ทำไม 'ทรัมป์' ถึงหมกมุ่นกับการใช้กำลังทหารควบคุมเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน?
ทำไม 'ทรัมป์' ถึงหมกมุ่นกับการใช้กำลังทหารควบคุมเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน?
auser15
Tue, 2025-10-07 - 14:11
สื่อหลายแห่งตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ สั่งการให้กองทัพไปประจำการอยู่ตามเมืองต่างๆ มีการเน้นย้ำในภารกิจของเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน มากเป็นพิเศษ รวมถึงมีการใช้วาทะในเชิงฟาดฟันมากกว่าเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ เหตุใดทรัมป์ถึงดูจะหมกมุ่นกับเมืองพอร์ตแลนด์มากขนาดนี้
ในช่วงที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้สั่งการให้ รัฐมนตรีกลาโหม พีต เฮกเซท ส่งกองทัพสหรัฐฯ ไปที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน รวมถึงมีการเปิดเผยทางโซเชียลมีเดียในแบบที่เน้นย้ำเป็นพิเศษว่าเขาอนุญาตให้ "ใช้กำลังอย่างเต็มที่ได้ ถ้าจำเป็น"
ทรัมป์ระบุว่า "จากคำขอของรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ คริสตี โนเอม ผมได้สั่งให้รัฐมนตรีกลาโหม พีต เฮกเสท ช่วยส่งกองทัพทั้งหมดเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันเมืองพอร์ตแลนด์ที่ถูกทำให้เสียหายจากสงคราม และป้องกันสถานกักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ICE แห่งใดก็ตามที่ตกอยู่ภายใต้การปิดล้อมโจมตีโดยกลุ่มแอนตีฟา และกลุ่มก่อการร้ายในประเทศอื่นๆ"
มีข้อสังเกตว่าทรัมป์ได้ใช้คำแรงๆ พูดถึงพอร์ตแลนด์ว่า "ถูกทำให้เสียหายจากสงคราม" และกล่าวหาว่ากลุ่ม "แอนตีฟา" (antifa) ที่มาจากคำว่า "ต่อต้านเผด็จการฟาสซิสต์" (anti-fascist) ว่าเทียบเท่ากับ "กลุ่มก่อการร้ายในประเทศ"
คำสั่งของทรัมป์ได้สร้างความประหลาดใจให้กับคนจำนวนมากในเพนทากอน และเจ้าหน้าที่หลายคนก็ไม่แน่ใจว่าจะมีคำสั่งออกมาหลังจากนี้อย่างไรบ้าง เพราะคำสั่งของทรัมป์ที่ระบุว่าให้ "ใช้กำลังอย่างเต็มที่" โดยอาศัยกำลังทหารกับพลเรือนในประเทศตัวเองนั้น ชวนให้เกิดคำถามว่าจะไปขัดกับกฎหมาย Posse Comitatus Act 1878 หรือไม่ จากที่กฎหมายนี้ห้ามไม่ให้ประธานาธิบดีสั่งใช้กองทัพของสหรัฐฯ ในการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศ
ทีนา โกเตก ผู้ว่าการรัฐโอเรกอนจากพรรคเดโมแครต แถลงข่าวในเรื่องนี้ว่าเธอได้โทรพูดคุยกับทรัมป์และโนเอมเพื่อเน้นย้ำว่าพอร์ตแลนด์ไม่ได้ต้องการการแทรกแซงจากรัฐบาลกลาง โกเตก บอกว่าพอร์ตแลนด์ "ยังคงอยู่ดี" ห่างใกล้จากข้ออ้างที่ว่ากลายเป็น "พื้นที่ถูกทำให้เสียหายจากสงคราม" แบบที่ทรัมป์โพสต์ในโซเชียลมีเดีย
โกเตก บอกอีกว่าจะไม่มีการอนุมัติคำสั่งใดๆ ต่อกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ เนื่องจาก "ไม่มีภารกิจใดๆ ให้พวกเขาปฏิบัติในตอนนี้"
นายกเทศมนตรีของเมืองพอร์ตแลนด์ คีธ วิลสัน ก็บอกว่าพวกเขาไม่ได้ร้องขอให้มีการส่งกองทัพเข้ามา และมองว่ากองกำลังของรัฐบาลกลางเข้ามาโดย "ไม่มีมูลเหตุหรือวัตถุประสงค์" วิลสันยังได้กล่าวอีกว่า การวางกำลังทหารตามที่ต่างๆ ในเมืองเช่นนี้ "ส่งผลร้ายต่อธุรกิจการค้า ความมั่งคั่ง และโอกาส" แบบที่เคยเห็นเกิดขึ้นในวอชิงตันดีซี
"ภาพลักษณ์ของพอร์ตแลนด์ที่ถูกบรรยายโดยประธานาธิบดีนั้นไม่ได้เป็นจริงเลยอย่างที่ทุกท่านก็รับรู้กันอยู่ ... ผู้คนก็ยังคงออกไปเที่ยวกลางแจ้งในวันหยุดสุดสัปดาห์ พวกเขาเข้าร่วมงานกีฬา ออกไปช็อปปิง ออกไปทานอาหารนอกบ้าน" วิลสันกล่าว
วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจากโอเรกอน เจฟฟ์ เมิร์กลีย์ ก็แถลงขอให้ประชาชนในโอเรกอนระมัดระวังอย่าไปตกหลุมพรางการยั่วยุของกองทัพที่ต้องการหลอกล่อให้เกิดการใช้กำลัง
เมิร์กลีย์ บอกว่าความรับผิดชอบของประชาชนคือการแสดงความคิดเห็น การประท้วง นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องกระทำโดยระมัดระวัง วางระยะให้ห่างจากกองกำลังของรัฐบาลกลาง เพราะไม่รู้ว่าพวกนี้จะทำอะไรบ้าง แต่เมิร์กลีย์เองเชื่อว่ากองกำลังเหล่านี้ มีเป้าหมายต้องการหลอกล่อเพื่อให้เกิดการปะทะ และเมื่อมีการปะทะก็จะนำไปสู่ความขัดแย้ง
ทรัมป์สั่งวางกำลังเพื่อบังคับใช้กฎหมาย ทั้งๆ ที่กฎหมายสหรัฐฯ ไม่มีอำนาจให้ทำเช่นนั้น
ในช่วงที่ผ่านมา ทรัมป์ ได้สั่งวางกำลังพลจากรัฐบาลกลางในพื้นที่ต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ตั้งแต่ ชิคาโก, เมมฟิส, นิวออร์ลีน ไปจนถึงนิวยอร์ก โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาอาชญากรรมบนท้องถนน และในวอชิงตันดีซี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสหรัฐฯ ทรัมป์ก็แสดงออกถึงอำนาจควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมากกว่าเดิม โดยการนำกรมตำรวจของดีซีมาอยู่ภายใต้อำนาจสั่งการจากรัฐบาลกลางและเรียกใช้งานกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ
หลังจากนั้นทางการก็อ้างว่ามีอาชญากรรมลดลงอย่างมากในวอชิงตันดีซี ถึงแม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ในวอชิงตันดีซีจะต่อต้านการใช้กองทัพเข้ามายึดอำนาจของกรมตำรวจให้ไปอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลกลางก็ตาม
นอกจากนี้ศาลรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ก็เคยตัดสินว่าทรัมป์ละเมิดกฎหมายอเมริกัน กรณีที่สั่งวางกองทัพในลอสแองเจลิสเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
มีข้อสังเกตว่าหลังจากที่เกิดเหตุยิงนักเคลื่อนไหวขวาจัด ชาร์ลี เคิร์ก จนเสียชีวิต ทรัมป์และฝ่ายขวาในอเมริกันก็เริ่มใช้วาทกรรมปลุกปั่นความเกลียดชังต่อกลุ่มฝ่ายซ้ายและอ้างแบบเหมารวมว่าฝ่ายซ้ายเป็นผู้ก่อความรุนแรงทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังระบุตัวผู้ต้องสงสัยไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้นในเวลาต่อมาทรัมป์ก็ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีเพื่อเล่นงานกลุ่มแอนตีฟาโดยเฉพาะ ซึ่งแอนตีฟาเป็นกลุ่มที่ไม่มีการรวมศูนย์และไม่มีแกนนำชัดเจนและบางครั้งมักจะถูกจัดให้เป็นอุดมการณ์อย่างหนึ่ง แต่ทรัมป์ก็ออกคำสั่งระบุว่าแอนตีฟาเป็น "องค์กรก่อการร้ายในประเทศ" ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีกลไกทางกฎหมายใดๆ ที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำแบบนี้ได้
ทำไมทรัมป์ถึงหมกมุ่นกำลังใช้กำลังทหารใน 'พอร์ตแลนด์'
มีข้อสังเกตจากสื่อต่างๆ ว่าทรัมป์ดูจะมีความจริงจังเป็นพิเศษกับการส่งกองกำลังของรัฐบาลกลางเข้าไปที่พอร์ตแลนด์โดยอ้างเรื่องการรักษาความสงบ อีกทั้งยังมีการใช้โวหารฟาดฟันกับกลุ่มที่เคยประท้วงต่อต้านนโยบายของรัฐบาล ซึ่งในพอร์ตแลนด์เคยมีเหตุการณ์ประท้วงทั้งในอดีตและในปัจจุบัน โดยที่ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากการประท้วง แต่ในปี 2563 เคยมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นมาก่อน
