Prachatai Feeds
banner
prachataifeeds.bsky.social
Prachatai Feeds
@prachataifeeds.bsky.social
16 followers 1 following 1.9K posts
Posts Media Videos Starter Packs
'ติมอร์-เลสเต' เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการประเทศที่ 11 ของ 'อาเซียน'
'ติมอร์-เลสเต' เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการประเทศที่ 11 ของ 'อาเซียน'
'ติมอร์-เลสเต' เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการประเทศที่ 11 ของ 'อาเซียน' auser15 Sun, 2025-10-26 - 18:47 'ติมอร์-เลสเต' ได้เข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการประเทศที่ 11 ของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนแล้ว หลังจากที่รอคอยมานาน 14 ปี - 'ทรัมป์' ใช้เวทีอาเซียนลงนามข้อตกลงการค้ากับไทยและหลายประเทศ ภาพจาก: สำนักข่าวไทย 26 ตุลาคม 2568 ติมอร์-เลสเต ได้เข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการประเทศที่ 11 ของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน แล้วในวันนี้ หลังจากที่รอคอยมานาน 14 ปี ผู้นำ 10 ชาติสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีซานานา กุสเมา ของติมอร์-เลสเต ลงนามเอกสารในพิธีการลงนามการประกาศรับติมอร์-เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอด หรือซัมมิตอาเซียน สานฝันของนายกุสเมา และประธานาธิบดีโจเซ รามอส-ฮอร์ตา สองวีรบุรุษผู้ต่อสู้เรียกร้องเอกราชของประเทศ หลังจากที่มีการยื่นสมัครเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2554 นายกรัฐมนตรีกุสเมา กล่าวสุนทรพจน์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกว่า ถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของประเทศ เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่จะนำมาซึ่งโอกาสอันมากมายด้านการค้าและการลงทุน สำหรับประชาชนชาวติมอร์-เลสเตแล้ว เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นความฝันที่เป็นจริง แต่ยังเป็นการประกาศอย่างทรงพลังถึงการเดินทางของติมอร์-เลสเต การเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเป็นหลักฐานประจักษ์ถึงจิตวิญญาณของประชาชน และประชาธิปไตยที่ถือกำเนิดขึ้นจากความพยายามฝ่าฟันต่อสู้ ติมอร์-เลสเต มีประชากร 1.4 ล้านคน เป็นหนึ่งในประเทศยากจนที่สุดของเอเชีย มีขนาดเศรษฐกิจราว 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 65,325 ล้านบาท) ขณะที่อาเซียน 10 ประเทศ มีขนาดเศรษฐกิจรวมกัน 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 124.12 ล้านล้านบาท) เคยเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส นานถึง 3 ศตวรรษ ก่อนที่โปรตุเกสถอนตัวออกไปอย่างกะทันหันในปี 2518 เปิดทางให้อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีขนาดใหญ่กว่า เข้ามาผนวกและยึดครอง จนกระทั่งได้รับเอกราชในปี 2545 นายรามอส-ฮอร์ตา ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2539 เสนอแนวคิดเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 เพื่อให้ประเทศมีอนาคตยั่งยืนผ่านการบูรณาการเข้ากับภูมิภาค เขาให้สัมภาษณ์พิเศษแชนนัลนิวส์เอเชีย หรือซีเอ็นเอ (CNA) ของสิงคโปร์เมื่อเดือนกันยายนว่า ติมอร์-เลสเตจะไม่เพิ่มภาระให้แก่อาเซียน แต่หวังจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างกลไกของอาเซียน เช่น การป้องกันความขัดแย้งให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเห็นว่าอาเซียนควรเน้นเรื่องการเจรจาเพื่อป้องกันความขัดแย้ง 'ทรัมป์' ใช้เวทีอาเซียนลงนามข้อตกลงการค้ากับไทยและหลายประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ใช้เวทีการประชุมสุดยอด หรือซัมมิตสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ลงนามข้อตกลงการค้าและข้อตกลงแร่ธาตุสำคัญกับหลายประเทศในวันนี้ รวมถึงไทย เว็บไซต์ทำเนียบขาวได้เผยแพร่แถลงการณ์ร่วม ข้อตกลง และบันทึกความเข้าใจหลายฉบับ ระหว่างสหรัฐกับ 4 ประเทศในอาเซียน ประกอบด้วย มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และไทย ที่นายทรัมป์ได้ลงนามหลังจากเป็นสักขีพยานการลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา ก่อนที่เวทีซัมมิตอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย จะเริ่มขึ้นในวันนี้ สำหรับไทยนั้นเป็นแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบสำหรับข้อตกลงการค้าสหรัฐ-ไทย เรื่องการค้าต่างตอบแทน และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือในการสร้างความหลากหลายให้แก่ห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญโลกและส่งเสริมการลงทุน แถลงการณ์ร่วมฯ ระบุว่า ข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนจะตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีมายาวนาน ครอบคลุมถึงสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสหรัฐ-ไทยปี 2509 และกรอบข้อตกลงการค้าและการลงทุนสหรัฐ-ไทยปี 2545 เงื่อนไขสำคัญในข้อตกลงฯ เช่น ไทยจะกำจัดอุปสรรคภาษีให้แก่สินค้านำเข้าจากสหรัฐ ราวร้อยละ 99 ครอบคลุมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรอย่างกว้างขวาง ขณะที่สหรัฐจะคงอัตราภาษีศุลกากรต่างตอบแทนกับไทย ไว้ที่ร้อยละ 19 ตามที่กำหนดไว้ในคำสั่งฝ่ายบริหารวันที่ 2 เมษายน 2568 กับสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดในไทย ไทยจะซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐ ปีละ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 84,922 ล้านบาท) พลังงานปีละ 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 176,377 ล้านบาท) และเครื่องบินจำนวน 80 ลำมูลค่า 18,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 614,055 ล้านบาท) เป็นที่น่าสังเกตว่า แถลงการณ์ร่วมได้ขีดเส้นใต้เงื่อนไขเรื่องไทยจะแก้ไขและป้องกันอุปสรรคที่มีต่อสินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐในตลาดของไทยด้วย ส่วนบันทึกความเข้าใจฯ ระบุว่า สหรัฐและไทยจะแบ่งปันข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมแร่ธาตุสำคัญของไทย ช่วยไทยวิเคราะห์แหล่งแร่ธาตุสำคัญ และประสานเรื่องโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ ทั้งสองฝ่ายจะพบหารือกันในระดับคณะทำงานอย่างสม่ำเสมอ ความร่วมมือทั้งหมดตามบันทึกความเข้าใจฯ นี้จะขึ้นอยู่กับเงินทุนที่มี ซึ่งไม่ใช่เงินทุนที่มีสัญญาผูกมัด และบันทึกความเข้าใจฯ นี้ ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือมีผลต่อข้อตกลงที่มีอยู่ของทั้งสองฝ่าย ในเรื่องของแร่ธาตุสำคัญนั้น รอยเตอร์ได้รายงานพิเศษเมื่อเดือนกันยายนว่า จีนอยู่ระหว่างหารือกับมาเลเซีย เรื่องการสกัดธาตุหายาก หรือแรร์เอิร์ธ คาดว่ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของมาเลเซียจะเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทจีนสร้างโรงสกัดแรร์เอิร์ธ ที่มาเลเซีย ซึ่งมีแรร์เอิร์ธราว 16.1 ล้านตัน ขณะที่จีนซึ่งทำเหมืองและสกัดแรร์เอิร์ธเป็นอันดับหนึ่งของโลก ได้เพิ่มการจำกัดการส่งออก ทำให้ผู้ผลิตทั่วโลกต้องเร่งหาแหล่งแรร์เอิร์ธสำรอง เพราะเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตชิป ยานยนต์ไฟฟ้า และยุทโธปกรณ์ ที่ผ่านมามาเลเซียสั่งห้ามส่งออกแรร์เอิร์ธที่ยังไม่ผ่านการสกัด เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพยากรสำคัญในช่วงที่กำลังหาทางพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำ แต่ในแถลงการณ์ที่มาเลเซียและสหรัฐ แถลงร่วมกันในวันนี้ มาเลเซียตกลงที่จะยกเว้นการห้ามส่งออกหรือกำหนดโควตาการส่งออกแรร์เอิร์ธไปสหรัฐ ที่มาเรียบเรียงจากสำนักข่าวไทย [1] [2]   * ข่าว * ต่างประเทศ * ติมอร์-เลสเต * อาเซียน * ประชุมสุดยอดอาเซียน * สหรัฐอเมริกา
dlvr.it
กราฟิตีและงานศิลปะช่วงชิงพื้นที่ | หมายเหตุประเพทไทย EP.598
กราฟิตีและงานศิลปะช่วงชิงพื้นที่ | หมายเหตุประเพทไทย EP.598
กราฟิตีและงานศิลปะช่วงชิงพื้นที่ | หมายเหตุประเพทไทย EP.598 user8 Sun, 2025-10-26 - 18:44 หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ภาวิน มาลัยวงศ์ และต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี จะพาผู้ชมสำรวจโลกของกราฟฟิตี (Graffiti) ศิลปะบนกำแพงที่หลายคนอาจมองว่าเป็นการทำลายทรัพย์สิน แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์การประกาศตัวตน ความอยากเป็นที่มองเห็น และการช่วงชิงพื้นที่ในเมือง จากจุดเริ่มต้นที่นิวยอร์กยุค 1960s ไปจนถึงการเดินทางสู่เอเชีย รวมถึงการถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดข้อถกเถียงว่าอะไรคือ “คุณค่า” ของกราฟฟิตีอย่างแท้จริง พร้อมชวนสำรวจแนวคิดของ Henri Lefebvre ว่ากราฟฟิตีสัมพันธ์อย่างไรกับอำนาจ การจัดระเบียบเมือง และสิทธิในการใช้พื้นที่สาธารณะ พร้อมชวนคุยเรื่องการกลืนกลายพื้นที่ของทุน (Gentrification) และข้อกล่าวหาเรื่องการทำลายทรัพย์ (Vandalism) ที่แวดล้อมศิลปะชนิดนี้ ใครกันคือผู้ตัดสินความหมายของเมือง และใครกันที่ถูกผลักออกจากพื้นที่ของตัวเอง พบกับการสนทนาที่ชวนคิดต่อใน #หมายเหตุประเพทไทย #graffiti * ข่าว * วัฒนธรรม * หมายเหตุประเพทไทย * มัลติมีเดีย * กราฟฟิตี * ศิลปะ
dlvr.it
'อนุทิน' เผยคุย 'ทรัมป์' ตอบรับในหลักการคำเชิญเยือนไทย เชื่อกัมพูชาไม่กล้าบิดพลิ้ว
'อนุทิน' เผยคุย 'ทรัมป์' ตอบรับในหลักการคำเชิญเยือนไทย เชื่อกัมพูชาไม่กล้าบิดพลิ้ว
'อนุทิน' เผยคุย 'ทรัมป์' ตอบรับในหลักการคำเชิญเยือนไทย เชื่อกัมพูชาไม่กล้าบิดพลิ้ว auser15 Sun, 2025-10-26 - 16:52 'อนุทิน' เผยคุย 'ทรัมป์' ตอบรับในหลักการคำเชิญเยือนไทย เชื่อกัมพูชาไม่กล้าบิดพลิ้วปฏิญญา หลังประธานอาเซียน-ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงชื่อเป็นพยาน ภาพจาก: NBT Connext  26 ตุลาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการพบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มาเลเซีย ว่าได้มีการหารือกันนิดหน่อย เป็นการขอการสนับสนุนเรื่องการค้า และภาษี รวมทั้งได้เชิญนายโดนัลด์ ทรัมป์ มาเยือนประเทศไทย เพราะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้มาเยือนประเทศไทยประมาณ 10 กว่าปีแล้ว ซึ่งท่านตอบรับในหลักการ เมื่อถามถึงการลงนามถ้อยแถลงระหว่างไทย-กัมพูชา จะเริ่มเคลียร์พื้นที่ชายแดน และจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างเมื่อไหร่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทางกองทัพมีการประสานงานกันอยู่ ได้รับทราบว่าจะดำเนินการทันที สามารถสอบถามทางรองเสนาธิการทหาร ที่เป็นหัวหน้าทีมเจรจาได้ ซึ่งท่านทำงานเข้มแข็ง และมีทีมเวิร์คที่ดีกับฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศด้วย จึงเป็นที่มาของการได้ลงนามของปฏิญญาเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เมื่อถามว่า มีโอกาสพูดคุยกับนายฮุน มาเนต แบบสองต่อสองในลักษณะเปิดใจหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดคุยกันแบบสองต่อสอง แต่หลังจากลงนามในปฎิญญาแล้ว คิดว่าคงมีการพูดคุยกันมากขึ้น เพราะแต่ละประเทศต้องพยายามให้การปฏิบัติต่างๆ เป็นไปตามเงื่อนไขโดยเร็ว เพื่อนำไปสู่การยกระดับให้เกิดสันติภาพเร็วที่สุด เมื่อถามว่า ขณะนี้ถือว่าเราเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้วหรือยัง นายอนุทิน กล่าวว่า ยัง เพราะยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ ซึ่งในปฏิญญา และจากการพูดคุยของทีมเจรจา ยังมีขั้นตอนที่ฝ่ายกัมพูชาจะต้องเริ่มปฏิบัติเป็นลำดับควบคู่กับของไทย เมื่อถามว่า ขณะนี้ถือว่าความขัดแย้งชายแดนที่ผ่านมาจบลงแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขก่อน เมื่อถามอีกว่า การลงนามครั้งนี้มั่นใจแค่ไหนว่าจะได้รับการตอบสนองที่ดีจากกัมพูชา นายอนุทิน กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้มีสักขีพยาน มีผู้ประสานงาน และเป็นการลงนามในฐานะที่มีการประชุมสูงสุดของอาเซียน และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ลงลายมือชื่อในฐานะสักขีพยานด้วย เปรียบเสมือนเป็นการบรรลุเงื่อนไข และในปฏิญญาครั้งนี้ดำเนินการภายใต้การรับรู้รับทราบของประชาคมอาเซียน รวมถึงนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับรู้ข้อตกลงครั้งนี้ ดังนั้น น่าจะเป็นนิมิตรหมายที่ดี ถ้าเป็นเราก็คงไม่กล้าจะทำอะไรที่นอกเหนือหรือไม่ปฏิบัติตาม * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * อนุทิน ชาญวีรกูล * โดนัลด์ ทรัมป์
dlvr.it
ไทยร่วมลงนามอนุสัญญา UN จับมือกว่า 68 ประเทศทั่วโลก ต่อต้านภัยสแกมเมอร์
ไทยร่วมลงนามอนุสัญญา UN จับมือกว่า 68 ประเทศทั่วโลก ต่อต้านภัยสแกมเมอร์
ไทยร่วมลงนามอนุสัญญา UN จับมือกว่า 68 ประเทศทั่วโลก ต่อต้านภัยสแกมเมอร์ auser15 Sun, 2025-10-26 - 16:26 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย ร่วมลงนามอนุสัญญา UN จับมือกว่า 68 ประเทศทั่วโลก ต่อต้านภัยสแกมเมอร์ ที่ประเทศเวียดนาม เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดีอี นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี และโฆษกกระทรวงดีอี นางสาวอุรวดี ศรีภิรมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย และคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมพิธีลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime) และการประชุมระดับสูง (High-Level Conference) ที่มี 68 ประเทศ และสหภาพยุโรป (EU) เข้าร่วม ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีนายเลือง เกื่อง ประธานาธิบดีเวียดนาม และนายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ เข้าร่วมในพิธีลงนามดังกล่าว นายไชยชนก เปิดเผยว่า พิธีลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime)  ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของ 68 ประเทศ และสหภาพยุโรป (EU) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและสร้างมาตรการในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น พร้อมทั้งอํานวยความสะดวก และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ รวมถึงการสนับสนุนความช่วยเหลือทางวิชาการและการเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์ของประเทศกําลังพัฒนา ขณะเดียวกันในระหว่างการประชุมระดับสูง (High-Level Conference) ตนยังได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลง โดยได้เน้นย้ำถึงความรุนแรงของการหลอกลวงออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนไทย ซึ่งรัฐบาลไทย โดยนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ให้ความสำคัญ และเอาจริงเอาจังต่อปัญหาดังกล่าว โดยได้กำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ทั้งนี้รัฐบาลไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมดำเนินมาตรการเชิงรุก 3 ด้าน ได้แก่  1.การตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตบริเวณแนวชายแดน และตรวจจับการลักลอบการเชื่อมต่อสัญญาณ เพื่อไม่ให้มีสัญญาณเล็ดลอดออกนอกประเทศ 2.การบูรณาการด้านข้อมูลร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาฐานข้อมูลกลางแบบเรียลไทม์ เพื่อการติดตามเส้นทางการเงินของผู้กระทำผิด บัญชีม้า ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการเร่งคืนเงินเยียวยาให้กับผู้เสียหาย และ 3.ดำเนินการตอบโต้ โดยเร่งรัดการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.ก.ป้องกันและปราบปรามทางเทคโนโลยีฉบับใหม่ ที่เน้นให้ความสำคัญ ในการ “ป้องกัน ปราบปราม และตอบโต้” เน้นการกำกับดูแลตามหลักเกณฑ์ และบทลงโทษที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น พร้อมจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว ภายในระยะเวลา 1 – 2 เดือน โดยหากพบเบาะแส ข้อมูลการร่วมกระทำความผิด หรือเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และการพนันออนไลน์ ของบุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และบุคลากรของรัฐ จะดำเนินการเอาผิดอย่างเด็ดขาดและถึงที่สุดตามกฎหมายในทันที นอกจากนี้ รัฐบาลไทย ยังขอแสดงความชื่นชมกับการดำเนินการอย่างเด็ดขาดของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ ในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ และพร้อมให้ความร่วมมือกับนานาประเทศในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว “การลงนามอนุสัญญาดังกล่าว นับเป็นก้าวสำคัญและการแสดงจุดยืนของไทยในการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลก โดยแสดงให้เห็นว่าประเทศไทย ให้ความสำคัญและพร้อมใช้ยาแรงในการปราบปราม ควบคู่ไปกับการสร้างความร่วมมือกับนานาชาติจัดการปัญหาสแกมเมอร์ ที่มีผลกระทบต่อประชาชนคนไทย ประชาคมโลก อย่างจริงจัง เพื่อร่วมสร้างเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน” นายไชยชนก กล่าวในตอนท้าย * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * ต่างประเทศ * สแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์
dlvr.it
กองทัพรัฐฉานลดธงครึ่งเสา รัฐบาลพม่า NUG – กะเหรี่ยง KNU ไว้อาลัยสมเด็จพระพันปีหลวงสวรรคต
กองทัพรัฐฉานลดธงครึ่งเสา รัฐบาลพม่า NUG – กะเหรี่ยง KNU ไว้อาลัยสมเด็จพระพันปีหลวงสวรรคต
