สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 20-26 ต.ค. 2568
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 20-26 ต.ค. 2568
auser15
Sun, 2025-10-26 - 14:58
กรมการจัดหางานสั่งตรวจแรงงานต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทย โทษหนักทั้งจำ ทั้งปรับ ส่งกลับประเทศต้นทาง
นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีชาวต่างชาติประกอบธุรกิจในลักษณะนอมินี และเข้ามาทำงานประกอบอาชีพแข่งขันกับคนไทยไม่ถูกกฎหมายในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น การประกอบธุรกิจร้านให้เช่ารถ ธุรกิจบริการนำเที่ยว และร้านตัดผม ตามแหล่งท่องเที่ยวและย่านการค้าสำคัญ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในพื้นที่
ทั้งนี้ ตนไม่ได้นิ่งนอนใจได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติ กรมการจัดหางาน บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติที่แย่งอาชีพคนไทย รวมถึงแรงงานต่างชาติที่ทำงานผิดกฎหมาย ไม่มีใบอนุญาตทำงานอย่างเข้มงวด ในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภูเก็ต เชียงใหม่ เกาะสมุย เมืองพัทยา ซึ่งมีแรงงานต่างชาติทำงานเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อให้การทำงานของแรงงานต่างชาติเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ให้กระทบต่อโอกาสการมีงานทำของคนไทย
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ต้องมีเอกสารประจำตัวบุคคลและใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้อง และต้องทำงานตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ มี 40 งาน คนต่างด้าวที่ฝ่าฝืนทำงานต้องห้ามจะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000–50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง ห้ามขอใบอนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับโทษ ส่วนนายจ้างหรือสถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่จะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000–100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000–200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี
สำหรับประชาชน หากพบเห็นแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0-2354-1729 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ พื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
ที่มา: เดลินิวส์, 26/10/2568
กรมการจัดหางาน เร่งช่วยคนหางานถูกหลอกไป ตปท. 300 ราย เสียหาย 22 ล้าน ปคม.จ่อออกหมายจับ
นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีมีคนหางานถูกกลุ่มบุคคล แอบอ้างเป็นตัวแทนของบริษัทรับจัดทำวีซ่าแห่งหนึ่งหลอกลวงว่าจะสามารถส่งไปทำงานเกษตรที่ประเทศแคนาดาและออสเตรเลียได้ โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้เสียหาย ว่า ในวันที่ 22 ตุลาคม 2568 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ได้ประสานกรมการจัดหางานว่ามีคนหางานมาร้องทุกข์เพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน และเจ้าหน้าที่ เร่งเข้าร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงและรับเรื่องร้องทุกข์คนหางาน ณ กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยสรุปได้ว่า มีคนหางาน มาร้องทุกข์เพิ่มเติมอีก 134 คน ซึ่งถูกกรรมการบริษัทกับกลุ่มผู้ร่วมกระทำผิด หลอกลวงในลักษณะเดียวกัน โดยผู้เสียหายแต่ละรายได้จ่ายค่าบริการและค่าใช้จ่ายเป็นเงินประมาณคนละ 60,000 – 150,000 บาท รวมมูลค่าความเสียหายเพิ่มเติมกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งยอดรวมผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าว ณ วันที่ 21 – 22 ตุลาคม 2568 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 303 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 22 ล้านบาท
