยู่ และมอบหมายให้ทาง สปสช.เข้าไปดำเนินการจัดระบบการตรวจสอบให้เคร่งครัดต่อไป ขณะเดียวกัน คุณภาพบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ก็ต้องมีการกำหนดคุณภาพมาตรฐานแต่ละวิธีการรักษาให้อย่างชัดเจนด้วย ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า ที่ประชุมบอร์ด สปสช. มีการหารือในประเด็นการถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการเข้ารับการบำบัดทดแทนไต ซึ่ง สปสช. จะเข้าไปจัดระบบในการดำเนินการ โดยจะให้คณะทำงานเข้าไปดำเนินการ คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนจะได้แนวทางที่ชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่บอร์ด สปสช. ให้ความสำคัญอย่างมาก และต้องดำเนินการทันที นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ด สปสช. ยังมุ่งเน้นให้มีการขยายบริการปลูกถ่ายไตในระบบบัตรทองให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสิทธิประโยชน์สำหรับบำบัดทดแทนไตยังคงเหมือนเดิม คือมี 3 วิธีการ คือ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างไตทางช่องท้อง และการปลูกถ่ายไต ซึ่งแต่ละวิธีการผู้ป่วยยังคงต้องปรึกษาเลือกวิธีการบำบัดทดแทนไตกับอายุรแพทย์โรคไตอยู่ เพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย “ประเด็นสำคัญที่บอร์ด สปสช. หารือกันในวันนี้ คือ ประเด็นการบำบัดทดแทนไตในระบบบัตรทอง ที่ผู้ป่วยยังถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มเติม ทั้งที่เป็นสิทธิประโยชน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะหน่วยบริการฟอกเลือดไตเทียมที่รับส่งต่อ ซึ่ง สปสช.จะวางระบบการจัดการ และควบคุมอย่างเข้มข้นมากขึ้น รวมถึงแนวทางการขยายบริการปลูกถ่ายไต และการสร้างองค์ความรู้ชะลอไตเสื่อม ก่อนจะนำเสนอต่อที่ประชุม บอร์ด สปสช. ในการประชุมครั้งต่อไป” เลขาธิการ สปสช. กล่าวย้ำในตอนท้าย * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สปสช. * ฟอกไตฟรีทุกแห่ง * สุขภาพ
dlvr.it
prachatai.com
112WATCH วิจารณ์คำพิพากษา คดี ‘ครูใหญ่’ พูดถึง ‘เผ่ามังกรฟ้า’
112WATCH วิจารณ์คำพิพากษา คดี ‘ครูใหญ่’ พูดถึง ‘เผ่ามังกรฟ้า’ admin666 Tue, 2025-10-07 - 14:50 112WATCH เผยแพร่บทวิจารณ์การตีความของศาลในคำพิพากษาคดีมาตรา 112 ของ "ครูใหญ่" อรรถพล ที่ลงโทษจำคุกจากเหตุที่เขาปราศรัยเมื่อ 18 พ.ย.2563 ที่มีการกล่าวถึง "เผ่ามังกรฟ้า" ว่าเป็นการตีความอย่างกว้างขวางของศาลนั้นเป็นอัตวิสัย และทำให้การเสียดสีและการวิจารณ์กลายเป็นอาชญากรรม เมื่อ 4 ต.ค.2568 ทาง 112WATCH เผยแพร่บทวิจารณ์คำพิพากษาของศาลในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ “ครูใหญ่” จากการปราศรัยในที่ชุมนุม “#18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์” เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2563 โดยเป็นคดีที่ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้แจ้งความดำเนินคดี “ศาลใช้การตีความที่กว้างขวางและมีลักษณะเชิงอัตวิสัยต่อถ้อยคำของจำเลย จนทำให้การเสียดสีทางการเมืองหรือการวิพากษ์วิจารณ์พื้นฐานกลายเป็นอาชญากรรม” ในบทวิจารณ์ระบุว่าการตีความของศาลที่มีต่อคำว่า “ราชประหาร” ที่เป็นการเล่นคำนั้น ศาลมองว่าเป็นการแสดงเจตนาร้ายต่อสถาบันกษัตริย์  อีกทั้งการตีความ “เผ่ามังกรฟ้า” ซึ่งมาจากการ์ตูนวันพีซก็เป็นการพาดพิงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยอ้างประกอบกับท่าทางการปราศรัยของอรรถพลที่ชี้นิ้วขึ้้นฟ้าขณะพูด นอกจากนั้น 112WATCH ยังแสดงความกังวลว่าการตีความของศาลกำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการลงโทษการแสดงออกถึงความคิดเห็นที่อาจ “ก่อให้เกิดความเกลียดชัง” แม้ว่าจะไม่ใช่การดูหมิ่นโดยตรงก็ตาม เช่นที่ศาลชี้ว่าการวิจารณ์กฎหมายคณะสงฆ์ปี 2505 ที่ให้อำนาจกษัตริย์แต่งตั้งและถอดถอนสมณศักดิ์ชั้นสูง อาจไม่ใช่การดูหมิ่นโดยตรง แต่ตีความได้ว่ามีเจตนา “ทำให้ผู้ฟังเกลียดชังสถาบัน” โดยเห็นว่าการเปรียบเทียบว่ากษัตริย์วางตัวเท่าเทียมพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายศรัทธา การตีความเช่นนี้ทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่ในสถานะที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ อีกทั้งการที่ศาลตีความคำถามของอรรถพลที่ไม่ได้ระบุถึงชัดเจนว่าเป็นผู้ใดในคำถามของเขาที่ถามว่าการอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยากขนาดไหนนั้น ว่าในฐานะที่ผู้พูดเป็นครูและมีการศึกษาก็ควรจะต้องใช้คำชัดเจนกว่านี้หากหมายถึงฝ่ายอื่น กลายเป็นว่าการตีความของศาลดังกลาวเป็นการกำหนดมาตรฐานให้การแสดงออกเชิงเสียดสีกลายเป็นความผิดตามกฎหมาย อีกทั้งการกำหนดโทษของศาลที่รวมกันหลายคดีจนมีโทษจำคุกรวมแล้ว 5 ปี 9 เดือน ก็สะท้อนว่าศาลตั้งใจลงโทษอย่างหนักเพื่อสกัดกั้นไม่ให้นักกิจกรรมมีเสียงอีกต่อไป “ความร้ายแรงของคำตัดสินนี้ไม่อาจหยุดอยู่แค่การสังเกตการณ์ แต่ควรเป็นสัญญาณเรียกร้องให้สังคมตื่นรู้ถึงหน้าที่พลเมือง พลังของมาตรา 112 ไม่ได้อยู่ที่ตัวบทกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่บรรยากาศแห่งความกลัวและการเซ็นเซอร์ตนเองที่กฎหมายสร้างขึ้น” 112WATCH ระบุ * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * มาตรา 112 * 112WATCH * อรรถพล บัวพัฒน์ * เผ่ามังกรฟ้า
dlvr.it
prachatai.com
'อนุทิน' ชี้กัมพูชารุกที่บ้านหนองจาน ต้องปฏิบัติตาม GBC ออกจากพื้นที่ก่อน 10 ต.ค.
'อนุทิน' ชี้กัมพูชารุกที่บ้านหนองจาน ต้องปฏิบัติตาม GBC ออกจากพื้นที่ก่อน 10 ต.ค. auser15 Tue, 2025-10-07 - 15:10 'อนุทิน' ชี้กัมพูชารุกที่บ้านหนองจาน ต้องปฏิบัติตามข้อตกลง GBC ออกจากพื้นที่ก่อน 10 ต.ค. บอกมอบอำนาจเต็มให้ "กองทัพ - ก.ต่างประเทศ - ผู้ว่าฯ สระแก้ว" ดำเนินการ ตนเองไม่ขอพูดมาก - กองทัพภาคที่ 2 ตรวจพบโดรนของฝ่ายกัมพูชา เกือบ 20 ลำ พบรถแบคโฮปรับปรุงที่มั่นขนาดใหญ่ คาดปรังปรุงบังเกอร์สำหรับหลบภัย 7 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงเดดไลน์วันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งกำหนดให้ชาวกัมพูชาต้องออกจากพื้นที่หนองจาน จ.สระแก้ว ว่า เมื่อวานได้มีการประชุมหารือกัน และจะต้องดำเนินการตามที่ได้มีข้อตกลงกันไว้ ซึ่งไทยก็ยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในข้อตกลง GBC ซึ่งมีอยู่ 4 ข้อหลัก เช่น การถอนอาวุธ การถอนกำลัง การร่วมการปราบปรามสแกมเมอร์ และการร่วมบริหารสถานการณ์ชายแดนให้เรียบร้อย ซึ่งหมายความว่า พื้นที่ใดที่เป็นของไทยก็จะต้องออก ส่วนเรื่องของสิทธิมนุษยชน กับการคืนความเป็นธรรมให้กับคนไทยเป็นสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจยากหรือไม่ นายอนุทิน ยืนยันว่า ไม่ยาก คนไทยต้องได้ความยุติธรรม และคนไทยทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ส่วนคนที่มารุกล้ำประเทศไทย และเข้ามาด้วยการบุกรุกก็ต้องออกไปก็แค่นั้น ถ้าหากไม่ทำก็ไม่มีใครเจรจา ทั้งนี้ รัฐบาลมีแนวทางที่จะทำให้สังคมโลกไม่มองในแง่ลบใช่หรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีพูดเรื่องนี้มากไม่ได้ เพราะมอบหมายเรื่องรักษาอธิปไตย รักษาชายแดน รักษาแผ่นดิน เป็นเรื่องของกองทัพ และเป็นอำนาจเต็ม โดยมีรัฐบาลสนับสนุน ส่วนเรื่องการเจรจาการทูต เงื่อนไขต่างๆ กระทรวงการต่างประเทศก็รับไปหมดแล้ว ขณะที่การดูแลพื้นที่บริเวณสระแก้ว ก็มีผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เป็นไปตามที่ตกลงไว้ทั้งหมด