กองทัพรัฐฉานลดธงครึ่งเสา รัฐบาลพม่า NUG – กะเหรี่ยง KNU ไว้อาลัยสมเด็จพระพันปีหลวงสวรรคต auser15 Sun, 2025-10-26 - 16:05 สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน RCSS ออกแถลงการณ์แสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยกองทัพรัฐฉาน RCSS/SSA ฐานดอยก่อวัน ลดธงชาติรัฐฉานครึ่งเสา - สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU ไว้อาลัยสมเด็จพระพันปีหลวงสวรรคต - รัฐบาลพม่า NUG เผยแพร่สารไว้อาลัย ระบุถึงพระราชกรณียกิจสมเด็จพระพันปีหลวงฯ ทรงงานด้านการพัฒนาและมนุษยธรรม กองทัพรัฐฉาน RCSS/SSA ลดธงครึ่งเสา ไว้อาลัยสมเด็จพระพันปีหลวง กองบัญชาการควบคุมส่วนหน้าที่ 1 (บก.คค.สน.ที่ 1) (ดอยก่อวัน) สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน/กองทัพรัฐฉาน (RCSS/SSA ) ลดธงชาติรัฐฉาน เพื่อแสดงความอาลัยสมเด็จ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มา: Facebook/Know Shan State ในเว็บไซต์ Tai Freedom คณะกรรมการบริหารสูงสุด สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS) ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองของกองทัพรัฐฉาน (SSA) ออกแถลงการณ์ เรื่อง แสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันที่ 25 ต.ค. 2568 ระบุว่า 1. ด้วยความโศกเศร้าและอาลัยอย่างหาที่สุดมิได้ สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS) ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งได้สวรรคตเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2568 เวลา 21.21 น. 2. สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS) ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงอุทิศพระวรกายและพระราชหฤทัยอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาธรรม เพื่อทรงธำรงรักษาผืนแผ่นดินไทยให้คงความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พระราชดำริในการปลูกป่าและฟื้นฟูผืนป่าทั่วภูมิภาคของประเทศไทย ได้เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงยั่งยืนแก่ทรัพยากรป่าไม้ และเป็นแบบอย่างอันทรงคุณค่าสืบไปยังชนรุ่นหลัง การสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงของปวงชนชาวไทยและผู้เคารพรักในพระองค์ทั่วทุกสารทิศ ที่ได้สูญเสียองค์แม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเป็นแรงบันดาลใจแห่งความเสียสละ ความเมตตา และความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง 3. สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS) ขอน้อมเกล้าฯ ส่งเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สู่สวรรคาลัย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ และจะขอจารึกไว้ในใจตราบนิจนิรันดร์ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า กองบัญชาการควบคุมส่วนหน้าที่ 1 (บก.คค.สน.ที่ 1) (ดอยก่อวัน) สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน/กองทัพรัฐฉาน กิ่งอำเภอเมืองโต๋น จังหวัดเมืองสาด รัฐฉาน ได้ลดธงชาติรัฐฉาน เพื่อแสดงความอาลัยสมเด็จ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อีกด้วย สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU ไว้อาลัยสมเด็จพระพันปีหลวง ที่มา: Facebook/Karen National Union วันที่ 25 ต.ค. 2568 กองบัญชาการ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union – KNU) ได้ส่งหนังสือแสดงความไว้อาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ใจความว่า "พวกเรา คณะผู้นำและสมาชิกแห่งสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และประชาชนชาวไทยทุกคน ต่อการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จะทรงเป็นที่จดจำตลอดไปในฐานะพระราชินีผู้ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อพสกนิกรชาวไทย ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเพื่อสร้างความหวังและความสุขให้กับชุมชน และทรงมุ่งมั่นส่งเสริมความงดงามของศิลปหัตถกรรมและวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่สืบไป” “พระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาญาณของพระองค์ เป็นดั่งแสงสว่างนำทางให้กับผู้คนมากมาย รวมถึงประชาชนชาวกะเหรี่ยงด้วย พวกเราขอร่วมไว้อาลัยกับประชาชนชาวไทยต่อการสูญเสียสมเด็จพระราชินีผู้ทรงคุณอันประเสริฐพระองค์นี้ด้วยความอาลัยยิ่ง" รายงานในสยามรัฐระบุว่า พื้นที่รับผิดชอบของกองพลน้อยที่ 4 กองกำลัง KNLA สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU จังหวัดมะริด-ทวาย พลจัตวา โพเล มีคำสั่งลดธงครึ่งเสาตลอดพื้นที่อิทธิพลของกองพลน้อยที่ 4 เพื่อร่วมแสดงความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงด้วย รัฐบาลพม่า NUG ระบุสมเด็จพระพันปีหลวงทรงงานด้านการพัฒนาและมนุษยธรรม กระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติพม่า NUG เผยแพร่สารไว้อาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ที่มา: National Unity Government of Myanmar ขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หรือ NUG ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ได้เผยแพร่สารไว้อาลัย ต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ขอแสดงความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง แห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดพระชนมชีพ สมเด็จพระบรมราชชนนีฯ ได้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อความผาสุกของประชาชนชาวไทย ทรงมุ่งมั่นต่อการพัฒนาด้านสังคมและสวัสดิการ และทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญต่อการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมดั้งเดิมของประเทศไทย ซึ่งเป็นหลักฐานแห่งพระเมตตาและภาวะผู้นำอันยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงสร้างคุณูปการด้านการพัฒนาประเทศและงานด้านมนุษยธรรมไว้อย่างยิ่งใหญ่ เป็นมรดกที่จะถูกจดจำและน้อมรำลึกด้วยความเคารพอย่างสูงจากรุ่นสู่รุ่น ในช่วงเวลาแห่งการไว้ทุกข์ของชาติ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ และประชาชนแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ขอแสดงความเสียใจและขออยู่เคียงข้างพระบรมวงศานุวงศ์ รัฐบาลไทย และประชาชนชาวไทยทุกคน” ลงนาม กระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG)   * ข่าว * ต่างประเทศ * ชายแดนไทย-พม่า * กองทัพรัฐฉาน * สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง * รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ * สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง * obituary
dlvr.it
นักเศรษฐศาสตร์มองแรงกดดันต่างชาติต่อกัมพูชา โอกาสของไทยจัดการเศรษฐกิจสีเทา
นักเศรษฐศาสตร์มองแรงกดดันต่างชาติต่อกัมพูชา โอกาสของไทยจัดการเศรษฐกิจสีเทา
นักเศรษฐศาสตร์มองแรงกดดันต่างชาติต่อกัมพูชา โอกาสของไทยจัดการเศรษฐกิจสีเทา auser15 Sun, 2025-10-26 - 15:40 นักเศรษฐศาสตร์มองแรงกดดันต่างชาติต่อกัมพูชา โอกาสของไทยจัดการเศรษฐกิจสีเทาฟอกเงิน เร่งสร้างเศรษฐกิจโปร่งใสมีธรรมาภิบาล ลดสัดส่วนเศรษฐกิจใต้ดิน มูลค่าเศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 50% ของจีดีพี มูลค่าทางเศรษฐกิจติดลำดับต้นๆของโลก ดึงเชื่อมั่นนักลงทุน เดินหน้าสู่มาตรฐานประเทศ OECD ภาพจาก: PickPik (CC0)  26 ตุลาคม 2568 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ประเทศไทยนั้นล้อมรอบโดยประเทศที่เป็นแหล่งประกอบอาชญากรรมขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและศูนย์กลางหลอกลวงฉ้อโกงทางออนไลน์ และ ไทยได้กลายเป็นศูนย์กลางฟอกเงินจากกิจกรรมผิดกฎหมายและอาชญากรรมจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งกัมพูชาและเมียนมา แรงกดดันของนานาชาติต่อกัมพูชา เป็นโอกาสของรัฐบาลไทยในการเดินหน้าจัดการอย่างเด็ดขาดกับเศรษฐกิจสีเทาฟอกเงินเหล่านี้ การเติบโตของเศรษฐกิจสีเทาและกิจกรรมฟอกเงินจะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจจะไม่มีความน่าเชื่อถือ ไม่มีความแน่นอนไม่มีกรอบมาตรฐานในการดำเนินการ ขาดความยั่งยืนและไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่   การเป็นแหล่งฟอกเงินของสแกมเมอร์และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติทำให้ “ไทย” ไม่อยู่ในสถานะที่จะพัฒนาสู่การเป็น ศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุน ที่น่าเชื่อถือของนักลงทุนได้ การขยายใหญ่ของกิจกรรมผิดกฎหมาย และ การเติบใหญ่ของกิจกรรมฟอกเงินในไทย เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะยาว ความมั่นคงของประเทศและความสงบเรียบร้อยของสังคม หากปล่อยให้ ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติและกิจกรรมฟอกเงินเติบโต กลุ่มเหล่านี้ก็อาจเข้ามามีบทบาททางการเมืองผ่านการติดสินบนซื้อนักการเมือง ซื้อพรรคการเมือง  ซื้อข้าราชการ ซื้อกระบวนการยุติธรรม หรือ แม้นกระทั่งมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลได้ และ ปรากฎการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศละตินอเมริกา หรือ แอฟริกาบางประเทศมาแล้ว โดยเฉพาะรัฐบาลละตินอเมริกาบางประเทศเคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติมาแล้ว จนถึงขั้นต้องมีการแทรกแซงทางการทหารโดยสหรัฐอเมริกา อย่างกรณีของเผด็จการทหาร นายพลมานูเอล นอริเอกา ที่ทำให้ “ปานามา” เป็น ศูนย์กลางสำหรับการฟอกเงินจากขบวนการยาเสพติดระหว่างประเทศ  รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่สหรัฐอเมริกาก็ดี อังกฤษก็ดี เกาหลีใต้ก็ดี ได้เดินหน้าปราบปราม ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติในกัมพูชา แก็งสแกมเมอร์ ขบวนการค้ามนุษย์และบังคับใช้แรงงานทาส มีการยึดทรัพย์และดำเนินการทางกฎหมายต่อกลุ่มนักธุรกิจสีเทาที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มผู้นำในกัมพูชาหรือเมียนมาก็ดี ย่อมเป็นโอกาสของประเทศไทยในจัดการเศรษฐกิจสีเทาฟอกเงินของเครือข่ายเหล่านี้ หากรัฐบาลนิ่งเฉยและไม่แสดงความกระตือรือร้นต่อการแก้ปัญหาเหล่านี้ ย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยต่อสาธารณชนว่า กลุ่มการเมืองหรือกลุ่มข้าราชการ กลุ่มธุรกิจในไทยมีผลประโยชน์เกี่ยวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้หรือไม่ ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมฟอกเงินหรือไม่  การปล่อยให้ปัญหาขยายวงโดยไม่เร่งแก้ปัญหาเชิงรุกจะนำมาสู่ความเสี่ยงอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย รวมทั้ง ความไม่เป็นไปได้ในการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในอนาคต รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมากที่ไม่อยู่ภายใต้ระบบตลาดที่เป็นทางการ จึงทำให้รายได้และกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่ได้นับรวมอยู่ในระบรายได้ประชาชาติ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่นอกจีดีพี ไม่ได้เอามาคำนวณในจีดีพี จีดีพีจึงมีความคลาดเคลื่อนอยู่ไม่น้อย ทำให้การวางแผนทางเศรษฐกิจไม่เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด นอกจากนี้องค์การแรงงานระหว่างประเทศยังพบว่า ไทยยังมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่อยู่ภายใต้ระบบความคุ้มครองสภาพการทำงาน เป็นแรงงานนอกระบบที่ขาดหลักประกันในชีวิตและการคุ้มครองทางสังคม แรงงานเหล่านี้จะอยู่นอกระบบประกันสังคม นอกจากนี้ สังคมไทยยังมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือกิจกรรมทางสังคมที่ไม่อยู่ภายใต้การอนุญาตของกฎหมาย เป็นเศรษฐกิจนอกกฎหมายจำนวนมากและในระยะหลัง กลุ่มจีนเทา กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติจากเพื่อนบ้านได้เข้ามาฟอกเงิน ประกอบธุรกิจสีดำ ธุรกิจสีเทา ขยายกิจกรรมนอกกฎหมายหรือผิดกฎหมายตามแนวชายแดนไทย หรือ ในบางพื้นที่ของไทย เช่น ค้ายาเสพติด ค้าของเถื่อน ค้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ค้าแรงงานทาส ค้าบริการทางเพศและเปิดบ่อนการพนัน เป็นต้น รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์การจัดการเศรษฐกิจนอกระบบและนอกกฎหมายเหล่านี้ ลดสัดส่วนเศรษฐกิจใต้ดินลงด้วยการนำเศรษฐกิจใต้ดินมาอยู่ในระบบ จะได้เก็บภาษีและกำกับดูแลได้ง่ายขึ้น  เราสามารถจำแนกรายได้จากการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ออกได้เป็น 4 ประเภท ประเภทที่หนึ่ง คือ รายได้ที่อยู่ในตลาดอย่างเปิดเผยและได้มาอย่างถูกกฎหมาย ตรงนี้คือ รายได้จากเศรษฐกิจในระบบและเป็นไปตามกฎหมาย ประเภทที่สอง คือ รายได้ที่อยู่ในตลาดอย่างเปิดเผยและถูกกฏหมายแต่ไม่ได้ถูกบันทึกหรือรายงานเอาไว้ เช่น กิจการที่มีขนาดเล็กมากๆ ร้านหาบแร่แผงลอย หรือ การทำกิจการเล็กๆน้อยๆในครัวเรือน เป็นต้น ประเภทที่สาม รายได้ที่ไม่อยู่ในรูปของตัวเงิน เป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของหรือแรงงานกันในระดับชุมชน ประเภทที่สี่ คือ รายได้ที่ได้มาจากเศรษฐกิจนอกระบบทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เช่น การพนัน ค้าประเวณี และ ยาเสพติด นอกจากนี้ยังมีกิจการหรือธุรกิจที่ผิดกฎหมายแต่เป็นผลมาจากการไม่ได้รับความสะดวกจากระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่หรือไม่ได้รับความสะดวกตามกลไกของรัฐ เช่น รถรับจ้างเถื่อน รถโดยสารประจำทางเถื่อน เป็นต้น เศรษฐกิจนอกกฎหมายมักใช้ “เงินสด” เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ มูลค่าเศรษฐกิจนอกระบบรวมทั้งนอกกฎหมายของไทยมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 50% ของจีดีพี เป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ใหญ่มากและติดลำดับต้นๆของโลก อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่ที่ทำการศึกษามูลค่าเศรษฐกิจของเศรษฐกิจนอกระบบทำกันในช่วงทศวรรษ 2550 จึงจำเป็นต้องมีการประเมินมูลค่าเศรษฐกิจนอกระบบกันใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ล่าสุด ซึ่งคาดว่ามูลค่ายังคงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กลุ่มทุนจีนเทาได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยอย่างเป็นล่ำเป็นสัน กิจกรรมเศรษฐกิจนอกระบบ 6 กิจกรรมประกอบไปด้วย การค้ายาเสพติด การค้าอาวุธสงคราม การค้าน้ำมันเถื่อน การค้าประเวณี การค้าแรงงานข้ามชาติและการพนัน มีสัดส่วนประมาณ 13% ของจีดีพี เศรษฐกิจนอกระบบและนอกกฎหมายมักมีขนาดใหญ่และขยายตัวในประเทศกำลังพัฒนามากกว่าในประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะประเทศเหล่านี้มักมีการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ มีการทุจริตคอร์รัปชันสูง มีติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐมาก รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า ไทยตั้งเป้าหมายในการเข้าเป็นสมาชิกประเทศ OECD ฉะนั้น การเร่งสร้างเศรษฐกิจโปร่งใสมีธรรมาภิบาลมีความสำคัญ ธรรมาภิบาลของระบบเศรษฐกิจก็จะช่วยดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน การยกระดับมาตรฐานดังกล่าว จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยน ต้องปฏิรูป เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน OECD OECD นั้นมีการกำหนดมาตรฐานทางการเงินและเศรษฐกิจหลากหลาย เช่น มาตรฐานธรรมาภิบาล มาตรการคุ้มครองนักลงทุนและผู้บริโภค ตลาดการเงินมั่นคง มาตรฐานการจัดการความเสี่ยงจากการฉ้อโกงและหลอกลวง ความเสี่ยงเรื่องสิ่งแวดล้อม นโยบายภาษีที่เป็นธรรม เป็นต้น  หากในอนาคตประเทศไทยจะมีนโยบายเปิดให้มี “คาสิโน” ถูกกฎหมายต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นแหล่งในการฟอกเงินหรือเป็นแหล่งของการกระทำผิดกฎหมายและศีลธรรม เป็นหน้าที่ของ “รัฐ” และ “สังคม” ต้องช่วยกันกำกับดูแลตรงนี้ให้ดี ประเทศที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่มีปัญหา คือ ประเทศที่มีมาตรฐานธรรมาภิบาลภาครัฐดีอย่างสิงคโปร์ ส่วนประเทศที่มีมาตรฐานธรรมาภิบาลภาครัฐต่ำแบบกัมพูชา แบบเมียนมา เราจะเห็นได้ว่า “คาสิโน” กลายเป็นแหล่งในการฟอกเงินและมีขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเข้าไปเกี่ยวข้อง * ข่าว * เศรษฐกิจ * ฟอกเงิน * กัมพูชา * อนุสรณ์ ธรรมใจ
dlvr.it
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 20-26 ต.ค. 2568
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 20-26 ต.ค. 2568