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่าได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อบริษัทดังกล่าวและผู้ที่เกี่ยวข้องทันที ในข้อหาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามมาตรา 91 ตรี ซึ่งมีโทษหนัก คือ จำคุกตั้งแต่ 3 ปี - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 - 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์จะเร่งดำเนินการขอให้ศาลออกหมายจับผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวกับพวก เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
"ขอให้คนหางานทุกคนตระหนักถึงภัยการหลอกลวงในรูปแบบนี้ และย้ำอีกครั้งว่า ก่อนตัดสินใจโอนเงินให้สายนายหน้าหรือผู้แทนบริษัทรายใด ขอให้ตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตให้จัดส่งคนหางาน ไปทำงานต่างประเทศจากกรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน doe.go.th/ipd เสียก่อน" นายพิเชษฐ์ กล่าว
ทั้งนี้ หากคนหางานได้รับความเดือดร้อนจากการถูกสาย/นายหน้าหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ สามารถขอรับคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0 2248 4792 และ โทร. 0 2245 6763 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย, 25/10/2568
“ประกันสังคมก้าวหน้า” ออกแถลงการณ์ เสนอ 4 แนวทางปฏิรูประบบสุขภาพ
ทีม “ประกันสังคมก้าวหน้า” ออกแถลงการณ์เสนอปฏิรูประบบสุขภาพไทยแบบองค์รวม เน้นปรับโครงสร้างการเงินการคลังให้โปร่งใส ปรับสัดส่วนบอร์ด สปสช. เพิ่มเสียงประชาชน ตั้งสิทธิประโยชน์กลางแห่งชาติ และคุ้มครองสิทธิแรงงานในภาครัฐด้านสุขภาพ
ประกันสังคมก้าวหน้าออกแถลงการณ์ระบุว่า จากกรณีปัญหาด้านการเงินการคลังของระบบสุขภาพที่กำลังเป็นที่กังวลของหลายภาคส่วนของสังคมในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดได้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสถานพยาบาลผู้ให้บริการสุขภาพ คนทำงานในระบบสุขภาพ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้รับบริการสุขภาพต่อไป
ทีมประกันสังคมก้าวหน้าขอนำเสนอแนวทางการปฏิรูประบบสุขภาพ จากมุมมองของบอร์ดบริหารกองทุนสวัสดิการสังคมที่สำคัญอีกกองทุนหนึ่ง ด้วยเป้าหมายเพื่อการยกระดับแนวทางนโยบายด้านสุขภาพไปสู่องค์รวมของระบบรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าที่มั่นคง เป็นธรรมและยั่งยืน โดยหวังว่าข้อเสนอของพวกเราดังนี้จะถูกพิจารณาในวงกว้าง โดยรัฐบาล รัฐสภา สถานพยาบาลและหน่วยบริการต่าง ๆ ผู้ให้บริการสุขภาพในภาครัฐ เอกชน และอื่น ๆ รวมถึงพี่น้องประชาชน คนไข้ ผู้ประกันตน บุคลากรทางการแพทย์ และคนทำงานด้านสาธารณสุขทุกคน
1. ต้องมีการปฏิรูประบบการเงินการคลังของระบบสุขภาพในประเทศไทยทั้งหมด เพื่อปรับเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพระบบการเบิกจ่ายเงินด้วยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เช่น ภาคประชาชน บุคลากรทางการแพทย์และผู้ให้บริการสุขภาพ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสิทธิภาพระบบการรักษาพยาบาลเป็นหลัก และต้องมีการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสุขภาพด้วยการจัดสรรงบประมาณรัฐประจำปีให้มากเพียงพอต่อการรองรับบริการสุขภาพของประชากรในประเทศทั้งหมด
ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้สถานพยาบาลและผู้รับบริการต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนบุคลากรและทรัพยากรทางการแพทย์ และเพื่อไม่ให้เกิดการผลักภาระค่าใช้จ่ายดังนี้ ไปยังประชาชนเจ้าของภาษีผ่านนโยบายการร่วมจ่ายอย่างซ้ำซ้อน (คล้ายกับกรณีของสิทธิประกันสังคม)