การประท้วงในปี 2563 นั้นเป็นการประท้วงที่เริ่มต้นมาจากการเรีบกร้องความเป็นธรรมให้กับ จอร์จ ฟลอยด์ คนผิวดำผู้ที่เสียชีวิตจากการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจ แต่ในเวลาต่อมาการประท้วงในครั้งนั้นก็กลายเป็นการจลาจล มีการจุดไฟเผาอาคารที่ทำการของภาครัฐ ทำให้กลุ่มฝ่ายขวาในสหรัฐฯ นำมาใช้เป็นภาพตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงความไร้กฎหมายและความโกลาหล และในช่วงเวลานั้นก็เป็นยุคสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรก แล้วทรัมป์ก็ดูเหมือนจะไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้น
สื่อ โปลิติโค ตั้งข้อสังเกตว่านอกเหนือจากการกล่าวหาแอนตีฟาเป็น "ผู้ก่อการร้าย" และพูดถึงพอร์ตแลนด์ว่า "ถูกทำลายจากสงคราม" แล้ว ทรัมป์ยังได้พูดถึงเมืองนี้ราวกับเป็นเมืองโลกาวินาศซึ่งสะท้อนภาพจำของเขาในช่วงกลางปี 2563 ที่มีการประท้วงใหญ่ซึ่งยกระดับกลายเป็นเหตุรุนแรงเป็นเวลา 170 วัน
ความหมกมุ่นต่อพอร์ตแลนด์ของทรัมป์ปรากฏทั้งจากการกระทำและคำพูด คำแถลงข่าวจากห้องทำงานรูปไข่ของทรัมป์ก็ยังมีการพูดถึงพอร์ตแลนด์ราวกับเป็นเมืองสิ้นหวัง บอกว่าเป็นเมืองที่มี "พวกคนบ้าๆ ที่พยายามเผาบ้านเผาเมือง"
อย่างไรก็ตาม ในเชิงสถิติแล้วพอร์ตแลนด์มีอัตราการฆาตกรรมต่ำกว่าที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เมมฟิส, วอชิงตัน หรือชิคาโก ซึ่งเป็นที่ๆ ทรัมป์ได้สั่งวางกำลังกองทัพไปแล้วหรือขู่ว่าจะสั่งวางกำลัง ทำให้สื่อโปลิติโคมองว่า ที่ทรัมป์ยึดติดกับพอร์ตแลนด์มากๆ น่าจะมาจากการที่มันเป็นเมืองตัวอย่างของการประท้วงต่อต้านสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร ICE ของสหรัฐฯ หลังจากที่สำนักงาน ICE ปฏิบัติตามนโยบายกีดกันผู้อพยพของรัฐบาลทรัมป์
มีแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ไม่ประสงค์ออกนามบอกว่ารัฐบาลทรัมป์มองว่าพอร์ตแลนด์นั้น "เป็นเมืองตัวอย่างของปัญหาในปี 2563" เลยคิดจะใช้เมืองนี้มาเป็นเคสตัวอย่างในการรักษาความสงบเรียบร้อย แล้วเจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นภายใต้รัฐบาลทรัมป์ก็สามารถอ้างใช้เรื่องนี้เพื่อผลักดันวาทกรรมต่างๆ ตั้งแต่เรื่องผู้อพยพ เรื่องอาชญากรรม ไปจนถึงข้อกล่าวหาที่ว่าความรุนแรงมาจากฝ่ายซ้ายจัด
สำหรับการประท้วงในปีนี้ที่พอร์ตแลนด์เคยมีช่วงพีคที่สุดคือเดือน มิถุนายน ที่มีการเกิดเหตุจลาจล มีการจับกุมจากตำรวจ แต่นับจากนั้นมาการประท้วงก็ยังคงดำเนินต่อไปเป็นรายวันโดยไม่ได้มีอะไรรุนแรงมาก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการประท้่วงอย่างสันติในช่วงกลางวัน แต่ก็มีเหตุการณ์วุ่นวายอยู่บ้างประปรายเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน ซึ่งมักจะเป็นการที่ผู้ประท้วงไปขัดขวางการเคลื่อนยานพาหนะของเจ้าหน้าที่ ICE
แต่ผู้ประท้วงช่วงกลางคืนก็มีอยู่แค่ไม่กี่สิบคน เทียบกับช่วงปี 2563 ที่มีอยู่นับร้อยคน ทำให้คำแถลงของทรัมป์ในช่วงหลังๆ นี้ อาจจะมีการนำข้อเท็จจริงจากปี 2563 มาผสมปนเปกับสถานการณ์ปีจจุบันก็เป็นได้
โปลิติโค มองว่าทรัมป์ได้คิดจะทำแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกแล้ว ตอนที่เกิดเหตุประท้วงเรื่อง จอร์จ ฟลอยด์ ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ก็ส่งเสียงเชียร์ว่านี่เป็นตัวอย่างของการที่ทรัมป์กล้าล่วงล้ำเข้าไปไต่สวนฝ่ายซ้ายมากกว่าแต่ก่อน แต่นักวิจารณ์ก็มองว่าคำสั่งของทรัมป์อาจจะไม่สามารถผ่านขั้นตอนกฎหมายไปได้