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 20-26 ต.ค. 2568 auser15 Sun, 2025-10-26 - 14:58 กรมการจัดหางานสั่งตรวจแรงงานต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทย โทษหนักทั้งจำ ทั้งปรับ ส่งกลับประเทศต้นทาง นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีชาวต่างชาติประกอบธุรกิจในลักษณะนอมินี และเข้ามาทำงานประกอบอาชีพแข่งขันกับคนไทยไม่ถูกกฎหมายในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น การประกอบธุรกิจร้านให้เช่ารถ ธุรกิจบริการนำเที่ยว และร้านตัดผม ตามแหล่งท่องเที่ยวและย่านการค้าสำคัญ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในพื้นที่ ทั้งนี้  ตนไม่ได้นิ่งนอนใจได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติ กรมการจัดหางาน บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติที่แย่งอาชีพคนไทย รวมถึงแรงงานต่างชาติที่ทำงานผิดกฎหมาย ไม่มีใบอนุญาตทำงานอย่างเข้มงวด ในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภูเก็ต เชียงใหม่ เกาะสมุย เมืองพัทยา ซึ่งมีแรงงานต่างชาติทำงานเป็นจำนวนมาก  ทั้งนี้เพื่อให้การทำงานของแรงงานต่างชาติเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ให้กระทบต่อโอกาสการมีงานทำของคนไทย อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ต้องมีเอกสารประจำตัวบุคคลและใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้อง และต้องทำงานตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ มี 40 งาน คนต่างด้าวที่ฝ่าฝืนทำงานต้องห้ามจะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000–50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง  ห้ามขอใบอนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับโทษ ส่วนนายจ้างหรือสถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่จะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000–100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000–200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี สำหรับประชาชน หากพบเห็นแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0-2354-1729 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ พื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ที่มา: เดลินิวส์, 26/10/2568 กรมการจัดหางาน เร่งช่วยคนหางานถูกหลอกไป ตปท. 300 ราย เสียหาย 22 ล้าน ปคม.จ่อออกหมายจับ นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีมีคนหางานถูกกลุ่มบุคคล แอบอ้างเป็นตัวแทนของบริษัทรับจัดทำวีซ่าแห่งหนึ่งหลอกลวงว่าจะสามารถส่งไปทำงานเกษตรที่ประเทศแคนาดาและออสเตรเลียได้ โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้เสียหาย ว่า ในวันที่ 22 ตุลาคม 2568 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ได้ประสานกรมการจัดหางานว่ามีคนหางานมาร้องทุกข์เพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน และเจ้าหน้าที่ เร่งเข้าร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงและรับเรื่องร้องทุกข์คนหางาน ณ กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยสรุปได้ว่า มีคนหางาน มาร้องทุกข์เพิ่มเติมอีก 134 คน ซึ่งถูกกรรมการบริษัทกับกลุ่มผู้ร่วมกระทำผิด หลอกลวงในลักษณะเดียวกัน โดยผู้เสียหายแต่ละรายได้จ่ายค่าบริการและค่าใช้จ่ายเป็นเงินประมาณคนละ 60,000 – 150,000 บาท รวมมูลค่าความเสียหายเพิ่มเติมกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งยอดรวมผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าว ณ วันที่ 21 – 22 ตุลาคม 2568  มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 303 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 22 ล้านบาท นายพิเชษฐ์ กล่าวว่าได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อบริษัทดังกล่าวและผู้ที่เกี่ยวข้องทันที ในข้อหาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามมาตรา 91 ตรี ซึ่งมีโทษหนัก คือ จำคุกตั้งแต่ 3 ปี - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 - 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์จะเร่งดำเนินการขอให้ศาลออกหมายจับผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวกับพวก เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป "ขอให้คนหางานทุกคนตระหนักถึงภัยการหลอกลวงในรูปแบบนี้ และย้ำอีกครั้งว่า ก่อนตัดสินใจโอนเงินให้สายนายหน้าหรือผู้แทนบริษัทรายใด ขอให้ตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตให้จัดส่งคนหางาน   ไปทำงานต่างประเทศจากกรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน doe.go.th/ipd เสียก่อน" นายพิเชษฐ์ กล่าว ทั้งนี้ หากคนหางานได้รับความเดือดร้อนจากการถูกสาย/นายหน้าหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ สามารถขอรับคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0 2248 4792 และ โทร. 0 2245 6763 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย, 25/10/2568 “ประกันสังคมก้าวหน้า” ออกแถลงการณ์ เสนอ 4 แนวทางปฏิรูประบบสุขภาพ ทีม “ประกันสังคมก้าวหน้า” ออกแถลงการณ์เสนอปฏิรูประบบสุขภาพไทยแบบองค์รวม เน้นปรับโครงสร้างการเงินการคลังให้โปร่งใส ปรับสัดส่วนบอร์ด สปสช. เพิ่มเสียงประชาชน ตั้งสิทธิประโยชน์กลางแห่งชาติ และคุ้มครองสิทธิแรงงานในภาครัฐด้านสุขภาพ ประกันสังคมก้าวหน้าออกแถลงการณ์ระบุว่า จากกรณีปัญหาด้านการเงินการคลังของระบบสุขภาพที่กำลังเป็นที่กังวลของหลายภาคส่วนของสังคมในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดได้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสถานพยาบาลผู้ให้บริการสุขภาพ คนทำงานในระบบสุขภาพ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้รับบริการสุขภาพต่อไป ทีมประกันสังคมก้าวหน้าขอนำเสนอแนวทางการปฏิรูประบบสุขภาพ จากมุมมองของบอร์ดบริหารกองทุนสวัสดิการสังคมที่สำคัญอีกกองทุนหนึ่ง ด้วยเป้าหมายเพื่อการยกระดับแนวทางนโยบายด้านสุขภาพไปสู่องค์รวมของระบบรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าที่มั่นคง เป็นธรรมและยั่งยืน โดยหวังว่าข้อเสนอของพวกเราดังนี้จะถูกพิจารณาในวงกว้าง โดยรัฐบาล รัฐสภา สถานพยาบาลและหน่วยบริการต่าง ๆ ผู้ให้บริการสุขภาพในภาครัฐ เอกชน และอื่น ๆ รวมถึงพี่น้องประชาชน คนไข้ ผู้ประกันตน บุคลากรทางการแพทย์ และคนทำงานด้านสาธารณสุขทุกคน 1. ต้องมีการปฏิรูประบบการเงินการคลังของระบบสุขภาพในประเทศไทยทั้งหมด เพื่อปรับเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพระบบการเบิกจ่ายเงินด้วยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เช่น ภาคประชาชน บุคลากรทางการแพทย์และผู้ให้บริการสุขภาพ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสิทธิภาพระบบการรักษาพยาบาลเป็นหลัก และต้องมีการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสุขภาพด้วยการจัดสรรงบประมาณรัฐประจำปีให้มากเพียงพอต่อการรองรับบริการสุขภาพของประชากรในประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้สถานพยาบาลและผู้รับบริการต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนบุคลากรและทรัพยากรทางการแพทย์ และเพื่อไม่ให้เกิดการผลักภาระค่าใช้จ่ายดังนี้ ไปยังประชาชนเจ้าของภาษีผ่านนโยบายการร่วมจ่ายอย่างซ้ำซ้อน (คล้ายกับกรณีของสิทธิประกันสังคม) 2. ต้องมีการปฏิรูปคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยการเปลี่ยนสัดส่วนของคณะกรรมการให้ปรับลดสัดส่วนข้าราชการโดยตำแหน่งลง และเพิ่มสัดส่วนประชาชนกับสถานพยาบาลผู้ให้บริการในจำนวนที่ทัดเทียมกัน โดยสำหรับสัดส่วนประชาชนนั้นให้เป็นการเลือกตั้งทางตรงทั่วประเทศ และสัดส่วนสถานพยาบาลนั้นให้มาจากการคัดเลือกกันเองภายใต้หลักการของการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการบริหารจัดการระบบสุขภาพของประเทศ ทั้งนี้ให้การปฏิรูปนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า ความก้าวหน้าของนโยบายรัฐจะตั้งต้นจากหลักการประชาธิปไตยที่หลากหลาย เปิดกว้างและยึดโยงกับผลประโยชน์ของสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา 3.ต้องมีการสถาปนาสิทธิประโยชน์กลางแห่งประเทศไทย รวมถึงมาตรฐานการรักษาพยาบาลกลางแห่งประเทศไทย เพื่อให้ก่อกำเนิดสิทธิขั้นพื้นฐานที่บุคคลในทุกกลุ่มอาชีพและการดำรงชีวิต ในทุกกองทุนสุขภาพ สามารถเข้าถึงได้จริง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสิทธิด้านสุขภาพและความซ้ำซ้อนภายใต้ระบบราชการ โดยต้องจัดให้ภาคประชาชน ผู้ให้บริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมกับการปรับปรุงสิทธิประโยชน์พื้นฐาน การสะท้อนถึงคุณภาพการรักษา การบริการและการเข้าถึงระบบสุขภาพ โดยสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ 4.ต้องมีการขยายการคุ้มครองสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐานไปยังแรงงานภาครัฐในระบบสุขภาพ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการของงานที่มีคุณค่าสากล (Decent Work) อาทิ การได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว สภาพการทำงานที่ปลอดภัยและภาระงานที่เป็นธรรมต่อผู้ใช้แรงงาน การมีสัญญาจ้างงานที่เป็นไปตามกฎหมายและนำไปสู่การเสริมสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงของคนทำงาน และต้องมีการคุ้มครองสิทธิในการจัดตั้งสหภาพแรงงานและการต่อรองร่วม ตามอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 เพื่อให้คนทำงานในระบบสุขภาพของรัฐและคนทำงานทุกสายอาชีพนั้นสามารถเข้าถึงสิทธิในการธำรงสิทธิแรงงานของตนเอง-ด้วยตนเอง ทีมประกันสังคมก้าวหน้าจึงขอใช้โอกาสดังนี้ในการนำเสนอนโยบายด้านสุขภาพรวมถึงจุดยืนแบบรัฐสวัสดิการของพวกเรา ว่าด้วยการต่อกรกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม การขูดรีดแรงงาน และการบริหารรัฐที่ยังไม่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเท่าที่ควร พวกเราในฐานะคนทำงานและคนธรรมดาทั่วไปที่ได้รับเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารกองทุนประกันสังคมผ่านการเลือกตั้งทางตรงเป็นครั้งแรกในปี 2566 ขอยืนยันว่าความเปลี่ยนแปลงใดใด อันจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคนส่วนใหญ่นั้น ล้วนต้องมาจากการออกแบบร่วมกันระหว่างแรงงานผู้ผลิต-ผู้ให้บริการ และผู้บริโภค-ผู้รับบริการ ผ่านกลไกประชาธิปไตยในทุกระดับของสังคม ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 24/10/2568 รับร่างแรงงานไทยเสียชีวิตในอิสราเอล เมื่อปี 66 เตรียมส่งกลับบ้านเกิด จ.หนองบัวลำภู เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ร่างนายสนธยา อัครศรี แรงงานไทยวัย 30 ปีที่เสียชีวิตในอิสราเอล หลังถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกัน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิแล้ว ด้วยสายการบินแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ LY083 โดยมี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศ และ Doctor อโลนา ฟิชเชอร์ - คัมค์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยมารอรับ ก่อนวางพวงหรีด จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายไปยังภูมิลำเนาจังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อกลับไปทำพิธีทางศาสนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สำหรับร่างของนายสนธยา ญาติมีความประสงค์จะนำกลับไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่บ้านเกิดหนองบัวลำภู โดยตนและตัวแทนกระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงตัวแทนจากสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย จะเดินทางไปร่วมไว้อาลัย และพบกับญาติของผู้เสียชีวิต สำหรับทายาทของผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินเยียวยาและสิทธิประโยชน์เงินชดเชย ประมาณ 70,000-72,000 บาท/เดือน ส่วนบิดา, มารดา ของผู้เสียชีวิต ได้รับเงินสิทธิประโยชน์จำนวน 1.8 ล้านบาท ร่างของนายสนธิยา ศพสุดท้ายเดินทางมาถึงในวันนี้ ถือเป็นวันสิ้นสุดการรอคอยของญาติ ที่ใช้เวลานานถึง 2 ปี กว่าจะได้ร่างกลับมา อย่างไรก็ตามร่างของแรงงานไทยที่เสียชีวิตจากกรณีกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกัน และยังไม่สามารถนำกลับมาได้อีก 1 ราย คือนาย สุทธิศักดิ์ ชาวจังหวัดหนองคาย อายุ 43 ปี ซึ่งทางการอิสราเอล ยืนยันการเสียชีวิต แต่ยังไม่พบร่าง ที่มา: สำนักข่าวไทย, 23/10/2568 สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยเตรียมคัดค้าน ‘บำนาญสูตร Care’ ชี้กระทบ ม.33 เสียประโยชน์ นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีผลประชาพิจารณ์บำนาญชราภาพสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 หรือ “สูตรบำนาญ Care” ของสำนักงานประกันสังคม ว่า จากจำนวนผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามในทุกช่องทาง รวมทั้งสิ้น 102,010 รายนั้น ได้ก่อให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า ผลการประชาพิจารณ์ดังกล่าวสามารถสะท้อนเสียงของผู้ประกันตนตามมาตราใดได้อย่างแท้จริง ระหว่างมาตรา 33 หรือมาตรา 39 “แน่นอนว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งมีจำนวนกว่า 1.6 ล้านราย จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการใช้สูตรคำนวณบำนาญตามแนวทางบำนาญสูตร Care ขณะที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งเป็นลูกจ้างในระบบ กลับได้รับผลกระทบในลักษณะที่เป็นการสูญเสียสิทธิประโยชน์ โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนเงินบำนาญที่ลดลง” นายพนัส กล่าว นายพนัส กล่าวเพิ่มว่า เมื่อวานนี้ (21 ตุลาคม 2568) ตนได้เชิญเจ้าหน้าที่จากสำนักงานประกันสังคมเข้าร่วมชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการคำนวณสูตรบำนาญดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมได้มีการยอมรับว่า การนำสูตรใหม่นี้มาใช้ จะส่งผลให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 บางกลุ่ม ได้รับเงินบำนาญชราภาพลดลงจากเดิม และเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น สำนักงานประกันสังคมจึงได้กำหนดแนวทางการชดเชยผลกระทบเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยผู้ที่เกษียณอายุในปี 2569 จะได้รับการชดเชยส่วนต่างเต็มจำนวน 100% ปี 2570 ชดเชย 80% ปี 2571 ชดเชย 60% ปี 2572 ชดเชย 40% และปี 2573 ชดเชย 20% ตามลำดับ “ทำให้เห็นว่า หากจำเป็นต้องมีมาตรการชดเชย ย่อมสะท้อนว่าได้มีผู้เสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสูตรบำนาญดังกล่าวแล้ว แล้วกล่าวได้อย่างไรว่า ไม่มีผู้ใดได้รับผลกระทบจากการใช้สูตรบำนาญใหม่นี้” นายพนัส กล่าว... อ่านข่าวต้นฉบับได้ นายพนัส กล่าวเพิ่มว่า นอกจากนี้ จากผลการประชาพิจารณ์ พบว่ามีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการปรับปรุงสูตรบำนาญจำนวน 22,512 ราย คิดเป็นร้อยละ 22.07 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด โดยกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งเป็นลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรม (โรงงาน) ส่วนกลุ่มที่แสดงความเห็นชอบกับสูตรบำนาญใหม่นั้น ส่วนใหญ่ย่อมเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนสูตรในครั้งนี้ “ทางสภาฯ ระหว่างการรวบรวมข้อคิดเห็นจากกลุ่มลูกจ้าง เพื่อจัดทำข้อเสนอคัดค้านแนวทางการปรับสูตรบำนาญดังกล่าว โดยจะนำเสนอต่อสำนักงานประกันสังคม พร้อมเตรียมนำผู้แทนลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวนประมาณ 200-300 คน เดินทางไปยื่นหนังสือแสดงจุดยืน หากยังคงมีแนวโน้มว่าการปรับสูตรดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียเปรียบต่อผู้ประกันตนในระบบต่อไป” นายพนัส กล่าว ที่มา: มติชนออนไลน์, 22/10/2568 กมธ.การเงิน การคลังฯ สภาผู้แทนราษฎร รับเรื่องร้องจากนักศึกษาขาดโอกาสเรียนต่อ จากเหตุ กยศ.เงินหมด นายนพพล เหลืองทองนารา ประธานกรรมาธิการ(กมธ.) การเงิน การคลัง สถาบันการเงิน และตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ รับการยื่นหนังสือร้องเรียนจาก ดร.บุศรา เชื้อดี นายกสมาคมโรงเรียนบริบาล และนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ จากการที่ไม่สามารถกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มาใช้เป็นทุนการศึกษาได้ เนื่องจากกองทุนขาดสภาพคล่อง โดยดร.บุศรา ระบุว่านักเรียนของโรงเรียนบริบาลหลายคนขอกู้ยืม กยศ.ไม่ได้ เพราะคลังให้เหตุผลว่าเงินหมด กองทุน กยศ. กำลังประสบปัญหา ทั้งที่กองทุนดังกล่าวเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อให้โอกาสทางการศึกษาเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง การขาดสภาพคล่องทำให้นักศึกษาหลายคนขาดโอกาสที่จะได้เรียนต่อ ขณะเดียวกันตัวแทนนักศึกษา เผยว่าการที่ตนไม่สามารถกู้ กยศ. ได้ มีผลต่อการตัดสินใจเรื่องการจะศึกษาต่อดีหรือไม่ เพราะไม่ต้องการรบกวนทางบ้านที่มีสถานะทางการเงินไม่ค่อยสู้ดี ยืนยันว่าหากตนศึกษาจบแล้วจะมีงานทำอย่างแน่นอน แต่ติดปัญหาที่ขณะนี้ไม่มีกำลังทรัพย์มาจ่ายค่าเทอมเพราะกู้ กยศ.ไม่ได้ นายนพพล ประธานกมธ.การเงิน การคลังฯ กล่าวว่าคณะ กมธ. ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะช่วงหลังมีนักเรียนนักศึกษาหลายคนต้องออกจากระบบการศึกษาเพราะไม่มีทุนการศึกษา คณะ กมธ. ได้เชิญ กยศ. มาให้ข้อมูลแล้วก่อนหน้า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กยศ. ยอมรับว่าสภาพคล่องทางการเงินไม่เหมือนเดิม เนื่องจากนักเรียนนักศึกษาที่กู้ไปและเรียนจบแล้ว ไม่ชำระเงินคืนตามเงื่อนไขเป็นจำนวนเกินครึ่งของผู้กู้ ทำให้เงินทุนหมุนเวียนให้กับนักเรียนนักศึกษารายใหม่ไม่เพียงพอ รายได้หลักของ กยศ. ขณะนี้จึงมาจากเงินงบประมาณของประเทศเป็นหลักเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คณะ กมธ. ยืนยันจะเร่งให้การช่วยเหลือ ทั้งการผลักดันงบประมาณ การเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงและร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหา และขอเรียกร้องไปยังผู้กู้ยืม กยศ. ทุกคนคืนเงินที่กู้ยืมจากกองทุนด้วย ที่มา: สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา, 22/10/2568 ครม. ให้สิทธิ ลูกจ้างเหมาบริการ หน่วยงานรัฐ ลาคลอด พร้อมเข้าระบบประกันสังคม นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอเรื่อง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ กรณีขยายสิทธิวันลาคลอดให้กับลูกจ้างเหมาบริการในหน่วยงานของรัฐได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น สิทธิในการเข้าประกันสังคม โดยจากนี้หน่วยงานของรัฐจะมีการออกกฎระเบียบให้สามารถตั้งงบประมาณในการทำประกันสังคมให้กับลูกจ้างของรัฐได้ โดยให้มีผลหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ และ ครม.รับทราบแล้ว ที่มา: มติชนออนไลน์, 21/10/2568  * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * แรงงาน * สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์
dlvr.it
กสทช. แจ้งช่องทีวีปรับสีหน้าจอเป็นปกติ เว้นสีโลโก้เป็นขาว-ดำ
กสทช. แจ้งช่องทีวีปรับสีหน้าจอเป็นปกติ เว้นสีโลโก้เป็นขาว-ดำ
กสทช. แจ้งช่องทีวีปรับสีหน้าจอเป็นปกติ เว้นสีโลโก้เป็นขาว-ดำ auser15 Sun, 2025-10-26 - 14:10 กสทช. แจ้งช่องทีวีปรับสีหน้าจอเป็นปกติ เว้นสีโลโก้เป็นขาว-ดำ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของเฉดสีตามบริบทของบรรยาศและความรู้สึกของประชาชน 26 ตุลาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แจ้งผู้ประกอบกิจการ เมื่อ 22.05 น. ระบุเพื่อเป็นการปรับบรรยากาศ และความรู้สึกของประชาชน ให้เกิดความเหมาะสม ดังนี้ 1. กรณีการปรับโทนสีของรายการ และองค์ประกอบรายการ ตลอดจนการโฆษณา  ให้พิจารณาการใช้โทนสีของรายการตามปกติ โดยขอให้คำนึงถึงความเหมาะสมของเฉดสีตามบริบทของบรรยาศและความรู้สึกของประชาชนประกอบกัน เรื่องที่เกี่ยวข้อง * กสทช.ออกแนวปฏิบัติ สำหรับรายการโทรทัศน์ 25 ต.ค. 68 - 25 ก.พ. 69 2. โทนสีของ Logo ของสถานีขอให้ปรับเป็นสีขาว ดำ  - เนื้อหามีความเหมาะสม - การแต่งกายพิธีกร ผู้ดำเนินรายการ ผู้ประกาศ โทนดำสุภาพ * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * กสทช.