2. ต้องมีการปฏิรูปคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยการเปลี่ยนสัดส่วนของคณะกรรมการให้ปรับลดสัดส่วนข้าราชการโดยตำแหน่งลง และเพิ่มสัดส่วนประชาชนกับสถานพยาบาลผู้ให้บริการในจำนวนที่ทัดเทียมกัน
โดยสำหรับสัดส่วนประชาชนนั้นให้เป็นการเลือกตั้งทางตรงทั่วประเทศ และสัดส่วนสถานพยาบาลนั้นให้มาจากการคัดเลือกกันเองภายใต้หลักการของการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการบริหารจัดการระบบสุขภาพของประเทศ ทั้งนี้ให้การปฏิรูปนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า ความก้าวหน้าของนโยบายรัฐจะตั้งต้นจากหลักการประชาธิปไตยที่หลากหลาย เปิดกว้างและยึดโยงกับผลประโยชน์ของสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา
3.ต้องมีการสถาปนาสิทธิประโยชน์กลางแห่งประเทศไทย รวมถึงมาตรฐานการรักษาพยาบาลกลางแห่งประเทศไทย เพื่อให้ก่อกำเนิดสิทธิขั้นพื้นฐานที่บุคคลในทุกกลุ่มอาชีพและการดำรงชีวิต ในทุกกองทุนสุขภาพ สามารถเข้าถึงได้จริง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสิทธิด้านสุขภาพและความซ้ำซ้อนภายใต้ระบบราชการ
โดยต้องจัดให้ภาคประชาชน ผู้ให้บริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมกับการปรับปรุงสิทธิประโยชน์พื้นฐาน การสะท้อนถึงคุณภาพการรักษา การบริการและการเข้าถึงระบบสุขภาพ โดยสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ
4.ต้องมีการขยายการคุ้มครองสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐานไปยังแรงงานภาครัฐในระบบสุขภาพ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการของงานที่มีคุณค่าสากล (Decent Work) อาทิ การได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว สภาพการทำงานที่ปลอดภัยและภาระงานที่เป็นธรรมต่อผู้ใช้แรงงาน
การมีสัญญาจ้างงานที่เป็นไปตามกฎหมายและนำไปสู่การเสริมสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงของคนทำงาน และต้องมีการคุ้มครองสิทธิในการจัดตั้งสหภาพแรงงานและการต่อรองร่วม ตามอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 เพื่อให้คนทำงานในระบบสุขภาพของรัฐและคนทำงานทุกสายอาชีพนั้นสามารถเข้าถึงสิทธิในการธำรงสิทธิแรงงานของตนเอง-ด้วยตนเอง
ทีมประกันสังคมก้าวหน้าจึงขอใช้โอกาสดังนี้ในการนำเสนอนโยบายด้านสุขภาพรวมถึงจุดยืนแบบรัฐสวัสดิการของพวกเรา ว่าด้วยการต่อกรกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม การขูดรีดแรงงาน และการบริหารรัฐที่ยังไม่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเท่าที่ควร
พวกเราในฐานะคนทำงานและคนธรรมดาทั่วไปที่ได้รับเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารกองทุนประกันสังคมผ่านการเลือกตั้งทางตรงเป็นครั้งแรกในปี 2566 ขอยืนยันว่าความเปลี่ยนแปลงใดใด อันจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคนส่วนใหญ่นั้น ล้วนต้องมาจากการออกแบบร่วมกันระหว่างแรงงานผู้ผลิต-ผู้ให้บริการ และผู้บริโภค-ผู้รับบริการ ผ่านกลไกประชาธิปไตยในทุกระดับของสังคม
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 24/10/2568
รับร่างแรงงานไทยเสียชีวิตในอิสราเอล เมื่อปี 66 เตรียมส่งกลับบ้านเกิด จ.หนองบัวลำภู เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา
ร่างนายสนธยา อัครศรี แรงงานไทยวัย 30 ปีที่เสียชีวิตในอิสราเอล หลังถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกัน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิแล้ว ด้วยสายการบินแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ LY083 โดยมี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศ และ Doctor อโลนา ฟิชเชอร์ - คัมค์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยมารอรับ ก่อนวางพวงหรีด จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายไปยังภูมิลำเนาจังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อกลับไปทำพิธีทางศาสนา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สำหรับร่างของนายสนธยา ญาติมีความประสงค์จะนำกลับไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่บ้านเกิดหนองบัวลำภู โดยตนและตัวแทนกระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงตัวแทนจากสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย จะเดินทางไปร่วมไว้อาลัย และพบกับญาติของผู้เสียชีวิต
สำหรับทายาทของผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินเยียวยาและสิทธิประโยชน์เงินชดเชย ประมาณ 70,000-72,000 บาท/เดือน ส่วนบิดา, มารดา ของผู้เสียชีวิต ได้รับเงินสิทธิประโยชน์จำนวน 1.8 ล้านบาท
ร่างของนายสนธิยา ศพสุดท้ายเดินทางมาถึงในวันนี้ ถือเป็นวันสิ้นสุดการรอคอยของญาติ ที่ใช้เวลานานถึง 2 ปี กว่าจะได้ร่างกลับมา
อย่างไรก็ตามร่างของแรงงานไทยที่เสียชีวิตจากกรณีกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกัน และยังไม่สามารถนำกลับมาได้อีก 1 ราย คือนาย สุทธิศักดิ์ ชาวจังหวัดหนองคาย อายุ 43 ปี ซึ่งทางการอิสราเอล ยืนยันการเสียชีวิต แต่ยังไม่พบร่าง
ที่มา: สำนักข่าวไทย, 23/10/2568
สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยเตรียมคัดค้าน ‘บำนาญสูตร Care’ ชี้กระทบ ม.33 เสียประโยชน์
นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีผลประชาพิจารณ์บำนาญชราภาพสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 หรือ “สูตรบำนาญ Care” ของสำนักงานประกันสังคม ว่า จากจำนวนผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามในทุกช่องทาง รวมทั้งสิ้น 102,010 รายนั้น ได้ก่อให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า ผลการประชาพิจารณ์ดังกล่าวสามารถสะท้อนเสียงของผู้ประกันตนตามมาตราใดได้อย่างแท้จริง ระหว่างมาตรา 33 หรือมาตรา 39
“แน่นอนว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งมีจำนวนกว่า 1.6 ล้านราย จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการใช้สูตรคำนวณบำนาญตามแนวทางบำนาญสูตร Care ขณะที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งเป็นลูกจ้างในระบบ กลับได้รับผลกระทบในลักษณะที่เป็นการสูญเสียสิทธิประโยชน์ โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนเงินบำนาญที่ลดลง” นายพนัส กล่าว
นายพนัส กล่าวเพิ่มว่า เมื่อวานนี้ (21 ตุลาคม 2568) ตนได้เชิญเจ้าหน้าที่จากสำนักงานประกันสังคมเข้าร่วมชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการคำนวณสูตรบำนาญดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมได้มีการยอมรับว่า การนำสูตรใหม่นี้มาใช้ จะส่งผลให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 บางกลุ่ม ได้รับเงินบำนาญชราภาพลดลงจากเดิม และเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น สำนักงานประกันสังคมจึงได้กำหนดแนวทางการชดเชยผลกระทบเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยผู้ที่เกษียณอายุในปี 2569 จะได้รับการชดเชยส่วนต่างเต็มจำนวน 100% ปี 2570 ชดเชย 80% ปี 2571 ชดเชย 60% ปี 2572 ชดเชย 40% และปี 2573 ชดเชย 20% ตามลำดับ
“ทำให้เห็นว่า หากจำเป็นต้องมีมาตรการชดเชย ย่อมสะท้อนว่าได้มีผู้เสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสูตรบำนาญดังกล่าวแล้ว แล้วกล่าวได้อย่างไรว่า ไม่มีผู้ใดได้รับผลกระทบจากการใช้สูตรบำนาญใหม่นี้” นายพนัส กล่าว... อ่านข่าวต้นฉบับได้
นายพนัส กล่าวเพิ่มว่า นอกจากนี้ จากผลการประชาพิจารณ์ พบว่ามีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการปรับปรุงสูตรบำนาญจำนวน 22,512 ราย คิดเป็นร้อยละ 22.07 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด โดยกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งเป็นลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรม (โรงงาน) ส่วนกลุ่มที่แสดงความเห็นชอบกับสูตรบำนาญใหม่นั้น ส่วนใหญ่ย่อมเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนสูตรในครั้งนี้