ทั้งเทศบาลเมืองพอร์ตแลนด์และรัฐโอเรกอนต่างก็ได้ยื่นฟ้องร้องทรัมป์ในเรื่องที่เขาใช้อำนาจบริหารเกินขอบเขต โดยการทำให้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิของรัฐโอเรกอนไปอยู่ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลกลางเพื่ออ้างว่าใช้ตอบโต้ความไม่สงบ ในคำฟ้องระบุว่าการกระทำของทรัมป์ฝ่าฝืนหลักการของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และเสี่ยงต่อการทำให้เกิดความไม่สงบครั้งใหม่
แต่ทางทำเนียบขาวก็ยืนยันว่า การที่ทรัมป์สั่งใช้งานกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมินั้น เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายหลังจากเกิดสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น "การจลาจลหลายเดือน" และมองว่าจะทำให้พอร์ตแลนด์ปลอดภัยมากขึ้น
โฆษกของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิประจำรัฐโอเรกอนบอกว่า การร้องขอกำลังสนับสนุนจากกองกำลังของพวกเขานั้นจำเป็นต้องมีการประสานงานผ่านทางสำนักงานผู้ว่าการรัฐโอเรกอน
หรือทรัมป์จะมองพอร์ตแลนด์ในฐานะ 'ตัวแทนจำลองของฝ่ายซ้าย'
รายงานของ แอนนา กริฟฟิน ในสื่อนิวยอร์์กไทม์ วิเคราะห์เรื่องคำสั่งของทรัมป์เอาไว้ โดยมีมุมมองว่า ทรัมป์อาจจะมองพอร์ตแลนด์ในฐานะ "ตัวแทนจำลอง" หรือ "อวตาร" ของฝ่ายซ้าย
กริฟฟินระบุว่ากลุ่มผู้นำภาคประชาสังคมมีความกังวลว่าจะเกิดเหตุจลาจลแบบปี 2563 อีก และดูเหมือนจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยปี 2563 ทั้งๆ ที่การประท้วงในปีปัจจุบันก็ไม่มีความรุนแรงมากเท่าปี 2563
นั่นทำให้สิ่งที่ทรัมป์กำลังกระทำในฐานะข้ออ้างบังคับใช้กฎหมายต่อพอร์ตแลนด์นี้ มาจากมุมมองของเขาเองที่ว่าพอร์ตแลนด์เป็นตัวแทนจำลองของทุกสิ่งทุกอย่างที่เลวร้ายเกี่ยวกับเสรีนิยมในสหรัฐฯ
นอกจากนี้สื่อฝ่ายขวาอย่างฟ็อกซ์นิวส์ที่มักจะเข้าข้างรัฐบาลทรัมป์ ก็นำเสนอในแบบที่ไม่ซื่อสัตย์ด้วยการรายงานเหตุการณ์ประท้วงปี 2568 แต่ก็เอาภาพเหตุการณ์ปี 2563 ที่มีความรุนแรงเกิดขึ้นมาผสมปนเปเข้าด้วยกัน ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศขู่ว่าจะส่งกองทัพเข้าไปจัดการ
"พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับพอร์ตแลนด์แล้ว พวกเราคงจะหวังพฤติกรรมแบบมีเหตุผลจากประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้" แคนเดซ อวาลอส สมาชิกสภาเทศบาลเมืองพอร์ตแลนด์กล่าว
"ถ้าเขาทำได้ เขาก็จะยุยงปลุกปั่น โดยไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงใดๆ เลย" อวาลอสกล่าว
เรียบเรียงจาก
Trump says he is authorizing military to use ‘Full Force’ in Portland, Politico, 27-09-2025
Why Donald Trump is obsessed with Portland, Politico, 27-09-2025
President Trump plans to send troops to Portland, Chicago and Memphis. Here’s what we know, 30-09-2025
Trump Again Focuses on Portland as an Avatar of the Left, Anna Griffin, The New York Times, 28-09- 2025
* รายงานพิเศษ
* สิทธิมนุษยชน
* ต่างประเทศ
* โดนัลด์ ทรัมป์
* กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ
* พอร์ตแลนด์
* โอเรกอน
* แอนตีฟา
* antifa
* ฝ่ายซ้าย
* สหรัฐอเมริกา