dlvr.it
ปี 2024 เยาวชนอายุต่ำกว่า 19 ปีในญี่ปุ่น มีสถิติฆ่าตัวตายสูงสุดตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูล
ปี 2024 เยาวชนอายุต่ำกว่า 19 ปีในญี่ปุ่น มีสถิติฆ่าตัวตายสูงสุดตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูล
ปี 2024 เยาวชนอายุต่ำกว่า 19 ปีในญี่ปุ่น มีสถิติฆ่าตัวตายสูงสุดตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูล auser15 Sun, 2025-10-26 - 13:50 ปี 2024 มีเยาวชนวัยเรียนที่อายุต่ำกว่า 19 ปี ในญี่ปุ่นฆ่าตัวตายทั้งสิ้น 529 ราย ถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 1980 ภาพจาก: Firesam! (CC BY-ND 2.0) https://www.flickr.com/photos/firesam/5242760927 26 ตุลาคม 2025 เว็บไซต์ The Japan Times รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เผยแพร่ข้อมูลในรายงานสมุดปกขาวว่าด้วยมาตรการรับมือการฆ่าตัวตาย ฉบับปี 2025 ซึ่งได้รับการรับรองจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ระบุว่า ในปี 2024 มีเยาวชนในญี่ปุ่นฆ่าตัวตายทั้งสิ้น 529 ราย เพิ่มขึ้น 16 ราย จากปีก่อนหน้า และเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 1980 ขณะที่ สาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายของเยาวชนวัยเรียนที่อายุต่ำกว่า 19 ปี ในญี่ปุ่น ได้แก่ ปัญหาที่เกี่ยวพันกับโรงเรียน ตามมาด้วยปัญหาด้านสุขภาพ และปัญหาครอบครัว รายงานฉบับดังกล่าว ยังระบุอีกว่า การฆ่าตัวตายในกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุ 21 ปี อาจสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับการหางานทำ หรือการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2024 ญี่ปุ่นมีการฆ่าตัวตายรวมอยู่ที่ 20,230 ราย ลดลง 1,517 ราย จากปี 2023 และถือเป็นระดับต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 2 นับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 1978 * ข่าว * ต่างประเทศ * ญี่ปุ่น * ฆ่าตัวตาย * สุขภาพจิต
dlvr.it
'ไทย-กัมพูชา' ลงนามคำแถลงร่วม 'ทรัมป์-อันวาร์ อิบราฮิม' เป็นสักขีพยาน
'ไทย-กัมพูชา' ลงนามคำแถลงร่วม 'ทรัมป์-อันวาร์ อิบราฮิม' เป็นสักขีพยาน
'ไทย-กัมพูชา' ลงนามคำแถลงร่วม 'ทรัมป์-อันวาร์ อิบราฮิม' เป็นสักขีพยาน auser15 Sun, 2025-10-26 - 13:16 'อนุทิน-ฮุนมาเนต' ลงนามคำแถลงร่วม 4 ข้อ "ถอนอาวุธหนักแนวชายแดน-เก็บกู้วัตถุระเบิด-ร่วมมือปราบสแกมเมอร์-หาแนวทางบริหารพื้นที่ซับซ้อน" ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมี 'ทรัมป์-อันวาร์ อิบราฮิม' เป็นสักขีพยาน ภาพจาก: The White House (.gov) 26 ตุลาคม 2568 NBT Connext รายงานว่า  นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ ฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ลงนามคำแถลงร่วมไทย-กัมพูชา ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมี โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ  ดาโต๊ะซรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน สำหรับคำแถลงร่วม 4 ข้อ ที่ไทย - กัมพูชา ลงนามข้อตกลงร่วมกัน ได้แก่ 1. ถอนอาวุธหนัก ออกจากแนวชายแดน 2. เก็บกู้วัตถุระเบิด 3. ร่วมมือกันปราบปรามสแกมเมอร์  และ 4. หาแนวทางบริหารพื้นที่ซับซ้อนร่วมกัน ไม่ให้เกิดปัญหา   * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
ผลสำรวจนิด้าโพลชี้ คนอยากให้แก้ปัญหาการศึกษาเรื่องหลักสูตรล้าสมัยมากที่สุด
ผลสำรวจนิด้าโพลชี้ คนอยากให้แก้ปัญหาการศึกษาเรื่องหลักสูตรล้าสมัยมากที่สุด
ผลสำรวจนิด้าโพลชี้ คนอยากให้แก้ปัญหาการศึกษาเรื่องหลักสูตรล้าสมัยมากที่สุด auser15 Sun, 2025-10-26 - 12:21 นิด้าโพลสำรวจ 1,310 คน ประเด็นอยากให้แก้ปัญหาการศึกษาของไทย ส่วนใหญ่ 49.31% ระบุว่า หลักสูตรล้าสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน รองลงมา 48.09% ระบุว่า หลักสูตรการเรียนขาดการฝึกทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการทำงานจริงในอนาคต และ 38.78% ระบุว่า ปัญหาความปลอดภัยในโรงเรียน เช่น การบูลลี่ การล่วงละเมิด ยาเสพติด แก๊งเด็กเกเร ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายเพื่อการศึกษาไทย Thailand Education Partnership (TEP) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “ต้อนรับรัฐบาลใหม่ แก้ปัญหาการศึกษาไทย” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 17-21 ตุลาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการแก้ปัญหาการศึกษาไทย การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 จากการสำรวจเมื่อถามถึงปัญหาในระบบการศึกษาไทยที่ประชาชนต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการรีบแก้ไข พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.31 ระบุว่า หลักสูตรล้าสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน รองลงมา ร้อยละ 48.09 ระบุว่า หลักสูตรการเรียนขาดการฝึกทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการทำงานจริงในอนาคต ร้อยละ 38.78 ระบุว่า ปัญหาความปลอดภัยในโรงเรียน เช่น การบูลลี่ การล่วงละเมิด ยาเสพติด แก๊งเด็กเกเร ร้อยละ 37.33 ระบุว่า คุณภาพโรงเรียน/ ครู ไม่เท่ากันในแต่ละโรงเรียน ร้อยละ 31.30 ระบุว่า เรียนฟรีไม่มีจริง เพราะมีค่าใช้จ่ายแอบแฝง ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ครูมีภาระงานอื่นที่ไม่ใช่งานหลักของครูมากเกินไป ร้อยละ 17.33 ระบุว่า ผู้บริหารโรงเรียนขาดความโปร่งใสในการบริหาร ร้อยละ 16.49 ระบุว่า การเรียนเพื่อสอบมากกว่าการได้ความรู้ไปใช้จริงร้อยละ 16.41 ระบุว่า ระบบการวัดผล เน้นที่คะแนนสอบมากเกินไป ไม่ให้ความสำคัญกับความสามารถอื่น ๆ ร้อยละ 14.35 ระบุว่า การแข่งขันกันทำให้ยิ่งเรียน ยิ่งเครียด และส่งผลต่อสุขภาพจิตนักเรียน ร้อยละ 14.27 ระบุว่า ผู้บริหารโรงเรียนที่ไม่มีสมรรถนะในการบริหารและพัฒนาโรงเรียน ร้อยละ 8.78 ระบุว่า หลักสูตรจากส่วนกลางไม่สอดคล้องกับลักษณะนักเรียนและพื้นที่ตั้งของโรงเรียน ร้อยละ 5.95 ระบุว่า คนเก่งไม่อยากมาเป็นครู และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ ด้านประเด็นการศึกษาที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ทำทันที พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 44.27 ระบุว่า ปรับหลักสูตรและการเรียนรู้ให้ทันสมัย สามารถนำไปใช้ได้จริง รองลงมา ร้อยละ 44.05 ระบุว่า ลดค่าใช้จ่ายทางการศึกษา เรียนฟรีจริงถึง ม.6 ร้อยละ 37.86 ระบุว่า ปรับหลักสูตรให้นักเรียนได้ฝึกทักษะและมีประสบการณ์ ที่จำเป็นต่อการทำงานจริงในอนาคต ร้อยละ 35.95 ระบุว่า เพิ่มโอกาสและความเท่าเทียมทางการศึกษาให้เด็กทุกกลุ่ม ร้อยละ 24.05 ระบุว่า ทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก รวมถึงการดูแลสุขภาพจิตของนักเรียน และยกระดับคุณภาพครูและผู้อำนวยการโรงเรียน รวมถึงสมรรถนะและความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ลดภาระที่ไม่จำเป็นของครู รวมถึงเพิ่มแรงจูงใจให้คนเก่งอยากเป็นครูมากขึ้น ร้อยละ 14.66 ระบุว่า ปรับระบบการวัดผล ไม่เน้นคะแนนจากการสอบ ร้อยละ 9.92 ระบุว่า สนับสนุนให้โรงเรียนในแต่ละพื้นที่มีอิสระในการออกแบบการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ร้อยละ 5.88 ระบุว่า ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต Re-skill Up-skill และ New skill สำหรับคนทุกวัย และร้อยละ 1.15 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ ด้านความต้องการของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 30.76 ระบุว่า ให้ความร่วมมือในการฝึกทักษะและเสริมสร้างประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการทำงานจริงในอนาคตรองลงมา ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ร่วมในการตัดสินใจพัฒนารูปแบบและกลไกการจัดการเรียนการสอน รวมถึงการประเมินและติดตามผลลัพธ์การเรียนรู้ ร้อยละ 23.82 ระบุว่า บริจาคเพื่อสนับสนุนกิจกรรมและการพัฒนาโรงเรียนในด้านต่าง ๆ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ร่วมผลักดันนโยบาย กฏหมาย และระเบียบที่จำเป็นต่อการพัฒนาการศึกษา ร้อยละ 19.47 ระบุว่า ร่วมในการดูแลสวัสดิภาพและสุขภาวะของนักเรียน ร้อยละ 17.63 ระบุว่า ไม่อยากมีส่วนร่วมใด ๆ และร้อยละ 0.69 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อภาระงานอื่นที่ไม่ใช่งานหลักของครูในปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 57.40 ระบุว่า ครูมีภาระงานอื่นที่ไม่ใช่งานหลักมากเกินไป รองลงมา ร้อยละ 29.62 ระบุว่า ครูมีภาระงานอื่นที่ไม่ใช่งานหลักบ้าง แต่ก็ไม่มากเกินไป ร้อยละ 10.31 ระบุว่า ครูไม่มีภาระงานอื่นที่ไม่ใช่งานหลักเลย และร้อยละ 2.67 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการลดภาระงานอื่นที่ไม่ใช่งานหลักของครู จะช่วยทำให้การศึกษาไทยพัฒนามากขึ้น พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 55.19 ระบุว่า ช่วยทำให้การศึกษาไทยพัฒนามากขึ้นแน่นอน รองลงมา ร้อยละ 25.50 ระบุว่า ค่อนข้างช่วยทำให้การศึกษาไทยพัฒนามากขึ้น ร้อยละ 10.99 ระบุว่า ไม่ค่อยช่วยทำให้การศึกษาไทยพัฒนาขึ้นเท่าไร ร้อยละ 7.10 ระบุว่า ไม่ช่วยทำให้การศึกษาไทยพัฒนามากขึ้นเลย และร้อยละ 1.22ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความกังวลและความหวังของประชาชนต่อรัฐบาลชุดใหม่ในการแก้ไขปัญหาการศึกษาไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า กังวล แต่ก็มีความหวัง รองลงมา ร้อยละ 25.11 ระบุว่า ไม่กังวล แต่ไม่มีความหวัง ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่กังวล และมีความหวัง ร้อยละ 20.38 ระบุว่า กังวล และไม่มีความหวัง และร้อยละ 1.68 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ * ข่าว * สังคม * การศึกษา * คุณภาพชีวิต * นิด้าโพล * โพล
dlvr.it
สดร.คาดลูกไฟเหนือท้องฟ้าภาคกลาง-ตะวันออก คืนวันที่ 25 ต.ค. เป็นดาวตกชนิดระเบิด
สดร.คาดลูกไฟเหนือท้องฟ้าภาคกลาง-ตะวันออก คืนวันที่ 25 ต.ค. เป็นดาวตกชนิดระเบิด
สดร.คาดลูกไฟเหนือท้องฟ้าภาคกลาง-ตะวันออก คืนวันที่ 25 ต.ค. เป็นดาวตกชนิดระเบิด auser15 Sun, 2025-10-26 - 12:03 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เผยลูกไฟสว่างวาบเหนือท้องฟ้าภาคกลางและภาคตะวันออกของไทย ช่วงเที่ยงคืนวันที่ 25 ตุลาคม 2568 คาดเป็น "ดาวตกชนิดระเบิด" ที่อาจมากับฝนดาวตกโอไรออนิดส์ 26 ตุลาคม 2568 เพจ NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ รายงานว่า ในช่วงเวลาประมาณ 00:28 น. เหนือบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย ได้เกิดลูกไฟสว่างวาบตามด้วยเสียงดัง โดยไม่มีรายงานความเสียหายและเกิดอันตราย จากหลักฐานที่ปรากฏทั้งภาพถ่ายและคลิปวิดีโออย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดีย เบื้องต้นคาดว่าเป็น “ดาวตกชนิดระเบิด” (Bolide) ที่อาจมากับฝนดาวตกโอไรออนิดส์ (Orionids) ทั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดาวหางเลมมอนแต่อย่างใด จากลักษณะของดาวตกที่ปรากฏในคลิปวิดีโอตามโซเชียลมีเดียเหล่านี้ คาดว่าเป็นดาวตกชนิดระเบิด (Bolide) ที่มีความสว่างมากกว่าแมกนิจูดปรากฏ -14.0 เป็นต้นไป (สว่างมากกว่าดวงจันทร์เต็มดวง) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีระดับความสูงอยู่ที่ 80 ถึง 120 กิโลเมตร จึงสามารถสังเกตเห็นได้หลายพื้นที่ในประเทศไทยโดยเฉพาะบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 2 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายนของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีปรากฏการณ์ฝนดาวตกโอไรออนิดส์ที่มีต้นกำเนิดจากดาวหางฮัลเลย์ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า ดาวตกชนิดระเบิดดวงนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของฝนดาวตกดังกล่าว ที่จะมีอัตราการตกเฉลี่ยสูงสุดประมาณ 20 ดวงต่อชั่วโมง ในคืนวันที่ 21 ถึงรุ่งเช้า 22 ตุลาคม 2568 ในประเทศไทย เคยเกิดปรากฏการณ์ดาวตกชนิดระเบิดจากฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ (Perseids) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม วัตถุที่กลายเป็นดาวตกลูกนี้ ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูล “วัตถุใกล้โลก” (Near-Earth Object : NEO) แต่อย่างใด ซึ่งในฐานข้อมูลของศูนย์การศึกษาวัตถุใกล้โลก ห้องปฏิบัติการเครื่องยนต์ขับเคลื่อนไอพ่น (Jet Propulsion Laboratory หรือ JPL) ขององค์การนาซา สหรัฐอเมริกา ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2568 [1] ระบุว่ามีจำนวนดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกที่ตรวจพบแล้ว 39,771 ดวง แบ่งเป็น - ขนาดใหญ่กว่า 140 เมตร 11,466 ดวง  - ใหญ่กว่า 1 กิโลเมตร 877 ดวง  - ดาวหางใกล้โลก 123 ดวง แสดงว่าวัตถุใกล้โลกกลุ่มที่มีขนาดใหญ่นั้น นักดาราศาสตร์ตรวจพบหมดแล้ว มีการคำนวณวงโคจร และคาดการณ์ตำแหน่งขณะใกล้โลก และพบว่าไม่มีความเสี่ยง แต่ในส่วนวัตถุใกล้โลกกลุ่มที่มีขนาดเล็กนั้น ด้วยขนาดที่เล็กเพียงไม่กี่เมตรและระยะห่างที่ไกลในหลักล้านกิโลเมตร ทำให้เทคโนโลยีระบบการตรวจหาวัตถุในปัจจุบันยังค้นพบได้ไม่หมด แต่การพัฒนาเทคโนโลยี (ทั้งเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ ระบบควบคุม ฐานข้อมูล และระบบคำนวณวงโคจร) ทำให้นักดาราศาสตร์ตรวจพบวัตถุใกล้โลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการพุ่งชนโลกของวัตถุใกล้โลกเหล่านี้ อ้างอิง [1] https://cneos.jpl.nasa.gov/stats/totals.html   * ข่าว * วิทยาศาสตร์ * NARIT * สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ * สดร. * ดาวตก
dlvr.it
เผยคัดกรองต่างชาติหนีเข้าไทยจาก KK Park ไปแล้ว 124 คน เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ 2 คน
เผยคัดกรองต่างชาติหนีเข้าไทยจาก KK Park ไปแล้ว 124 คน เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ 2 คน
เผยคัดกรองต่างชาติหนีเข้าไทยจาก KK Park ไปแล้ว 124 คน เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ 2 คน auser15 Sun, 2025-10-26 - 11:44 รอง ผบ.ตร. ลงพื้นที่แม่สอด ติดตามสถานการณ์ชายแดนตาก ณ วันที่ 25 ต.ค. พบต่างชาติจาก KK Park ข้ามแดนเข้าไทยกว่า 1,233 คน ผ่านกระบวนการคัดกรองไปแล้ว 124 คน และพบว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ 2 คน ซึ่งได้เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองดูแลเหยื่อ และนำไปดูแลฟื้นฟูเพื่อส่งตัวกลับประเทศ แฟ้มภาพประชาสัมพันธ์จังหวัดตาก เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 สวท.แม่สอด จ.ตาก รายงานว่า พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  และคณะ ประชุมติดตามรับฟังสถานการณ์ชายแดน อ.แม่สอด จังหวัดตาก และมอบแนวทางปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับมอบหมายจากพลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาติดตามตรวจสอบเรื่องการเข้ามาของคนต่างชาติ และคนไทยบางส่วน ที่หลบหนีจาก KK-Park รัฐกะเหรี่ยง สหภาพเมียนมา ข้ามมายังฝั่งไทย ซึ่งได้มีการประชุมร่วมกับผู้บัญชาการภาค หน่วยเฉพาะกิจราชมนู และศูนย์สั่งการชายแดน พบว่าขณะนี้มีคนเข้ามาจากเมียวดี 1,233 คน โดยได้ผ่านกระบวนการคัดกรองไปแล้ว 124 คน และพบว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ 2 คน ซึ่งได้เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองดูแลเหยื่อ และนำไปดูแลฟื้นฟูเพื่อส่งตัวกลับประเทศ ส่วนที่ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ที่ผ่านการคัดกรองแล้วจะถูกดำเนินคดี และส่งฟ้องศาล เมื่อศาลมีการดำเนินการพิพากษาลงโทษแล้ว หากถูกจำคุก หรือปรับ ก็จะมีการควบคุมตัวที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และประสานไปยังสถานทูตต่าง ๆ เพื่อรับตัวกลับไป * ข่าว * ความมั่นคง * แม่สอด * เมียนมา * เคเคปาร์ค * KK Park * แก๊งสแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * ชายแดนไทย-เมียนมา
dlvr.it
เรียกร้องรัฐเร่งจัดสรรที่ดินรูสะมีแล หลังประชาชนอยู่มากว่า 60 ปี ยังไร้สถานะ-ขาดสาธารณูปโภค
เรียกร้องรัฐเร่งจัดสรรที่ดินรูสะมีแล หลังประชาชนอยู่มากว่า 60 ปี ยังไร้สถานะ-ขาดสาธารณูปโภค
เรียกร้องรัฐเร่งจัดสรรที่ดินรูสะมีแล หลังประชาชนอยู่มากว่า 60 ปี ยังไร้สถานะ-ขาดสาธารณูปโภค auser15 Sun, 2025-10-26 - 11:09 สส.พรรคประชาชาติ เรียกร้องรัฐเร่งจัดสรรที่อยู่อาศัยให้ประชาชนบริเวณที่ดินงอกชายฝั่งรูสะมีแล จ.ปัตตานี หลังอาศัยมานานกว่า 60 ปี แต่กลับยังไม่ได้รับสถานะที่ดิน และไม่สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้ ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดปัตตานี พรรคประชาชาติ 26 ตุลาคม 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดปัตตานี พรรคประชาชาติ กล่าวถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่หมู่ที่ 1 ตำบลรูสะมีแล ซึ่งอาศัยอยู่บนที่ดินติดชายทะเลที่เกิดจากการงอกของพื้นที่ตามธรรมชาติ แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรหรือกำหนดสถานะที่ดินอย่างเป็นทางการจากภาครัฐ โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนมานานกว่า 50 – 60 ปี แต่กลับไม่สามารถขอเลขที่บ้านหรือเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้ อาทิ ถนน ไฟฟ้า และน้ำประปา ส่งผลให้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูงจากการต่อไฟฟ้าและน้ำใช้โดยไม่เป็นระบบ ทั้งนี้ ที่ดินบางส่วนในบริเวณเดียวกันได้ถูกจัดสรรไปใช้ประโยชน์แล้ว อาทิ การก่อสร้างโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และสนามกีฬาของเทศบาลรูสะมีแล ขณะที่พื้นที่ซึ่งประชาชนอยู่อาศัยกลับยังไม่มีความชัดเจนทางกฎหมาย นายวรวิทย์ ยังกล่าวถึงพระราชดำรัสของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งเคยทรงมีพระดำริให้จัดการที่ดินบริเวณนี้ให้ประชาชนได้อยู่อาศัยอย่างมั่นคง เพราะถือเป็นพื้นที่ส่วนกลางของชุมชน ตนจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการจัดการที่ดินดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนหลุดพ้นจากความเดือดร้อน และมีสิทธิ์อยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * ปัตตานี * ชายแดนใต้ * รูสะมีแล * ที่ดิน
dlvr.it
ผลสำรวจสวนดุสิตโพล คนชอบนโยบาย 'คนละครึ่ง' (รัฐบาลประยุทธ์) มากที่สุด
ผลสำรวจสวนดุสิตโพล คนชอบนโยบาย 'คนละครึ่ง' (รัฐบาลประยุทธ์) มากที่สุด
ผลสำรวจสวนดุสิตโพล คนชอบนโยบาย 'คนละครึ่ง' (รัฐบาลประยุทธ์) มากที่สุด auser15 Sun, 2025-10-26 - 10:36 สวนดุสิตโพลสำรวจ 1,216 คน พบคนชอบ คนละครึ่ง (รัฐบาลประยุทธ์) มากที่สุด 69.31% ตามมาด้วย เงิน 10,000 บาท (รัฐบาลเพื่อไทย) 33.03% และคนละครึ่งพลัส (รัฐบาลอนุทิน) 30.77% 26 ตุลาคม 2568 “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “คนไทยกับนโยบายลดค่าครองชีพ” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,216 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 21-24 ตุลาคม 2568  พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เข้าร่วมโครงการของภาครัฐที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพ คือ คนละครึ่ง (รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์) ร้อยละ 76.43 และเห็นว่าโครงการเหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาปากท้องและลดภาระค่าครองชีพได้ ร้อยละ 78.04  จากโครงการช่วยเหลือต่าง ๆ โครงการที่ชอบมากที่สุด คือ คนละครึ่ง (รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์) ร้อยละ 69.31 ในระยะยาวเพื่อลดภาระค่าครองชีพอยากให้รัฐบาลควบคุมราคาสินค้าให้เหมาะสม ร้อยละ 61.92 ทั้งนี้หากมีการเลือกตั้งคิดว่าพรรคการเมืองที่มีนโยบายประชานิยมจะได้เปรียบ ร้อยละ 67.43  เมื่อถามว่าประชาชนชอบโครงการใดมากที่สุด  พบว่า คนชอบ คนละครึ่ง (รัฐบาลประยุทธ์) มากที่สุด 69.31% ตามมาด้วย เงิน 10,000 บาท (รัฐบาลเพื่อไทย) 33.03% และคนละครึ่งพลัส (รัฐบาลอนุทิน) 30.77% ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากนโยบายช่วยเหลือต่าง ๆ ของหลายรัฐบาล พบว่า “โครงการคนละครึ่ง” ยังคงครองใจ เพราะใช้ง่าย เข้าถึงจริง และเห็นผลชัดในชีวิตประจำวัน แม้จะเป็นมาตรการระยะสั้น แต่ช่วยสร้างความรู้สึกว่ารัฐอยู่เคียงข้างประชาชน ขณะเดียวกันการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในยุคที่ประชาชนคาดหวังทั้งความเร็วในการช่วยเหลือและความยั่งยืนของผลลัพธ์ไปพร้อมกัน รองศาสตราจารย์ ดร.เขมภัทท์ เย็นเปี่ยม อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาปากท้องในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำ ค่าครองชีพสูงมากขึ้น เป็นนโยบายที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหามากที่สุด โดยเฉพาะการที่รัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือประชาชนให้มีกำลังซื้อในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภคสินค้าและการบริการ ช่วยเหลือผู้ประกอบขนาดเล็กและร้านค้ารายย่อยให้มีรายได้พยุงกิจการให้ดำเนินต่อไปได้ เป็นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมามีความคึกคัก ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้คล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งที่ได้มีการริเริ่มในสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการบริโภคของประชาชนได้อย่างเห็นผลและโครงการคนละครึ่งพลัสของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ที่กำลังดำเนินโครงการอยู่ในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ประชาชนรอคอยและคาดหวังว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาด้วยการควบคุมราคาสินค้าให้มีความเหมาะสม โดยเข้าไปตรวจสอบและควบคุมต้นทุนการผลิตอย่างเช่นราคาพลังงาน น่าจะเป็นการลดปัญหาค่าครองชีพและทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพื่อการบริโภคได้อย่างต่อเนื่องมากกว่าการใช้นโยบายประชานิยมที่ทุ่มงบประมาณในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้น ๆ ได้เป็นครั้งคราว     * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * โพล * สวนดุสิตโพล * คนละครึ่ง * คนละครึ่งพลัส
dlvr.it
กสทช. กำหนดวันประมูลคลื่น FM ท้องถิ่น 12-14 พ.ย. 68
กสทช. กำหนดวันประมูลคลื่น FM ท้องถิ่น 12-14 พ.ย. 68
กสทช. กำหนดวันประมูลคลื่น FM ท้องถิ่น 12-14 พ.ย. 68 auser15 Sun, 2025-10-26 - 10:16 กสทช. มีมติกำหนดวันประมูลคลื่น FM ธุรกิจระดับท้องถิ่นทั่วประเทศ 12-14 พ.ย. 68 เปิดทางสถานีวิทยุเข้าสู่ระบบใบอนุญาต เตรียมเปลี่ยนผ่านก่อนหมดอายุสิทธิออกอากาศตามบทเฉพาะกาลในวันที่ 31 ธ.ค.68 26 ตุลาคม 2568 เว็บไซต์ กสทช. รายงานว่า ที่ประชุม กสทช.ครั้งที่ 31/2568 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบกำหนดวันประมูลคลื่นความถี่วิทยุ FM สำหรับการให้บริการกระจายเสียงประเภทธุรกิจ ระดับท้องถิ่น ระหว่างวันที่ 12-14 พฤศจิกายน 2568 เพื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบใบอนุญาตให้สามารถออกอากาศต่อได้หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2568 นี้ พลอากาศโท ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กสทช. เปิดเผยว่า การประมูลที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติให้การอนุญาตใช้คลื่นความถี่วิทยุประเภทธุรกิจต้องใช้วิธีประมูล ซึ่ง กสทช. ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประมูลคลื่นความถี่สำหรับการให้บริการวิทยุกระจายเสียงในระบบ FM ประเภทธุรกิจ ระดับท้องถิ่น ในปี 2568 จำนวน 2,507 คลื่นความถี่แล้ว จากนั้นมีผู้ประสงค์ยื่นคำขอรับใบอนุญาตตามประกาศเชิญชวนฯ และมีการพิจารณาจนได้ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติ ซึ่งสำนักงาน กสทช.ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติและมีสิทธิเข้าร่วมประมูลให้ทราบแล้วเมื่อ 31 กรกฎาคม 2568 จำนวน 2,237 นิติบุคคล จาก 1,993 คลื่นความถี่ ที่จะต้องเข้าสู่ขั้นตอนการประมูล โดยมีกำหนดการ ดังนี้ 1. สำนักงาน กสทช.ชี้แจงและสาธิตการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ระหว่างวันที่ 27-29 ตุลาคม 2568           2. จัดการประมูลคลื่นความถี่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ระหว่างวันที่ 12-14 พฤศจิกายน 2568 และจะประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลให้ทราบหลังการประมูลสิ้นสุดในวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2568           3. กสทช.รับรองผลการประมูลและรายชื่อผู้ชนะการประมูลในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568           ทั้งนี้รายละเอียดในการชี้แจงและการสาธิตการประมูล สำนักงาน กสทช. จะแจ้งกำหนดการและรอบระยะเวลาในการชี้แจงต่อไป โดยในเบื้องต้นจะแบ่งการชี้แจงและประมูลเป็นรอบเฉลี่ยกันไปเพื่อไม่ให้มีจำนวนผู้เข้าร่วมในแต่ละรอบที่มากเกินไป             พลอากาศโท ธนพันธุ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการอนุญาตใช้คลื่นความถี่วิทยุประเภทชุมชนและสาธารณะ ระดับท้องถิ่น ที่กฎหมายบัญญัติไม่ต้องใช้วิธีประมูลนั้น สำนักงาน กสทช.ได้สรุปผลผู้ยื่นคำขอขอรับใบอนุญาตจำนวน 752 คำขอ โดยแบ่งเป็นประเภทบริการชุมชนจำนวน 116 คำขอ จาก 113 คลื่นความถี่ และประเภทบริการสาธารณะจำนวน 606 คำขอ จาก 505 คลื่นความถี่ โดยที่สำนักงาน กสทช. ได้วิเคราะห์ความเหมาะสมของผู้ที่สมควรได้รับการอนุญาตด้วยวิธีเปรียบเทียบคุณสมบัติ (Beauty Contest) ตามประกาศเชิญชวนฯ แล้ว ซึ่ง กสทช.พิจารณาในการประชุม กสทช.ในวันพุธที่ 29 ตุลาคมนี้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับทราบผลและสามารถออกอากาศได้ต่อไปหลังที่จะต้องสิ้นสุดตามบทเฉพาะการในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 นี้ * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * วิทยุ * วิทยุชุมชน * วิทยุท้องถิ่น * กสทช.