“ทางสภาฯ ระหว่างการรวบรวมข้อคิดเห็นจากกลุ่มลูกจ้าง เพื่อจัดทำข้อเสนอคัดค้านแนวทางการปรับสูตรบำนาญดังกล่าว โดยจะนำเสนอต่อสำนักงานประกันสังคม พร้อมเตรียมนำผู้แทนลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวนประมาณ 200-300 คน เดินทางไปยื่นหนังสือแสดงจุดยืน หากยังคงมีแนวโน้มว่าการปรับสูตรดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียเปรียบต่อผู้ประกันตนในระบบต่อไป” นายพนัส กล่าว
ที่มา: มติชนออนไลน์, 22/10/2568
กมธ.การเงิน การคลังฯ สภาผู้แทนราษฎร รับเรื่องร้องจากนักศึกษาขาดโอกาสเรียนต่อ จากเหตุ กยศ.เงินหมด
นายนพพล เหลืองทองนารา ประธานกรรมาธิการ(กมธ.) การเงิน การคลัง สถาบันการเงิน และตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ รับการยื่นหนังสือร้องเรียนจาก ดร.บุศรา เชื้อดี นายกสมาคมโรงเรียนบริบาล และนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ จากการที่ไม่สามารถกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มาใช้เป็นทุนการศึกษาได้ เนื่องจากกองทุนขาดสภาพคล่อง โดยดร.บุศรา ระบุว่านักเรียนของโรงเรียนบริบาลหลายคนขอกู้ยืม กยศ.ไม่ได้ เพราะคลังให้เหตุผลว่าเงินหมด กองทุน กยศ. กำลังประสบปัญหา ทั้งที่กองทุนดังกล่าวเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อให้โอกาสทางการศึกษาเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง การขาดสภาพคล่องทำให้นักศึกษาหลายคนขาดโอกาสที่จะได้เรียนต่อ ขณะเดียวกันตัวแทนนักศึกษา เผยว่าการที่ตนไม่สามารถกู้ กยศ. ได้ มีผลต่อการตัดสินใจเรื่องการจะศึกษาต่อดีหรือไม่ เพราะไม่ต้องการรบกวนทางบ้านที่มีสถานะทางการเงินไม่ค่อยสู้ดี ยืนยันว่าหากตนศึกษาจบแล้วจะมีงานทำอย่างแน่นอน แต่ติดปัญหาที่ขณะนี้ไม่มีกำลังทรัพย์มาจ่ายค่าเทอมเพราะกู้ กยศ.ไม่ได้
นายนพพล ประธานกมธ.การเงิน การคลังฯ กล่าวว่าคณะ กมธ. ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะช่วงหลังมีนักเรียนนักศึกษาหลายคนต้องออกจากระบบการศึกษาเพราะไม่มีทุนการศึกษา คณะ กมธ. ได้เชิญ กยศ. มาให้ข้อมูลแล้วก่อนหน้า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กยศ. ยอมรับว่าสภาพคล่องทางการเงินไม่เหมือนเดิม เนื่องจากนักเรียนนักศึกษาที่กู้ไปและเรียนจบแล้ว ไม่ชำระเงินคืนตามเงื่อนไขเป็นจำนวนเกินครึ่งของผู้กู้ ทำให้เงินทุนหมุนเวียนให้กับนักเรียนนักศึกษารายใหม่ไม่เพียงพอ รายได้หลักของ กยศ. ขณะนี้จึงมาจากเงินงบประมาณของประเทศเป็นหลักเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คณะ กมธ. ยืนยันจะเร่งให้การช่วยเหลือ ทั้งการผลักดันงบประมาณ การเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงและร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหา และขอเรียกร้องไปยังผู้กู้ยืม กยศ. ทุกคนคืนเงินที่กู้ยืมจากกองทุนด้วย
ที่มา: สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา, 22/10/2568
ครม. ให้สิทธิ ลูกจ้างเหมาบริการ หน่วยงานรัฐ ลาคลอด พร้อมเข้าระบบประกันสังคม
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอเรื่อง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ กรณีขยายสิทธิวันลาคลอดให้กับลูกจ้างเหมาบริการในหน่วยงานของรัฐได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น สิทธิในการเข้าประกันสังคม โดยจากนี้หน่วยงานของรัฐจะมีการออกกฎระเบียบให้สามารถตั้งงบประมาณในการทำประกันสังคมให้กับลูกจ้างของรัฐได้ โดยให้มีผลหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ และ ครม.รับทราบแล้ว
ที่มา: มติชนออนไลน์, 21/10/2568
* ข่าว
* เศรษฐกิจ
* สังคม
* แรงงาน
* สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์