ทุกคนได้รับมอบอำนาจทั้งหมดให้ไปดำเนินการ ขณะที่มีการเลื่อนประชุม RBC ไปกลางเดือนตุลาคมนี้ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างมีเหตุมีผลอยู่ ได้มอบอำนาจให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เต็มที่ไปแล้ว ก็ต้องไปดำเนินการ และตนให้การสนับสนุนทุกอย่าง ถ้าหากตนไปพูดต่างกับเขา พวกเขาก็ทำงานไม่ได้ ขณะเดียวกันเวลาที่จะไปเจรจากับใคร เช่น ขณะที่ตนยังเป็นผู้น้อย หากมีการเจรจาก็จะถามว่า มีอำนาจแค่ไหน หากไม่มีอำนาจก็จะไม่เจรจาด้วย เพราะฉะนั้นขณะนี้ทุกคนที่จะไปเจรจา หรือจะไปดำเนินการกับใคร ได้อำนาจไปหมดแล้ว พร้อมย้ำว่า เขาตัดสินใจ ก็คือตนตัดสินใจ นอกจากนี้ จะมีการลงพื้นที่ไปยังบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มีโอกาสที่จะไปลงพื้นที่ เป็นไปตามเวลาที่เหมาะสม และตามคำแนะนำของหน่วยงานความมั่นคง ส่วนคำสั่งให้ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจาน ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้นั้น คาดว่าชาวกัมพูชาไม่สามารถออกจากพื้นที่ได้อยู่แล้วใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่มีการดำเนินการอยู่ ตามหลักการที่ได้บอกไปแล้ว กองทัพภาคที่ 2 ตรวจพบโดรนของฝ่ายกัมพูชา เกือบ 20 ลำ พบรถแบคโฮ ปรับปรุงที่มั่นขนาดใหญ่ คาด ปรังปรุงบังเกอร์สำหรับหลบภัย ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ณ เวลา 14.00 น. สถานการณ์โดยรวม มีการตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา โดยตรวจพบโดรนบริเวณพื้นที่ปราสาทตาควาย 4 ลำ , พื้นที่โดนตวล 1 ลำ , พื้นที่ซำแต 3 ลำ , พื้นที่ภูผี 2 ลำ , พื้นที่ฐานปฏิบัติการหนองแค ร้อย.ทพ.2602 จำนวน 1 ลำ และบริเวณเหนือเนิน 350 จำนวน 6 ลำ และตรวจพบรถแบคโฮ รถบรรทุก 10 ล้อ ทำการปรับปรุงที่มั่นขนาดใหญ่ คาดว่าเป็นการปรังปรุงบังเกอร์สำหรับหลบภัย ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทยจัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อม ในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์ การดำเนินงานด้านจิตอาสา ศอ.จอส.พระราชทาน จ.สุรินทร์, ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.25, พล.ต.สุคนธรัตน์ ชาวพงศ์ รอง มทภ.2, นายประภาส ศรีจันทร์เวียง รอง ผวจ.สุรินทร์, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา, หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ นายเกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในการที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายเกษม วัฒนชัย องคมนตรี เชิญเงินพระราชทาน จำนวน 42,000,000 บาท ไปมอบแก่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มอบถุงยังชีพพระราชทาน จำนวน 800 ถุง แก่ผู้ประสบภัย และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีจิตอาสา 904 และจิตอาสาพระราชทาน ช่วยอำนวยความสะดวก ณ หอประชุมที่ว่าการ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กองทัพภาคที่ 2 ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน เพื่อป้องกันการรับข้อมูลข่าวสาร ที่คลาดเคลื่อน บิดเบือน หรือข่าวปลอม (Fake news) ขอให้ประชาชน โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และติดตามข้อมูล จากช่องทางอย่างเป็นทางการจากส่วนราชการ ซึ่งสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้อง และทันเวลา ที่มาเรียบเรียงจาก NBT Connext [1] [2]   * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * บ้านหนองจาน * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * บ้านหนองจานชายแดน * สระแก้ว * โคกสูง
dlvr.it