dlvr.it
ดัชนีเสรีภาพสื่อฮ่องกงยังต่ำ แม้จะดีขึ้นเพราะนักข่าวปรับตัว แต่ก็เซ็นเซอร์ตัวเองเพิ่ม
ดัชนีเสรีภาพสื่อฮ่องกงยังต่ำ แม้จะดีขึ้นเพราะนักข่าวปรับตัว แต่ก็เซ็นเซอร์ตัวเองเพิ่ม
ดัชนีเสรีภาพสื่อฮ่องกงยังต่ำ แม้จะดีขึ้นเพราะนักข่าวปรับตัว แต่ก็เซ็นเซอร์ตัวเองเพิ่ม auser15 Sun, 2025-10-26 - 10:04 สมาคมผู้สื่อข่าวฮ่องกง HKJA ได้เผยแพร่ "ดัชนีเสรีภาพสื่อ" ของปีล่าสุด ชี้ว่าเสรีภาพสื่อฮ่องกงยังอยู่ในระดับ "ต่ำมากถึงขีดสุด" แม้ว่าจะเริ่มดีขึ้นกว่าระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่นั่นก็สะท้อนการปรับตัวยืดหยุ่นของนักข่าวมากกว่าจะสะท้อนภูมิทัศน์ของเสรีภาพสื่อในฮ่องกงเอง จากมุมมองของทางสมาคม ภาพจาก: Kyle Lam/HKFP สมาคมผู้สื่อข่าวฮ่องกง HKJA ได้เผยแพร่รายงานสำรวจดัชนีเสรีภาพสื่อปีล่าสุด ซึ่งเป็นการสำรวจสภาพการณ์ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2567 ถึง กันยายน 2568 โดยมีการสอบถามนักข่าวรวม 220 ราย ผลระบุว่า เสรีภาพสื่อฮ่องกงในปีที่ผ่านมาถึงปีนี้อยู่ที่ 28.9 คะแนนจากคะแนนเต็มร้อย ถือว่าดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เคยตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตามทางสมาคมผู้สื่อข่าวฮ่องกงก็บอกว่าคะแนนเช่นนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับ "ต่ำมากถึงขีดสุด" และไม่ได้สะท้อนว่าเกิดพัฒนาการใดๆ เลยต่อภูมิทัศน์เสรีภาพสื่อในฮ่องกง ดัชนีเสรีภาพสื่อฮ่องกงเริ่มลดลงนับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ในปีเดียวกันกับที่เริ่มมีการประท้วงทั่วฮ่องกงเพื่อต่อต้านกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนและเรียกร้องเสรีภาพทางการเมือง จนต่อมามีการปราบปรามและทางการจีนก็ออกกฎหมายความมั่นคงบังคับใช้กับฮ่องกง คะแนนเสรีภาพสื่อของฮ่องกงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 25 คะแนน ซึ่งมีการสำรวจในปี 2567 ปีเดียวกับที่ฮ่องกงเองก็ออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ของตัวเองซ้อนทับกับกฎหมายของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเรียกกฎหมายนี้ว่ากฎหมายรักษาความมั่นคงของชาติหรือ มาตรา 23 HKJA แถลงว่า สาเหตุที่คะแนนเสรีภาพสื่อดูจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในการสำรวจครั้งปัจจุบัน เป็นเพราะความสามารถในการปรับตัวของนักข่าวต่อสภาพแวดล้อมสื่อในปัจจุบันไปพร้อมๆ กับพยายามหาช่องทางท่ามกลางการลิดรอนเสรีภาพสื่อที่เกิดขึ้น "HKJA เชื่อว่าการที่คะแนนฟื้นตัวกลับมาในการสำรวจดัชนีในครั้งนี้ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่ามีพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญต่อเสรีภาพสื่อฮ่องกงในช่วงปีที่ผ่านมา แต่สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นปรับตัวของนักข่าวฮ่องกงต่อสภาพการณ์ในปัจจุบันมากกว่า" HKJA ระบุในแถลงการณ์ เซลินา เชง ประธาน HKJA แถลงข่าวก่อนหน้าการเปิดเผยรายงานว่า ภาคส่วนสื่อฮ่องกงนั้นมีความยืดหยุ่นมากแค่ไหนภายใต้สภาพที่ถูกลิดรอนเสรีภาพ พวกเขาต้องทำความเข้าใจกับขอบเขตของกฎหมาย รวมถึงการรายงานข่าวหรือการอ้างอิงคำพูดต่างๆ ที่อาจจะสุ่มเสี่ยง ในช่วงที่ทำการสำรวจปีล่าสุด มีกรณีที่กระทบต่อเสรีภาพสื่ออย่างการที่นักข่าวต่างประเทศบางคนถูกปฏิเสธวีซาจน "กลายเป็นเรื่องปกติ" กรณีที่เกิดขึ้นไม่นานนี้เกิดขึ้นกับ รีเบคกา ชุง วิลคินส์ เธอถูกปฏิเสธวีซาโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองฮ่องกงโดยไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ อีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นคือการเซนเซอร์ตัวเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ได้คะแนนต่ำที่สุดในปีนี้อยู่ที่ 1.8 คะแนนจาก 7 คะแนน โดยมีการเปรียบเทียบระหว่างปี 2556 กับ 2568 พบว่าในปี 2556 สื่อฮ่องกงยังเซนเซอร์ตัวเองน้อยกว่าถึงแม้ว่าคะแนนจะไม่มากนักโดยมีคะแนนอยู่ที่ 3.1 จากคะแนนเต็ม 7 คะแนน HKJA ระบุว่าปัญหาการเซนเซอร์ตัวเองของสื่อฮ่องกงไม่ใช่เรื่องใหม่ และเป็นจุดที่มีคะแนนต่ำที่สุดมาตั้งแต่การเริ่มทำดัชนีเสรีภาพสื่อปี 2556 แต่การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในปี 2563 ก็เป็นเหตุให้มีสื่อหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และส่งผลทำให้เกิดความกลัวจนเซนเซอร์ตัวเองมากยิ่งขึ้น และผู้ที่เซนเซอร์ตัวเองโดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นตัวนักข่าวเอง ไม่ได้ถูกกดดันจากฝ่ายบริหารหรือหัวหน้างาน สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ FCC เคยเผยแพร่รายงานเมื่อเดือน เมษายน ระบุว่า ร้อยละ 65 ของสมาชิกนักข่าวบอกว่าพวกเขาเคยเซนเซอร์ตัวเองอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วง 18 เดือน ที่ผ่านมา รายงานประจำปีด้านเสรีภาพสื่อของ HKJA จะทำการประเมินและให้คะแนน 10 ด้านที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพสื่อ โดยมีเรื่องที่ว่ามีการเซนเซอร์ตัวเองหรือไม่รวมอยู่ในนั้นด้วย ส่วนด้านอื่นๆ ได้แก่ เรื่องที่ว่ามีความกังวลที่จะวิจารณ์รัฐบาลจีนหรือฮ่องกงหรือไม่ เจ้าของสื่อหรือฝ่ายบริหารมีการใช้อำนาจกดดันนักข่าวมากแค่ไหน สื่อทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าสังเกตการณ์และส่งเสียงให้กับความอยุติธรรมในสังคมได้หรือไม่ รวมถึงเรื่องที่ว่ามีความหลากหลายของสื่อมากน้อยแค่ไหน และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากน้อยแค่ไหนด้วย มีอยู่ด้านเดียวที่คะแนนเพิ่มขึ้นเทียบกับ 12 ปีที่แล้วคือเรื่อง การสามารถวิพากษ์วิจารณ์บรรษัทใหญ่ได้ คะแนนเพิ่มขึ้นจาก 3.8 เป็น 5.4 นอกนั้นแล้วคะแนนด้านอื่นๆ ก็ลดลงทั้งหมดเมื่อเทียบกับปี 2556 ที่ลดลงอย่างมากคือด้านความหลากหลายของสื่อ, ด้านความสามารถในการวิจารณ์รัฐบาลฮ่องกง และด้านที่ลดลงเหลือแทบจะเท่ากับการเซนเซอร์ตัวเองคือด้านความสามารถในการวิจารณ์รัฐบาลจีน อยู่ที่ 1.9 คะแนน ปัจจัยหนึ่งที่เคยมีคะแนนมากที่สุดในปี 2556 คือ เรื่องที่สื่อทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าสังเกตการณ์และส่งเสียงให้กับสังคม เคยอยู่ที่ 6.6 คะแนน ก็ในปีล่าสุดนี้ก็ลดลงเหลือ 4.4 คะแนน สิ่งที่ทำให้คะแนนเรื่องเสรีภาพสื่อฮ่องกงรั้งท้ายคงหนีไม่พ้นทั้งกฎหมายและการที่นักข่าวถูกข่มขู่คุกคาม ในเดือน กันยายน 2567 HKJA เคยระบุถึงกรณีที่มีนักข่าวอย่างน้อย 13 รายถูกคุกคามทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งดูเหมือนเป็น "การโจมตีแบบมีการเกณฑ์คนและวางแผนเป็นระบบ" นอกจากนี้กฎหมายความมั่นคงยังทำให้เกิดการบุกกวาดจับนักข่าวในห้องข่าว ทำให้เกิดการปิดสื่อประมาณ 10 แห่ง เช่น แอปเปิลเดลี, สแตนด์นิวส์, ซิติเซนนิวส์ มีนักข่าวมากกว่า 1,000 รายสูญเสียตำแหน่งงาน รวมถึงมีจำนวนมากที่้ย้ายไปประเทศอื่น  สื่อที่ได้รับทุนจากรัฐบาลอย่าง RTHK ก็มีการจัดระเบียบใหม่ เปลี่ยนหลักปฏิบัติด้านบรรณาธิการจากเดิม มีการลบข้อมูลเก่าที่เก็บไว้ และยกเลิกรายการข่าวกับรายการเชิงเสียดสีอย่างกระทันหัน เรียบเรียงจาก Hong Kong press freedom rebounds slightly from historic low, reflecting ‘resilience,’ journalists’ union says, HKFP, 17-10-2025 Hong Kong journalists say media stepping up self-censorship, NHK, 19-10-2025   * ข่าว * ต่างประเทศ * สมาคมผู้สื่อข่าวฮ่องกง * HKJA * สื่อมวลชน * ฮ่องกง * เสรีภาพสื่อ
dlvr.it
เรียกร้องให้รัฐรื้อฟื้นคดีตากใบ ปฏิรูประบบบริหารจังหวัดชายแดนใต้
เรียกร้องให้รัฐรื้อฟื้นคดีตากใบ ปฏิรูประบบบริหารจังหวัดชายแดนใต้
เรียกร้องให้รัฐรื้อฟื้นคดีตากใบ ปฏิรูประบบบริหารจังหวัดชายแดนใต้ auser15 Sun, 2025-10-26 - 09:43 เมื่อ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ขบวนเคลื่อนไหวนิสิตนักศึกษาปาตานี (Students Movement) ออกแถลงการณ์ "ขอเรียกร้องให้รัฐรื้อฟื้นคดีตากใบ พร้อมประณามการลอยนวลพ้นผิด และเรียกร้องผู้มีอำนาจปฏิรูประบบบริหารพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้" เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 เพจ Merpati Putih รายงานว่า ขบวนเคลื่อนไหวนิสิตนักศึกษาปาตานี (Students Movement) ออกแถลงการณ์ "ขอเรียกร้องให้รัฐรื้อฟื้นคดีตากใบ พร้อมประณามการลอยนวลพ้นผิด และเรียกร้องผู้มีอำนาจปฏิรูประบบบริหารพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้" ความว่า โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับประชาชนและนักศึกษา คือบทเรียนสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ของประชาชนเพื่อสิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรม ซึ่งในเดือนตุลาคมของหลายปีที่ผ่านมา ประชาชนและนิสิตนักศึกษาต่างได้ลุกขึ้นทวงถามสิทธิของตนอย่างกล้าหาญ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ประชาชนและนักศึกษาออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ถูกปราบปรามด้วยอำนาจปืนของรัฐ และเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 รัฐใช้อำนาจสังหารและทรมานนักศึกษาผู้ชุมนุมอย่างสันติกลางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกลายเป็นบาดแผลทางสังคมที่ยังไม่เคยได้รับการเยียวยา กระทั่งวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ประชาชนผู้ชุมนุมอย่างสันติถูกจับกุม ทำร้าย และเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัว เหตุการณ์นี้คือ อาชญากรรมที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำต่อประชาชนอย่างโหดร้าย โดยปราศจากผู้รับผิดชอบต่อการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีการนำตัวจำเลยทั้ง 14 คนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และคดีตากใบได้ถูกระบุว่าหมดอายุความเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ครบกำหนด 20 ปี นำมาซึ่งความรู้สึกสิ้นหวังของประชาชนและนิสิตนักศึกษาปาตานีที่ยังคงเรียกร้องความยุติธรรม เราขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า คดีตากใบไม่ควรมีอายุความ เพราะ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่มีวันหมดอายุ” และกฎหมายต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจในการปิดกั้นความยุติธรรม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบ ในวาระครบรอบ 21 ปีแห่งความสูญเสีย จึงมีข้อเรียกร้องสำคัญ ดังนี้ 1. ให้รัฐไทยปฏิรูประบบบริหารจัดการพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชน วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของประชาชนในพื้นที่  2. ให้มีการรื้อฟื้นคดีตากใบอย่างเป็นทางการ  พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยบุคคลภายนอกที่เป็นอิสระ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม 3. ให้รัฐไทยปฏิรูปโครงสร้างกระบวนการยุติธรรม และรับรองการปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายและกลไกระหว่างประเทศทุกฉบับที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้ เพื่อยุติวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด 4. ให้รัฐไทยยืนยันว่าโศกนาฏกรรมตากใบเป็นอาชญากรรมโดยรัฐ ซึ่งมีลักษณะเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต จึงต้องไม่ถูกนับอายุความ และต้องมีการสอบสวนอย่างโปร่งใส นำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรม ขบวนเคลื่อนไหวนิสิตนักศึกษาปาตานี ขอยืนยันข้อเรียกร้องเหล่านี้ด้วยเจตจำนงที่มั่นคงและมีความหวังต่อผู้มีอำนาจในรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ขบวนเคลื่อนไหวนิสิตนักศึกษาปาตานี เชื่อมั่นว่า รัฐจะดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และหลักของกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม เพื่อสร้างความยุติธรรมที่ยั่งยืนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หากรัฐยังคงเลือกที่จะนิ่งเฉย นั่นคือการส่งสัญญาณว่าสังคมไทยยอมให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกเหยียบย่ำโดยไม่ต้องรับโทษ แต่เราจะไม่ยอมให้ความเงียบกลืนกินความทรงจำ และไม่ยอมให้ความอยุติธรรมกลายเป็นเรื่องปกติอีกต่อไป ด้วยจิตสำนึกต่อสันติภาพและห่วงแหนต่ออนาคตของมาตุภูมิ ขบวนเคลื่อนไหวนิสิตนักศึกษาปาตานี (Students Movement) 25 ตุลาคม 2568 * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ขบวนเคลื่อนไหวนิสิตนักศึกษาปาตานี * Students Movement * ชายแดนใต้ * ตากใบ
dlvr.it
เลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง ??? (3)
เลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง ??? (3)
เลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง ??? (3) โสต  สุตานันท์   sarayut Sun, 2025-10-26 - 09:20 Montesquieu เจ้าของทฤษฎี หลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) อธิบายไว้ในหนังสือเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย (The Spirit of Law) เมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้วว่า มนุษย์ทุกผู้ทุกนามย่อมมีแนวโน้มที่จะใช้อำนาจที่ตนมีอยู่ไปในทางที่ผิดและจะใช้มันไปจนสุดขอบเขตที่จะใช้ได้ ด้วยเหตุนี้เองแม้แต่สิ่งที่ดีงามทั้งหลายก็ยังจำเป็นต้องมีขอบเขตของมัน ในแต่ละรัฐย่อมมีอำนาจ 3 แบบ คือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เมื่อใดอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารรวมอยู่ที่เดียวกัน เสรีภาพย่อมไม่อาจมีได้ เนื่องจากผู้มีอำนาจอาจออกกฎหมายทรราชเพื่อใช้บังคับมันแบบทรราช และเสรีภาพจะไม่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน หากมิได้แยกอำนาจตุลาการออกมาจากอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร โดยหากตุลาการรวมอยู่กับฝ่ายนิติบัญญัติก็จะมีการใช้อำนาจตามอำเภอใจอยู่เหนือชีวิตพลเมือง หากตุลาการเป็นพวกเดียวกับฝ่ายบริหารก็จะมีการใช้อำนาจแบบผู้กดขี่ และหากให้อำนาจทั้งสามอยู่กับบุคคลหรือองค์กรเดียวกัน ทุกอย่างย่อมสูญสิ้นไป การที่จะป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจไปในทางที่ผิด จำเป็นที่จะต้องมีการจัดระเบียบโดยให้อำนาจหนึ่งยับยั้งอีกอำนาจหนึ่ง ผู้รู้บอกว่าแต่เดิมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องอำนาจอธิปไตยไว้ว่า “อำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล” ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า แต่ละอำนาจเป็นเอกเทศมีความเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน เกิดความรู้สึกหวงแหนในลักษณะของความเป็นเจ้าของอำนาจนั้น โดยคิดว่ารัฐธรรมนูญได้ยกอำนาจนั้นให้แก่ตนเป็นสิทธิขาดแล้วตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ ทำให้เป็นอุปสรรคปัญหาต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ต่อมานักนิติศาสตร์ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า อำนาจอธิปไตยย่อมเป็นหนึ่งเดียว หลักการแบ่งแยกอำนาจหมายถึงการแบ่งอำนาจอธิปไตยให้องค์กรต่าง ๆใช้ เพื่อมิให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งมีอำนาจเพียงองค์กรเดียว เพราะอาจมีการใช้อำนาจโดยมิชอบได้ ไม่ได้หมายความว่าอำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 จึงบัญญัติใหม่เป็นว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” หลังจากนั้นรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และฉบับปี 2560 ก็บัญญัติไว้ในทำนองเดียวกัน สรุปว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยและมีหนึ่งเดียว โดยปวงชนชาวไทยได้แสดงเจตจำนงร่วมกันแบ่งมอบอำนาจอธิปไตยให้ 3 สถาบันหลัก คือ รัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล เป็นผู้ใช้แทนภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนสำหรับการวิเคราะห์แลกเปลี่ยนขอใช้รูปภาพแสดงประกอบ  ตามรูปเสาหลักตรงกลางหมายถึง ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อีกสามขาคือ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ผู้ได้รับการแบ่งอำนาจอธิปไตยไปใช้จากประชาชน โดยรัฐสภาใช้อำนาจนิติบัญญัติ คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจบริหาร และศาลใช้อำนาจตุลาการ จากทฤษฎีหลักการแบ่งแยกอำนาจดังกล่าว ขอตั้งข้อสังเกตเพื่อแลกเปลี่ยน ดังนี้ 1. หากพิจารณาอย่างเป็นองค์รวมตามหลักอิทัปปัจจยตาและคำนึงถึงหลักการแนวคิดเรื่องความอยากหรือความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ ฉันทะกับตัณหาแล้ว การใช้อำนาจอธิปไตยของทั้งสามฝ่ายต้องคิดมุ่งทำเพื่อฉันทะ โดยมีเป้าหมายร่วมอันเดียวกันคือ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงสอดคล้อง การส่งเสริมสนับสนุนบทบาทหน้าที่ของกันและกันด้วย เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานและบรรลุถึงซึ่งเป้าหมายดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ฝ่ายนิติบัญญัติเห็นว่า การทุจริตคอรัปชั่นเป็นภัยอันตรายร้ายแรงต่อสังคมจึงบัญญัติกฎหมายให้มีอัตราโทษสูง ฝ่ายบริหารก็ต้องพยายามคิดหามาตรการป้องกันด้วยการให้ข้อมูลความรู้ ปลูกจิตสำนึก เข้มงวดกวดขัน และกำราบปราบปรามอย่างเด็ดขาดจริงจัง ขณะเดียวกันฝ่ายตุลาการก็ต้องพิจารณาพิพากษาคดีให้แล้วเสร็จโดยรวดเร็วและใช้ดุลพินิจตัดสินคดีลงโทษสถานหนักเพื่อจะได้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม อันจะมีส่วนในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เป็นต้น แม้โดยระบบบทบาทหน้าที่ของทั้งสามฝ่ายต้องคานดุลตรวจสอบซึ่งกันและกัน แต่ก็ต้องพึงระมัดระวังมิให้เป็นไปในลักษณะของการเซาะกร่อนบ่อนทำลายหรือทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ่อนแอลงไปเพราะถูกตัณหาหรืออคติชักนำ หาไม่แล้วทั้งสามขาย่อมไม่อาจทรงตัวตั้งอยู่ได้และที่สำคัญสูงสุดคือ ทั้งสามฝ่ายต้องร่วมมือกันในการที่จะช่วยเหลือดูแลรักษาและเสริมสร้างเสาประชาชนให้มีความมั่นคงแข็งแรง เพราะหากเสาต้นนี้อ่อนแอผุพังเมื่อไหร่ ทั้งสามขาก็คงจะอ่อนแอผุพังตามไปด้วย 2. บทบาทหน้าที่ของทั้งสามอำนาจต้องอยู่ภายในขอบเขตรั้วบ้านของตัวเองตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด หากออกนอกเขตรั้วเมื่อไหร่ย่อมส่งผลกระทบต่อความสมดุลของทั้งสามขา ตัวอย่างเช่น บทบาทหน้าที่ของฝ่ายตุลาการในกระบวนการยุติธรรมจะมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่มีการยื่นคำฟ้องหรือคำร้องต่อศาลเป็นต้นไปจนกระทั่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุด กระบวนการอื่นใดที่ต้องทำก่อนหน้าหรือหลังจากนี้ ย่อมไม่อยู่ในขอบข่ายอำนาจของตุลาการ ด้วยเหตุนี้ บทบาทหน้าที่บางอย่างตามกฎหมายปัจจุบัน เช่น อำนาจในการออกหมายค้นหมายจับในชั้นสอบสวนจึงไม่ควรอยู่ที่ศาล เพราะเป็นกระบวนการก่อนฟ้องคดี หากต้องการคานดุลตรวจสอบการทำหน้าที่ของตำรวจก็ควรให้เป็นอำนาจขององค์กรฝ่ายอื่น เช่น ฝ่ายปกครองหรืออัยการ ต่อเมื่อมีการกล่าวอ้างว่ากระบวนการออกหมายไม่ชอบจึงให้ศาลเป็นผู้ตรวจสอบทำนองเดียวกันกับเรื่องการคุมขังโดยมิชอบตาม วิ.อาญา มาตรา 90 การให้ศาลเป็นผู้มีอำนาจออกหมายค้นหมายจับจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาคือ กรณีมีการออกหมายโดยไม่ชอบหรือมีข้อผิดพลาดบกพร่องทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหาย โดยกระบวนการก็ต้องนำเรื่องขึ้นสู่ศาลเพื่อพิจาณาพิพากษา การที่ศาลเป็นผู้ออกหมายเองและเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องเองเช่นนี้ จะสร้างหลักประกันความเชื่อมั่นในความเป็นกลางให้กับประชาชนได้อย่างไร หรือกรณีการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก็มีข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า ศาลมีอำนาจไต่สวนหรือไม่ อย่างไร ในอนาคตจะก่อให้เกิดผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง 3. สืบเนื่องจากข้อ 2. การคานดุลตรวจสอบ น่าจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การคานดุลตรวจสอบโดยระบบใหญ่ระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และการคานดุลตรวจสอบภายในของอำนาจแต่ละฝ่ายเอง เช่น บทบาทของ ส.ส. ในการอภิปรายให้ความเห็นเกี่ยวกับการตรากฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ การตรวจสอบกลั่นกรองสำนวนคดีของพนักงานสอบสวนโดยพนักงานอัยการของฝ่ายบริหาร หรือการทบทวนตรวจสอบการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลล่างโดยศาลสูงของฝ่ายตุลาการ เป็นต้น กรณีการคานดุลตรวจสอบภายในของอำนาจแต่ละฝ่าย หากพบว่ามีข้อผิดพลาดบกพร่องในการทำหน้าที่หรือการปฏิบัติงานจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ การทำผิดวินัยกับการทำผิดกฎหมาย กรณีผิดวินัยถือเป็นเรื่องภายในของแต่ละฝ่ายที่จะต้องจัดการลงโทษกันเอง แต่กรณีผิดกฎหมาย ต้องเข้าสู่กระบวนการคานดุลตรวจสอบในระบบใหญ่ โดยไม่ว่าจะเป็นการทำผิดของเจ้าหน้าที่ในสังกัดฝ่ายใด ก็ต้องให้ฝ่ายตุลาการเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด จากข้อสังเกตทั้ง 3 ประการ ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การคานดุลตรวจสอบโดยองค์กรอิสระต่าง ๆรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะของการใช้อำนาจตุลาการหรือกึ่งตุลาการ จึงถือเป็นสิ่งแปลกปลอม ไม่สอดคล้องสัมพันธ์กับหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยที่เป็นสากล อาจกล่าวได้ว่าเป็นเนื้องอกของอำนาจอธิปไตยก็ว่าได้ ทำให้ระบบคานดุลตรวจสอบผิดเพี้ยนบิดผันไปหมด เช่น การพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะเหตุฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยหลักการแล้วต้องเป็นบทบาทหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติโดยรัฐสภา ขณะที่การพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำผิดกฎหมายอาญาย่อมถือเป็นบทบาทหน้าที่ของฝ่ายตุลาการโดยศาลยุติธรรม เราต้องแยกคำว่า “ฝ่าฝืนจริยธรรม” กับ “การกระทำผิดกฎหมายอาญา” ออกจากกันให้ชัดเจน คำว่า “จริยธรรม” หมายถึง หลักปฏิบัติหรือแนวทางการประพฤติที่ดีงาม เหมาะสม เป็นที่ยอมรับของสังคม โดยนัยความหมายแล้วการฝ่าฝืนจริยธรรมเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนน้อยกว่าการกระทำผิดกฎหมายอาญา อาจกล่าวได้ว่า ถัดจากการฝ่าฝืนจริธรรมอย่างร้ายแรงขั้นสูงสุดคือการกระทำผิดกฎหมายอาญา แม้ในทางทฤษฎีการกระทำผิดกฎหมายอาญาอาจถือเป็นการผิดจริยธรรมอยู่ในตัว แต่ในแง่กระบวนการพิจารณาเอาผิดลงโทษต้องมีระบบยุติธรรมที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน หากเอามาปะปนกันย่อมก่อให้เกิดความสับสนและมีปัญหาการบังคับใช้ได้ เช่น นายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาว่า บุกรุกยึดถือครอบครองป่า ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนแล้ว เชื่อว่าเป็นความจริง จึงวินิจฉัยว่า เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไป ต่อมามีการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมเพื่อเอาผิดทางอาญาซึ่งมีระบบการพิจารณาคดีที่แตกต่างกัน ผลปรากฏว่าคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้อง อย่างนี้จะอธิบายให้คำตอบแก่สังคมอย่างไร นอกจากนั้น ยังเห็นว่าคำว่าจริธรรมมีลักษณะเป็นนามธรรมและหาขอบเขตความหมายที่ชัดเจนแน่นอนได้ยาก ต่างจากความผิดอาญาที่มีองค์ประกอบความผิดชัดเจน อีกทั้งจริยธรรมในแต่ละเรื่อง แต่ละสังคม แต่ละช่วงเวลา ก็อาจมีความคิดความเห็นที่แตกต่างหลากหลายและไม่อาจหาจริยธรรมที่เป็นสากลได้  บทลงโทษของการฝ่าฝืนจริยธรรมถือเป็นมาตรการทางสังคม คือ การถูกตำหนิติเตียน ด่าว่า ประณาม ไม่ได้รับการยอมรับ การช่วยเหลือสนับสนุน ไม่เคารพให้เกียรติ หรืออย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงความผิดทางวินัยเท่านั้นในกรณีที่เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือลูกจ้างองค์กรเอกชนที่มีกฎระเบียบชัดเจน กล่าวเฉพาะนักการเมืองคนที่ตัดสินลงโทษเรื่องการฝ่าฝืนจริยธรรมได้ดีที่สุดถูกต้องเหมาะสมเป็นธรรมมากที่สุดก็คือ ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง โดยผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้งหรือผ่านตัวแทนซึ่งทำหน้าที่ในรัฐสภา การให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียง 9 คน เป็นผู้มีอำนาจตัดสินชี้ขาดว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากความเห็นชอบของประชาชนกว่าครึ่งค่อนประเทศหลายล้านคนเป็นบุคคลที่ขาดจริธรรมไม่สมควรให้ดำรงตำแหน่งอีกต่อไป จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผลอย่างยิ่ง ขัดต่อระบบคานดุลตรวจสอบตามหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยที่เป็นสากลอย่างชัดเจน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องปรับปรุงแก้ไขไปพร้อมกับระบบการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ บทบาทหน้าที่ขององค์กรอิสระทั้งหลายและศาลรัฐธรรมนูญ โดยหากเห็นว่ายังมีความจำเป็นอยู่ ก็ควรจัดให้เข้าที่เข้าทางไม่ว่าจะเป็นบทบาทหน้าที่หรือที่มา โดยยึดหลักการสำคัญสูงสุดของทฤษฎีหลักการแบ่งแยกอำนาจ คือ ความสมดุลในการใช้อำนาจอธิปไตยของทั้งสามฝ่าย ตัวอย่างเช่น  * ศาลรัฐธรรมนูญควรให้มีบทบาทหน้าที่หลักสำคัญเฉพาะการพิจารณาวินิจฉัย ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายเท่านั้น และควรมีระบบอุทธรณ์คำวินิจฉัยในคดีบางประเภทที่เป็นเรื่องใหญ่สำคัญได้ด้วย โดยอาจกำหนดให้ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดร่วมกัน หากที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวมีมติเป็นเอกฉันท์ เกินกึ่งหนึ่ง สองในสามหรือสามในสี่แล้วแต่จะเห็นสมควร ไม่เห็นพ้องด้วย ก็ให้ถือว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่มีผลบังคับ * ที่มาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรมาจากตัวแทนของอำนาจอธิปไตยทั้ง สามฝ่ายและจัดความสัมพันธ์การใช้อำนาจร่วมกันอย่างเหมาะสม โดยให้ตัวแทนฝ่ายนิติบัญญัติรับผิดชอบเรื่องการออกกฎระเบียบการเลือกตั้ง ตัวแทนฝ่ายบริหารรับผิดชอบเรื่องการจัดการการเลือกตั้ง ตัวแทนฝ่ายตุลาการรับผิดชอบเรื่องการกระทำความผิดต่าง ๆจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ ในการทำหน้าที่หรือตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญของตัวแทนแต่ละฝ่าย ควรกำหนดให้ต้องรับฟังความคิดเห็นหรือได้รับความเห็นชอบจากอีกสองฝ่ายด้วย ขอตั้งข้อสังเกตเป็นบทส่งท้ายว่า การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์ให้แก่ผู้คนในสังคมทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน โง่ฉลาด ดีชั่ว ซื่อสัตย์  ขี้โกง ฯลฯ มากน้อยอย่างไรก็ตาม บทบาทหน้าที่ของนักการเมืองคือ ทำให้การจัดสรรแบ่งปันมีความถูกต้องเป็นธรรมมากที่สุด  แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง คงเป็นการพ้นวิสัยที่จะสามารถทำให้ทุกคนในสังคมรู้สึกพอใจได้ว่าการจัดสรรแบ่งปันทุกอย่างถูกต้องเป็นธรรมดีแล้ว เพราะกิเลสความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด ดุจดั่งพุทธภาษิตที่ว่า “ตัณหาเสมอแม่น้ำไม่มี” หรือคำกล่าวของมหาตะมะคานธีที่ว่า “ทรัพยากรบนโลกนี้มีพอสำหรับทุกคน แต่มีไม่พอสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว"  ดังนั้น การเมืองในทางโลกดีที่สุดคงทำได้เพียงแค่ “ให้พออยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ” โดยไม่เข่นฆ่าทำร้ายกันเยี่ยงสัตว์เท่านั้น เพียงแค่ให้พออยู่ร่วมกันได้ หากใครคิดจะเอาเกินมากกว่านี้ คิดแยกดีแยกชั่ว แยกผิดแยกถูก แยกสีแยกฝ่าย แยกอุดมการณ์แนวคิด อย่างสุดโต่ง ไม่ร่วมสังฆกรรมกับคนที่คิดต่างเห็นต่างโดยเด็ดขาด ไม่ยืดหยุ่นผ่อนปรนประนีประนอม เมตตา ให้อภัย เล่นเกมแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่ให้ผู้แพ้มีที่อยู่ที่ยืน สังคมไทยก็คงไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้      * บทความ * การเมือง * โสต สุตานันท์ * เลือกนายกรัฐมนตรี
dlvr.it
สถานภาพทางกฎหมาย การคุ้มครองแรงงานไรเดอร์และคนทำงานแพลตฟอร์ม
สถานภาพทางกฎหมาย การคุ้มครองแรงงานไรเดอร์และคนทำงานแพลตฟอร์ม
สถานภาพทางกฎหมาย การคุ้มครองแรงงานไรเดอร์และคนทำงานแพลตฟอร์ม สมยศ พฤกษาเกษมสุข   sarayut Sun, 2025-10-26 - 09:05 นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมาประเทศไทยพัฒนาสู่ “เศรษฐกิจดิจิทัล” (Digital Economy) ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มผลผลิต เพิ่มการจ้างงาน ในปี 2568 สร้างมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท เติบโตในอัตราเฉลี่ย 16 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ในส่วนของอุตสาหกรรมแพลตฟอร์มมีมูลค่า 307,630 ล้านบาทเติบโตถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจแพลตฟอร์มขยายตัวรวดเร็วและทำกำไรมหาศาลเพราะมีการใช้ประโยชน์และเอาเปรียบแรงงานได้เต็มที่เนื่องจากได้ผลักความเสี่ยง ความกดดันและความรับผิดชอบต่างๆให้แรงงานแบกรับโดยไม่มีหลักประกันรายได้และการรับรองความมั่นคงในการทำงาน ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานต้องทำงานเสี่ยงอันตรายและเผชิญกับความเปราะบางในการทำงาน โดยกระทรวงแรงงงานมีความเห็นว่า คนทำงานไรเดอร์ เป็นแรงงานกึ่งอิสระ อยู่นอกระบบกฎหมายแรงงานทั้งๆที่ปรากฏชัดเจนแล้วว่า มีผู้ประกอบการธุรกิจการค้าการลงทุน มีปัจจัยการผลิตคือ แอปพลิเคชั่นในการบริหารงาน และมีการจ้างงานเกิดขึ้นจริง 1.นิยามนายจ้างลูกจ้างตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดมาตรฐานการทำงานระหว่างนายจ้าง กับลูกจ้าง เช่น  ค่าจ้างขั้นต่ำ ชั่วโมงการทำงานวันเวลาการทำงาน  วันหยุด วันลา ค่าชดเชย ฯลฯ เป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพคนทำงานและเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของสังคม ตามมาตรา 5 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานได้นิยามว่า นายจ้างหมายถึง บุคคลที่ตกลงจ้างบุคคลอื่นให้ทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ และลูกจ้างหมายถึง  ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับ ค่าจ้างไม่ว่า จะเรียกชื่ออย่างไร โดยนิยามเช่นนี้  ไรเดอร์และคนทำงานแพลตฟอร์มย่อมหมายถึงลูกจ้างตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน แม้ว่าจะเรียกไรเดอร์ว่าเป็นแรงงานกึ่งอิสระหรือเป็นพาร์ทเนอร์ หรือเรียกชื่อเป็นอย่างอื่นอย่างไรก็ตาม  ส่วนผู้ประกอบการแพลตฟอร์ม ก็คือนายจ้าง เป็นผู้ตกลงจ้างบุคลอื่นให้ทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ เช่นเดียวกันกับศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยกรณีนายสมัครสุนทรเวชพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะข้อห้ามนายกรัฐมนตรีเป็นลูกจ้างของบุคคลใด โดยการวินิจฉัยอ้างถึงพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำว่าลูกจ้างว่า หมายถึงผู้รับจ้างทำการงานผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โดยมิคำนึงถึงว่าจะมีการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หรือได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง สินจ้าง หรือค่าตอบแทนในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินอย่างอื่น หากมีการตกลงเป็นผู้รับจ้างทำการงานแล้ว ย่อมอยู่ในความหมายของคำว่าลูกจ้าง ผลของคำวินิจฉัยนี้ทำให้สมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (1) ดังนั้นไรเดอร์และคนทำงานแพลตฟอร์ม ซึ่งได้รับค่าตอบแทนการทำงานที่เรียกว่า ค่ารอบนั้น จึงมีสถานะภาพเป็นลูกจ้างตามนิยามของกฎหมายแรงงานและรัฐธรรมนูญ ส่วนเจ้าของแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชั่น ซึ่งจ่ายค่าตอบแทนการทำงานไม่ว่าจะเรียกเป็นอย่างอื่นหรือไม่ จึงมีสถานะภาพเป็นนายจ้าง ตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2.การบิดเบือนสถานภาพของแรงงานแพลตฟอร์ม นักกกฎหมายกระทรวงแรงงานเห็นว่า ไรเดอร์และคนทำงานแพลตฟอร์มนั้น เป็นแรงงานกึ่งอิสระจึงไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายแรงงานได้ โดยให้เหตุผลอยู่ที่นิติสัมพันธ์ที่แรงงานแพลตฟอร์มเลือกจะทำงานกับแพลตฟอร์มใดหรือเลือกทำงานหลายแพลตฟอร์มก็ได้ จะทำงานเวลาใดหรือไม่ทำงานเวลาใดก็ได้ โดยที่เจ้าของแพลตฟอร์มไม่มีอำนาจบังคับบัญชาได้ โดยความเป็นจริงแล้ว เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำงานบนโลกออนไลน์ได้อำนวยความสะดวกให้กับการทำงาน อย่างไม่เคยมีมาก่อน ช่วยให้เกิดการจ้างงานที่ง่ายสะดวก รวดเร็ว การจ้างงานที่ไม่ต้องคำนึงถึงเพศ อายุ สมัครงานได้ทุกที่ในเวลารวดเร็ว ทำงานได้ทุกหนแห่งที่ใดก็ได้ และเลือกทำงานตามความสะดวกและพึงพอใจของคนทำงาน คนทำงานแพลตฟอร์มจึงรู้จักแต่เพียงแอปพลิเคชั่นที่สั่งงาน คำนวณค่าตอบแทน ให้คุณโทษการทำงาน เป็นการบริหารงานโดยคำสั่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เรียกว่า "อัลกอริทึม" (Algorithm) คือ "ขั้นตอนวิธี" ซึ่งเป็นชุดของขั้นตอนหรือคำสั่งที่เป็นลำดับเพื่อใช้แก้ปัญหาหรือทำงานให้สำเร็จ  โดยที่ไม่รู้จักนายจ้างหรือเจ้าของแพลตฟอร์มตัวจริงมาก่อน นิติสัมพันธ์เช่นนี้จึงถูกตีความได้ว่าเป็นแรงงานกึ่งอิสระ ซึ่งเป็นการบิดเบือนสถานภาพที่แท้จริงของคนทำงานแพลตฟอร์มที่ไปเอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าของแพลตฟอร์มไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน โดยความเป็นจริงแล้วความเป็นแรงงานกึ่งอิสระ เป็นพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกิดการทำงานที่ยืดหยุ่น ไม่ต้องทำงานที่มีระเบียบข้อบังคับของผู้ประกอบการธุรกิจทั่วไป ซึ่งไรเดอร์และแรงงานแพลตฟอร์มเองก็มีความพึงพอใจในความยืดหยุ่นและมีความอิสระการทำงานเช่นกัน แต่ทว่า เป็นการทำงานที่ไม่มีหลักประกันในเรื่องรายได้และความปลอดภัยการทำงาน ดังนั้นในความยืดหยุ่นและความเป็นอิสระนี้ จึงสามารถนำกฎหมายแรงงานมาบังคับใช้ในนิติสัมพันธ์ที่ยืดหยุ่นและเป็นอิสระได้ ตัวอย่างเช่น ในกรณีเป็นไรเดอร์ เมื่อเริ่มเปิด-ปิดแอปพลิเคชั่นทำงานจะทำงานเป็นเวลากี่ชั่วโมงก็ได้ให้ถือเป็นชั่วโมงการทำงานให้ได้รับค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คำนวณเป็นรายชั่วโมง ส่วนเมื่อเริ่มรับงานตามระยะทางขนส่งให้ได้ค่าตอบแทนที่คำนวณจากต้นทุนค่าน้ำมันและค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์การทำงาน ส่วนงานพ่วงให้ได้รายได้ที่ไม่ต่ำกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของค่ารอบ เป็นต้น 3.สัญญาจ้างทำของหรือไม่ สัญญาจ้างทำของ ถือเป็นสัญญาต่างตอบแทนผู้รับจ้างจะต้องทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จลุล่วงให้แก่ผู้ว่าจ้าง โดยทางผู้ว่าจ้างจะต้องให้สินจ้างเพื่อผลงานนั้น สัญญาจ้างทำของยังมีความหมายทำให้เกิดวัตถุมีรูปร่างอย่างใดอย่างหนึ่ง (Production of thing) รวมถึงการดัดแปลงต่อเติมวัตถุมีรูปร่าง และการทำงานให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีข้อกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดในความสำเร็จของงาน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของแพลตฟอร์มกับคนทำงานแพลตฟอร์มและไรเดอร์จึงเป็นความสัมพันธ์แบบสัญญาจ้างแรงงาน มากกว่าสัญญาจ้างทำของ เพราะการทำงานของไรเดอร์เป็นการทำงานตลอดไป เป็นงานขนส่งที่ต้องทำงานภายใต้ข้อกำหนดของเจ้าของแพลตฟอร์ม  ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงได้วินิจฉัย ว่า เป็นการการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 575 ของกฎหมายแพ่งฯ และมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (2) 4.รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ออกกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์มได้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มีวัตถุประสงค์ คุ้มครองคนทำงานให้ได้รับความเป็นธรรม และด้วยเหตุที่มีการพัฒนาเครื่องมือการผลิตที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ทำให้รูปแบบความสัมพันธ์นายจ้างและลูกจ้างเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานจึงให้รัฐมนตรีกระทรวงแรงงงานมีอำนาจออกกฎกระทรวง เพื่อคุ้มครองการใช้แรงงานบางประเภทให้แตกต่างไปจากพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานตามมาตรา 6 และมาตรา 22 สหภาพคนทำงานและไรเดอร์เซ็นเตอร์ได้เสนอ ร่างกฎกระทรวง ต่อรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน มีสาระสำคัญให้มีการคุ้มครองคนทำงานแพลตฟอร์มและไรเดอร์ที่มีลักษณะยืดหยุ่นและเป็นอิสระ คือ 1. ชั่วโมงการทำงานในระหว่างการเปิด-ปิดแอปพลิเคชั่น ให้คำนวณเป็นรายชั่วโมงตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ดังนั้นหากทำงานเวลาใดเป็นระยะเวลาเท่าไร จะได้รับค่าจ้างคำนวณเป็นรายชั่วโมง 2. ค่ารอบการทำงาน คำนวณจากต้นทุนพลังงานเชื้อเพลิงและค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์การทำงานที่ใช้ตามระยะทาง 3.ค่างานพ่วงไม่ต่ำกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของค่ารอบ (3) 5.ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ แทนที่กระทรวงแรงงานจะใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานมาตรา 6 และ 22 ในการออกกฎกระทรวงคุ้มครองการทำงานแพลตฟอร์มและไรเดอร์ แต่กลับผลักดัน พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระขึ้นมาใหม่ (4) มีสาระสำคัญที่ทำให้ไรเดอร์และคนทำงานแพลตฟอร์มกลายเป็นแรงงานกึ่งอิสระที่อยู่นอกระบบการคุ้มครองแรงงาน โดยมุ่งเน้นการเรียกเก็บเงินจากคนทำงานแพลตฟอร์มจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อจะได้ช่วยในเรื่องการเจ็บป่วยจากการทำงาน  เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจแพลตฟอร์มไม่ต้องลงทุนในด้านคุณภาพชีวิตคนทำงาน ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน (5) ธุรกิจแพลตฟอร์มจึงมีกำไรและขยายกิจการเติบโตอย่างวรวดเร็ว ในขณะที่คนทำงานแพลตฟอร์มและไรเดอร์กลายเป็นแรงงานเปราะบาง ทำงานหนัก เสี่ยงอันตรายได้รับค่าจ้างไม่พอเพียงต่อการดำรงชีวิตสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์     อ้างอิง (1) ย้อนอ่านคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_18922 (2) กสม. ยืนยัน ‘ไรเดอร์’ คือลูกจ้าง https://theactive.thaipbs.or.th/news/law-rights-20240329 (3) .สหภาพคนทำงานเสนอกฎกระทรวงคุ้มครองไรเดอร์ https://prakaifai.com/2025/10/13/ (4) ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ https://www.mol.go.th/wp-content/uploads/sites/2/2023/04 (5) กลลวงกระทรวงแรงงานออกกฎหมายเพื่อธุรกิจแพลตฟอร์ม https://prachatai.com/journal/2025/08/114301 * บทความ * การเมือง * แรงงาน * สิทธิมนุษยชน * กฎหมายแรงงาน * การคุ้มครองแรงงานไรเดอร์ * แรงงานแพลตฟอร์ม * สมยศ พฤกษาเกษมสุข
dlvr.it
ช้างป่าในระบอบการจัดการแบบเขียวขวาจัด - วิพากษ์ Ecological Distribution Conflict
ช้างป่าในระบอบการจัดการแบบเขียวขวาจัด - วิพากษ์ Ecological Distribution Conflict
ช้างป่าในระบอบการจัดการแบบเขียวขวาจัด - วิพากษ์ Ecological Distribution Conflict ตาล วรรณกูล   sarayut Sun, 2025-10-26 - 08:40 ในสายตาชนชั้นกลางในเมือง ช้างป่าคือสัญลักษณ์ของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรได้รับการคุ้มครองอย่างศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาปรบมือให้ทุกครั้งที่เห็นข่าวช้างป่าเพิ่มจำนวนประชากร โดยไม่เคยรู้เลยว่าในอีกด้านหนึ่ง มีคนต้องเสียข้าวในท้องนา เสียพืชไร่ที่ลงทุนเพาะปลูก เสียชีวิต ชให้กับนโยบายอนุรักษ์ที่รัฐเชิดชูว่ายิ่งใหญ่เพื่อผืนแผ่นดิน การอนุรักษ์ในประเทศไทยไม่เคยเป็นกลาง มันคือระบอบอุดมการณ์ที่มีความเขียวเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมทางศีลธรรมให้รัฐและฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยมีช้างป่าเป็นวัตถุแห่งความภาคภูมิใจ เป็นเครื่องมือเชิดชูความเป็นไทยในเวทีโลก แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของช้างที่รัฐประกาศ ไม่ได้เกิดจากการเคารพในสิทธิของมัน หากเกิดจากการควบคุมและจัดการในนามช้าง ช้างที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง แต่ไม่ได้จัดให้ช้างเป็นสัตว์ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ภายใต้ระบอบราชการไทย ช้างป่าไม่ใช่เพียงสัตว์ป่า แต่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เชิงอุดมการณ์ที่รัฐใช้เพื่อผลิตความเชื่อมั่นของอำนาจรัฐในนามการอนุรักษ์ (Peluso & Vandergeest, 2001) กรมอุทยานฯ กลายเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจเหนือชีวิตคนจำนวนมาก ด้วยอาวุธที่ทรงพลังทั้งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติและพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า รวมถึงวาทกรรมที่ใช้หล่อหลอมสังคมให้เชื่อว่ารัฐคือผู้พิทักษ์ธรรมชาติ ป่ามีค่า สัตว์มีคุณ ขณะที่ชาวบ้านเป็นเพียงปัญหาของธรรมชาติ และถูกด้อยค่าว่าเป็นผู้ไร้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ แนวคิดนี้คือมรดกของสิ่งที่เรียกว่า colonial conservation หรือการอนุรักษ์แบบอาณานิคมที่เกิดจากการจำลองโครงสร้างแบบตะวันตกในสมัยที่ธรรมชาติถูกมองว่าเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ต้องปกป้องจากมนุษย์ (Adams & Mulligan, 2003) ในประเทศไทย มันกลายเป็นรูปแบบของเขียวขวาจัด (eco-authoritarianism) อนุรักษ์นิยมสุดโต่งที่ผูกขาดศีลธรรมและใช้ความเขียวเป็นโล่กำบังอำนาจ รัฐจึงรักช้าง แต่ไม่เคยรักคนที่อยู่ร่วมกับช้างป่า รัฐปกป้องป่า แต่ไม่เคยปกป้องสิทธิของผู้คนที่อยู่ในป่า รัฐมักพูดว่าช้างออกจากป่า แต่ความจริงคือป่าถูกตัดออกจากช้าง การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่กระจัดกระจายทั่วประเทศ ทำให้พื้นที่หากินดั้งเดิมของช้างถูกแยกขาดจากกันด้วยเส้นบนแผนที่ (Ekers & Loftus, 2008) เขตอนุรักษ์กลายเป็นเหมือนคุกเชิงนิเวศที่ช้างถูกบีบให้แออัดในพื้นที่จำกัด โดยไม่มีเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างผืนป่า ผลคือช้างต้องออกมาหากินในพื้นที่เกษตรของชุมชน ซึ่งในสายตารัฐมันกลายเป็นภัยที่ต้องควบคุม ความย้อนแย้งนี้คือ รัฐในฐานะผู้ตัดเส้นทางของมันเอง กลับเป็นผู้กล่าวโทษมันที่เดินออกมา ช้างจึงกลายเป็นเหยื่อของนโยบายสีเขียวที่ต้องตายจากกับดักไฟฟ้า ต้องถูกผลักกลับป่าที่ไม่เหลือพื้นที่รองรับเพียงพอ ต้องถูกจัดการเสมือนเป็นตัวปัญหาที่มนุษย์ต้องแก้ ทั้งที่ผู้สร้างปัญหาคือรัฐเอง เมื่อช้างออกมาหากินในพื้นที่ชุมชน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงคนบุกรุกป่า หรือช้างบุกรุกพื้นที่ชุมชน แต่เป็นสิ่งที่ Joan Martínez-Alier (2002) นิยามว่าเป็น Ecological Distribution Conflict (EDC) หรือความขัดแย้งที่เกิดจากการกระจายผลประโยชน์และภาระทางนิเวศอย่างไม่เท่าเทียมและเป็นธรรม รัฐถือครองอำนาจในการอนุรักษ์ แต่ชาวบ้านต้องแบกรับต้นทุนของการอนุรักษ์นั้นไว้ด้วยน้ำตา ทั้งที่ดินทำกินที่ถูกยึด ผลผลิตที่ถูกช้างทำลาย และชีวิตที่ต้องอยู่กับความเสี่ยงโดยไม่มีหลักประกัน พูดอีกอย่างคือคนเมืองได้บุญ คนชนบทได้บาดแผล สังคมเมืองได้เสพภาพช้างอาบน้ำในโลกโซเชียล ได้รับรู้ว่าประเทศมีป่าเพิ่มขึ้น ได้พื้นที่คาร์บอนเครดิตในเวทีโลก แต่คนชายป่ามีราคาที่ต้องจ่ายให้กับความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นทุกวัน ในเชิงการเมืองของทรัพยากร นี่คือความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่างระบอบการจัดสรรเชิงนิเวศของรัฐกับสิทธิในการดำรงชีวิตของผู้คน เมื่อรัฐผูกขาดอำนาจในการกำหนดว่าตรงไหนคือธรรมชาติและใครสมควรอยู่ตรงนั้น ความขัดแย้งย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การจัดการช้างของรัฐไทยตั้งอยู่บนฐานของความรู้เชิงเทคนิคมากกว่าความรู้เชิงสิทธิ รัฐพูดถึงการควบคุมช้าง การสร้างแนวป้องกัน การเยียวยาผลกระทบ แต่ไม่เคยพูดถึงสิทธิของคนในการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัย จากกรอบแนวคิด Human Rights-Based Approach เราจะเห็นว่าการอนุรักษ์ควรมีองค์ประกอบหลักสำคัญคือ (1) สิทธิในการมีส่วนร่วมของชุมชน (2) สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล และ(3) สิทธิในการได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม แต่ในทางปฏิบัติ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการทำให้ชาวบ้านกลายเป็นผู้รับการช่วยเหลือ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิ เสียงของพวกเขาไม่ได้อยู่ในเวทีวางแผนและการตัดสินใจ แต่ในรายงานท้ายบทของรัฐมักจะเขียนกำกับว่าได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นแล้ว ความเขียวจึงกลายเป็นเครื่องมือกลบเสียงของสิทธิ และช้างป่ากลายเป็นข้ออ้างของการใช้อำนาจมากกว่าการปกป้องชีวิต Schlosberg (2007) สอน Environmental Justice ว่า ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมไม่ใช่การแบ่งพื้นที่ระหว่างคนกับธรรมชาติ แต่เป็นการจัดการผลประโยชน์และภาระอย่างเป็นธรรม  สำหรับช้างป่าและชุมชนชายป่า ความยุติธรรมเชิงนิเวศ (Ecological Justice) หมายถึงการยอมรับว่ามนุษย์มีสิทธิในระบบนิเวศพอ ๆ กับช้าง และช้างก็มีสิทธิในการดำรงชีวิตพอ ๆ กับกับมนุษย์ การอยู่ร่วมจึงต้องออกแบบใหม่บนฐานของสิทธิร่วม ไม่ใช่การแยกออกจากกัน หากรัฐยังมองว่าช้างต้องอยู่ในป่า และคนต้องอยู่นอกป่า เป็นสมการของความสมดุล มันจะไม่มีวันเกิดความยุติธรรมเชิงนิเวศ เพราะในความเป็นจริง ป่าที่ช้างต้องการคือป่าที่คนดูแล และช้างที่คนยอมรับคือช้างที่รัฐไม่ผลักมาเป็นภัยแก่คน หากวิเคราะห์ช่องว่างในระบบจัดการช้างป่าของรัฐไทยจะเผยให้เห็นความล้มเหลวในทุกระดับ #ช่องว่างเชิงนโยบาย รัฐวัดความสำเร็จด้วยจำนวนช้างที่เพิ่มขึ้น โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของพื้นที่และความปลอดภัยของคน #ช่องว่างเชิงสถาบัน กรมอุทยานฯ ถืออำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่มีการจัดการร่วมกับชุมชนอย่างแท้จริง #ช่องว่างเชิงปฏิบัติ มาตรการเยียวยาไม่ทั่วถึง ชาวบ้านหลายพื้นที่ต้องรอเงินนานนับปี #ช่องว่างเชิงสิทธิ ไม่มีการรับรองสิทธิในที่ดินของชุมชนที่อยู่ร่วมกับช้างมานานก่อนเขตอุทยาน สิ่งเหล่านี้คือหลุมดำทางนโยบาย ที่ดูดกลืนความเป็นธรรมทางสังคมให้หายไปในความหมายของการอนุรักษ์ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการจัดการช้างป่าต้องตั้งอยู่บนสมมติฐานใหม่ว่า ความยั่งยืนต้องตั้งอยู่บนรากฐานของสิทธิ ไม่ใช่บนฐานอำนาจ ต้องยอมรับสิทธิของชุมชนในฐานะผู้จัดการระบบนิเวศ ไม่ใช่ผู้บุกรุก ใช้กลไกมีส่วนร่วมที่ให้สิทธิตัดสินใจอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดการจัดการช้างแบบมีส่วนร่วม (co-management) ที่ใช้ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นควบคู่กับวิทยาศาสตร์ อันจะสามารถลดความขัดแย้งเชิงนิเวศ เพิ่มความปลอดภัยของคนและช้าง และสร้างระบบนิเวศที่สมดุลอย่างแท้จริง จำนวนประชากรช้างป่าเพิ่มขึ้น ฟังดูเป็นความสำเร็จของการอนุรักษ์ แต่หากการเพิ่มขึ้นนั้นมันหมายถึงความเสี่ยงของผู้คนและการแบบกรับภาระที่มากขึ้นของคนที่อยู่ร่วมกับช้าง มันไม่ใช่การอนุรักษ์ แต่มันคือความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่แปลงร่างเป็นนโยบายสีเขียว แน่นอนว่าช้างป่าจะอยู่รอดไม่ได้ หากรัฐยังมองมันเป็นเพียงตัวเลขความสำเร็จเชิงนโยบาย มากกว่าสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ และชาวบ้านจะอยู่รอดไม่ได้ หากรัฐยังมองพวกเขาเป็นแค่ผู้รับนโยบาย มากกว่าผู้มีสิทธิร่วมสร้างนโยบายนั้น ความยุติธรรมเชิงนิเวศไม่ใช่เรื่องโรแมนติก แต่มันคือการเมืองของการกระจายอำนาจ การเมืองของสิทธิ และการเมืองของการอยู่ร่วมอย่างเท่าเทียม ช้างไม่ต้องการรัฐที่รักมันแบบอาณานิคม มันต้องการรัฐที่ยอมรับว่าความเขียวจะไม่ยั่งยืน ถ้าความเป็นธรรมยังไม่เกิด     * บทความ * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * สิ่งแวดล้อม * ตาล วรรณกูล * ช้างป่า * เขียวขวาจัด
dlvr.it
กวีประชาไท: เกิดมามีความยากจนเป็นมรดก!?
กวีประชาไท: เกิดมามีความยากจนเป็นมรดก!?
กวีประชาไท: เกิดมามีความยากจนเป็นมรดก!? ธุลีดาวหาง    sarayut Sun, 2025-10-26 - 08:36     สมาชิกวุฒิสภามาจากไหน ความโปร่งใสกำลังรื้อหมู่หรือจ่า ร้อยกว่าคนนายพลก็มีที่เข้ามา ถูกกล่าวหาว่า" ฮั้ว" ยั่วอยากรู้ ? อยู่ในระหว่างสอบสวนสมควรไหม จะให้ทำหน้าที่ ๆ ควรคู่ บทบาทวุฒิสมาชิกพลิกไปดู ถ้าได้งูเห่าเข้ามาช่างน่ากลัว ใต้เล่ห์กลมนตรามหาเวทย์ ประเทศสีน้ำเงินเดินทางมั่ว ! กับดักโคลนติดล้อก่อหมองมัว เรื่องสั่ว ๆ สถุนคุณภาพชีวิต ภาพประชามหาชนเหมือนจนยาก ความลำบากบุกเยือนเหมือนญาติสนิท ดังการเกิดตามติดพามาประชิด มองญาติมิตรเข้าคิวหน้าธนาคาร นิทานชาวบ้านชาวเมืองเรื่องงูเห่า เป็นเรื่องเศร้าของชาวนาตายคาย่าน อุปไมยให้เทียบใช้เปรียบปาน ว่าชาวบ้านนานี้หนาเมตตาแรง เป็นคนไร้เหลี่ยมเล่ห์เพทุบาย อยู่ง่ายกินง่ายไม่หน่ายแหนง ผลาหารสมบูรณ์มาราคาไม่แพง รู้แบ่งปันกันกินรินน้ำใจ แต่กระแสพากาลผ่านไปแล้ว ตามรอยแนวรอยย่ำยังจำได้ ให้งูเห่าเข้าสภาพาพิษภัย พิษก็ไหม้ชีวาประชาชน ! จับงูไปปล่อยป่าถ้ำธรรมชาติ แต่อุบาทว์อำนาจฮั้วตัวตั้งต้น งูเห่าพรางกายเร้นว่าเป็นคน แค่หุ่นยนต์กดปุ่มไปใช้ทำงาน! ระบอบประชาธิปไตยในความปลอม คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อฮั้วตัวล้างผลาญ การขูดรีดเอารัดเอาเปรียบเหยียบกบาล เมตตาทานค้ำจุนใครไม่รู้เลย.   * บทความ * การเมือง * วัฒนธรรม * กวีประชาไท * ธุลีดาวหาง
dlvr.it
'ธนกร' เผย สมอ.ถอนอายัดเหล็ก 'ซินเคอหยวนฯ' ก่อนรับตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม
'ธนกร' เผย สมอ.ถอนอายัดเหล็ก 'ซินเคอหยวนฯ' ก่อนรับตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม
'ธนกร' เผย สมอ.ถอนอายัดเหล็ก 'ซินเคอหยวนฯ' ก่อนรับตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม ภาพปก: ธนกร วังบุญคงชนะ  XmasUser Sun, 2025-10-26 - 01:43 'ธนกร' รับกระทรวงอุตสาหกรรม ถอนอายัดเหล็กเส้น 'ซินเคอหยวน สตีล' 41,635 เส้นจริง แต่เกิดก่อนเขารับตำแหน่ง 9 วัน ยันเป็นเหล็กคนละส่วนจากตึก สตง.ถล่ม พร้อมตั้งคณะทำงานตรวจสอบอีกครั้ง ด้าน 'เอกนัฏ' ตั้งข้อสังเกตไทม์ไลน์ปลดอายัดเกิดขึ้นหลังพ้นตำแหน่งไม่นาน เผยพร้อมติดตามต่อเนื่อง   26 ต.ค. 2568 เว็บไซต์สื่อประชาชาติธุรกิจ รายงานเมื่อ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า หลังจากมีกระแสข่าวระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีการถอนอายัดเหล็กเส้นของ บริษัท ซินเคอหยวน สตีล จำกัด จำนวนกว่า 60,000 เส้น และเป็นเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) บริเวณจตุจักร ซึ่งถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวรอยเลื่อนภูมิภาคสะกาย ประเทศเมียนมา ขนาด 7.7 แมกนิจูด เมื่อ มี.ค.ที่ผ่านมา ธนกร มองว่ามีฝ่ายการเมืองบางกลุ่มบิดเบือนข้อมูล และสร้างความสับสนให้กับประชาชน โดยการถอนอายัดเหล็กจำนวนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่เขาเข้ามารับตำแหน่งและปฎิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตามไทม์ไลน์มีการถอนอายัดเหล็กในวันที่ 15 ก.ย. 2568 ในขณะที่เขาเข้ามาทำหน้าที่ในวันที่ 24 ก.ย. 2568 จึงขอความเป็นธรรมในกรณีนี้ก่อน และฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ควรมีจริยธรรม ควรทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวยืนยันว่าไม่ใช่เหล็กที่ตึก สตง.ถล่ม แต่เป็นเหล็กที่เกิดจากเหตุการณ์ระเบิดไฟไหม้โรงงานซินเคอหยวน เมื่อ 19 ธ.ค. 2567 จากนั้นเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2568 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ยึดอายัดเหล็กจำนวน 2,690 เส้น และนำส่วนนี้ชักออกไปทดสอบพบว่าผลการทดสอบตก เนื่องจากส่วนประกอบทางเคมีไม่สมบูรณ์ การควบคุมคุณภาพไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ไม่มีเตาปรุงจึงส่งผลทำให้เหล็กไม่ได้มาตรฐาน จึงได้มีการยึดอายัดและส่งดำเนินคดี ต่อจากนี้ในส่วนที่ 2 สมอ.ได้ยึดอีก 41,635 เส้น ในวันที่ 9 ม.ค. 2568 ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้สั่งการให้บริษัทดำเนินการปรับปรุงโรงงานให้เสร็จ จนนำไปสู่ในวันที่ 12 ก.ย. 2568 ได้ทำการอนุมัติถอนอายัดเหล็กส่วนแรกจำนวน 16,950 เส้น และในวันที่ 30 ก.ย. 2568 ทำการอนุมัติถอนอายัดอีกส่วนที่เหลือ 24,685 เส้น การถอนอายัดดังกล่าวเป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบของ สมอ. “ขอยืนยันกับประชาชนและผู้ประกอบการว่าภายใต้การกำกับดูแลของผมจะต้องมีความโปร่งใส ยึดหลักกฎหมาย ปราบปรามเหล็กเถื่อน และให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ ต้องสร้างความเชื่อมั่น คุ้มครองความปลอดภัยประชาชน และเพื่อให้เป็นธรรมกัยทุกฝ่าย ผมจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง และยังคงยืนยันว่าซินเคอหยวนยังไม่สามารถเปิดโรงงานได้ เพราะยังอยู่ในกระบวนการของศาลปกครอง ไม่ว่าจะรายนี้หรือรายไหน แต่ถ้าเขาปรับปรุงแก้ไขแล้วก็ต้องเปิด เรื่องมันง่ายมากถ้าดำเนินตามกฎหมายก็เปิดได้ ถ้าทำอะไรเถื่อนก็ต้องใช้กฎหมาย” ธนกร กล่าว ก่อนหน้านี้เมื่อ 23 ต.ค. 2568 สำนักข่าวอิศรา รายงานอ้างอิงหนังสือเลขที่ กต16-13/68 บันทึกการถอนอายัดและการดำเนินการกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ลงวันที่ 15 ก.ย. 2568 โดยมีเนื้อหาสรุปได้ว่า สมอ.ได้ทำการถอนการอายัดเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กข้ออ้อย ของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ซึ่งได้อายัดไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 จำนวน 116 รายการ รวม 41,635 เส้น และส่งมอบเหล็กดังกล่าวคืนบริษัท ซินเคอหยวน สตีล จำกัด "เพื่อคืนเหล็กข้ออ้อยขนาด DB32 ชั้นคุณภาพ SD50T ความยาว 10 เมตร จำนวน 54 หมายเลขการหลอม (16,950 เส้น) ให้แก่บริษัท เนื่องจากปรากฏผลการตรวจสอบของผลิตภัณฑ์ตัวอย่างว่าเป็นไปตามมาตรฐาน จำนวน 3 ชุดตัวอย่าง ซึ่งใช้เป็นตัวแทนของขนาดดังกล่าว และเก็บตัวอย่างเหล็กข้ออ้อย ขนาด DB25 ชั้นคุณภาพ SD40T ความยาว 10 เมตร และขนาด 12 เมตร และขนาด DB32 ชั้นคุณภาพ ความยาว 12 เมตร เพื่อตรวจสอบตามมาตรฐานต่อไป" สำนักข่าวอิศรา ระบุ 'เอกนัฏ' ข้องใจปลดอายัดหลังพ้นตำแหน่ง พร้อมติดตามต่อเนื่อง เมื่อ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงประเด็นนี้เช่นกัน โดยตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมการถอนอายัดเหล็กจำนวน 41,635 เส้น มูลค่า 50 ล้านบาท ถึงเกิดขึ้นเพียง 3 วัน หลังจากที่เขาอำลาจากตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม และตั้งคำถามย้ำอีกครั้งว่า เหล็กที่ถอนอายัดเป็นเหล็กล็อตใหม่เป็นล็อตเดียวกับที่ สมอ. เคยชักตัวอย่างออกจากโรงงานไปตรวจสอบ และรายงานว่าตกมาตรฐานมาแล้ว 2 รอบใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ทำไมถึงปลดอายัดได้ เอกนัฏ ระบุต่อว่า ช่วงเวลาดังกล่าวยังประจวบเหมาะ เนื่องจากพอเขาออกจากตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม ก็ถูกทางบริษัทซิน เคอ หยวน ร้องเรียนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และฟ้องร้องศาลปกครอง เรียกค่าเสียหายราว 3,000 ล้านบาท และฟ้องหมิ่นประมาท "แม้ผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแล้วแต่ยังติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ขอชวนสังคมร่วมเป็นหูเป็นตา ว่าสุดท้ายแล้ว โรงงานนี้จะกลับมาเปิดเพื่อผลิตอีกครั้งหรือไม่ และอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า มีการปลดอายัดของกลางที่สอบตกมาตรฐานในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก สายไฟ ล้อยาง มูลค่ามหาศาล อีกหรือไม่" เอกนัฏ ทิ้งท้าย  * ข่าว * การเมือง * คุณภาพชีวิต * ธนกร วังบุญคงชนะ * เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ * กระทรวงอุตสาหกรรม * สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม * ซินเคอหยวน สตีล * จีน * สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
dlvr.it
Run2Free X ยืนหยุดทรราช เชียงใหม่ วิ่งเพื่อเสรีภาพ แถลง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ปล่อยทิ้งนักโทษคดี ม.112
Run2Free X ยืนหยุดทรราช เชียงใหม่ วิ่งเพื่อเสรีภาพ แถลง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ปล่อยทิ้งนักโทษคดี ม.112
Run2Free X ยืนหยุดทรราช เชียงใหม่ วิ่งเพื่อเสรีภาพ แถลง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ปล่อยทิ้งนักโทษคดี ม.112 Pazzle Sat, 2025-10-25 - 20:36 ชาวเชียงใหม่เกือบ 100 คน ใส่เสื้อดำร่วมกิจกรรมวิ่งเพื่อเสรีภาพ “Run2Free X ยืนหยุดทรราช” รอบอ่างแก้ว มช. ระยะทางราว 3.5 กิโลเมตร ก่อนจะกลับมายืนหยุดทรราช และอ่านแถลงการณ์หลังสภาคว่ำไม่นิรโทษกรรม ม.112 ระบุ พ.ร.บ. สร้างเสริมสังคมสันติสุขที่จะออกมาในอนาคตสร้างสันติสุขให้แค่คนบางกลุ่ม ไม่ได้คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง ก่อนที่ผู้ร่วมกิจกรรมทั้งหมดจะอ่านรายชื่อผู้ต้องขังคดีการเมืองทั้ง 56 คนที่ยังอยู่ในเรือนจำร่วมกัน ย้ำจะเป็นอสูรผีห่าซาตานหลอนหลอกสังคมสันติสุขของเทวดาต่อไป   25 ต.ค. 2568 เวลา 16.00 น. ที่ลานควายยิ้ม บริเวณอ่างแก้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประชาชนชาวเชียงใหม่เกือบ 100 คน รวมตัวกันใส่เสื้อดำร่วมกิจกรรมวิ่งเพื่อเสรีภาพ “Run2Free X ยืนหยุดทรราช” ภายใน มช. ระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร ไปตามรอบอ่างแก้ว อ่างตราดชมพู และกลับมายืนหยุดทรราชร่วมกันที่ลานควายยิ้ม พร้อมอ่านแถลงการณ์หลังสภาคว่ำไม่นิรโทษกรรม ม.112 และอ่านรายชื่อนักโทษการเมืองทั้ง 56 คน เพื่อจดจำผู้ต้องขังคดีการเมืองที่ยังอยู่ในเรือนจำร่วมกัน   แถลงการณ์กิจกรรม Run2Free X ยืนหยุดทรราช ระบุ เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา 184 เสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้โหวตคว่ำมาตรา 3 หรือนิรโทษกรรมเยาวชนในคดี ม.112 เป็นอันว่าเสียงข้างมากในสภานี้ไม่ยินยอมให้มีการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองในคดี ม.112 ทั้งหมด แม้แต่เยาวชนก็ไม่ยกเว้น พระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขที่จะออกมาในอนาคต จึงเป็นการนิรโทษกรรมทางอาญาและทางแพ่งให้พวกปิดสนามบินเชียร์รัฐประหาร เหล่าผู้ได้ประโยชน์จาก พ.ร.บ. นี้ จึงมีแต่ผู้คนที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชน ไม่เคยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่ยอมรับว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน พวกเขาจะมีสันติสุขกันแต่ในหมู่พวกเขา พวกเขาจะไกล่เกลี่ยปรองดองจูบปากกันแต่ในหมู่พวกเขา พวกเขาไม่แยแสประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่าง ไม่สนใจเยาวชนที่ต้องการอนาคตที่ดีกว่านี้ รัฐสภากีดกันพวกเรา รัฐบาลไม่ว่ามาจากเผด็จการทหารหรือการเลือกตั้งก็กีดกันพวกเรา ศาลท่านก็ตีความความผิดตามมาตรา 112 กว้างขวางประดุจมหาสมุทรแปซิฟิก ต่อให้พวกเรามีความเพียรแค่ไหน ก็คงไม่มีทางว่ายน้ำข้ามไปจนเห็นอีกฟากฝั่ง จากนี้พวกเขาคงไปเลี้ยงฉลองปรองดองสันติสุขในปาร์ตี้ชุดลายพรางร้องเพลง “สู้ไม่ถอย” กันอย่างสนุกสนาน ไม่ต่างจากพวกเทพเทวดาฉลองน้ำอมฤตที่ได้มาจากการหลอกลวงเหล่าอสูรให้ใช้แรงงานกวนเกษียรสมุทร ไม่ต่างจากลูซิเฟอร์ที่เพียงตั้งคำถามต่อพระเจ้าบนฟากฟ้าแดนสวรรค์ ก็ถูกเหล่าเทวทูตถีบตกลงขุมนรกและเปลี่ยนคำเรียกขานเป็นซาตานทันที วันนี้พวกเรามาวิ่ง/เดิน/ยืน เพื่อไว้อาลัยให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เลือกปฏิบัติ ไว้อาลัยให้กระบวนการยุติธรรมที่มองว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าการสังหารหมู่ประชาชนหรือการรัฐประหารล้มล้างระบอบการปกครอง วันนี้พวกเรามาวิ่ง/เดิน/ยืน เพื่อยืนยันว่า พวกเราจะเป็นอสูรผีห่าซาตานหลอนหลอกสังคมสันติสุขของพวกเทวดาไปอีกนานเท่านาน ไม่มีความเท่าเทียม ก็ไม่มีการปรองดอง ไม่มีความยุติธรรม ก็ไม่มีสันติสุข    * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * เชียงใหม่ * Run2Free * ยืนหยุดทรราช * นิรโทษกรรม * ม.112
dlvr.it
'ไทย-กัมพูชา' เห็นชอบแผนปฏิบัติการปรับอาวุธหนัก-อาวุธที่มีการยิงทำลาย
'ไทย-กัมพูชา' เห็นชอบแผนปฏิบัติการปรับอาวุธหนัก-อาวุธที่มีการยิงทำลาย
'ไทย-กัมพูชา' เห็นชอบแผนปฏิบัติการปรับอาวุธหนัก-อาวุธที่มีการยิงทำลาย auser15 Sat, 2025-10-25 - 17:28 แม่ทัพภาคที่ 2 ไทย-ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา เห็นชอบแผนปฏิบัติการ “ปรับอาวุธหนัก-อาวุธที่มีการยิงทำลาย” ออกจากพื้นที่ขัดแย้ง สร้างเสถียรภาพชายแดน เตรียมตั้งกลไก AOT ลงพื้นที่และนัดหารือวันเริ่มปฏิบัติอีกครั้งหลัง 26 ตุลาคมนี้ 25 ตุลาคม 2568 เพจทีมโฆษกกองทัพบก Army Spoke Team รายงานว่า พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงผลการประชุมหารือระหว่างแม่ทัพภาคที่ 2 และผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ในประเด็นการปรับอาวุธหนักและอาวุธที่มีการยิงทำลายออกจากพื้นที่ขัดแย้ง ซึ่งได้จัดขึ้น ณ จุดผ่านแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อเวลา 10.30 น. ของวันนี้ (25 ต.ค. 68) ว่า การประชุมหารือดังกล่าว สืบเนื่องจากผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 20–23 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบ “แผนปฏิบัติการ (Action Plan)” ว่าด้วยการปรับอาวุธหนักและอาวุธที่มีการยิงทำลายออกจากพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี พลตรี วินธัยฯ กล่าวว่า การหารือในวันนี้เป็นไปด้วยบรรยากาศแห่งความร่วมมือ โดยทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความเห็นชอบในการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อนำไปสู่ผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมแท้จริง   ในส่วนของการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการเข้าสังเกตการณ์ ผลการปฏิบัติตาม “แผนปฏิบัติการ (Action Plan)” ในการปรับอาวุธหนักและอาวุธที่มีการยิงทำลายออกจากพื้นที่ขัดแย้งของทั้งสองประเทศ ฝ่ายไทยได้ยืนยันความพร้อมว่าสามารถให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป  ส่วนฝ่ายกัมพูชาแจ้งว่าอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์ได้ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 และหลังจากนั้นจะเชิญฝ่ายไทยเข้าร่วมประชุมเพิ่มเติมภายใน 1–2 วัน เพื่อหารือในการกำหนดวันเริ่มปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการ (Action Plan) อย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้คณะทำงานร่วมประสานงานอย่างใกล้ชิด  เพื่อให้ข้อตกลงที่มีระหว่างกันเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ  และคงไว้ซึ่งบรรยากาศแห่งความร่วมมือระหว่างกัน โฆษกกองทัพบกกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทัพบกยังคงยึดมั่นในการปฏิบัติตามกรอบข้อตกลงของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป และมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนด้วยแนวทางสันติวิธี ภายใต้หลักการเคารพอธิปไตยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  เพื่อธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนอย่างแท้จริง * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * กองทัพบก * กองทัพภาคที่ 2
dlvr.it