BenchaMFP
banner
benchamfp.bsky.social
BenchaMFP
@benchamfp.bsky.social
21 followers 8 following 78 posts
Bencha Saengchantra Member of the House of Representatives Member of Parliament (Future Forward Party-Move Forward Party) Thailand Liberté égalité fraternité
Posts Media Videos Starter Packs
Reposted by BenchaMFP
นักวิชาการชี้ไทยยังไม่พร้อมให้สัมปทาน ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ ต้องทำ กม.รองรับ ควรให้ รบ.ใหม่ เคาะ
นักวิชาการชี้ไทยยังไม่พร้อมให้สัมปทาน ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ ต้องทำ กม.รองรับ ควรให้ รบ.ใหม่ เคาะ auser15 Tue, 2025-10-28 - 17:35 นักวิชาการธรรมศาสตร์ เผย ไทยไม่พร้อมเข้าไปในห่วงโซ่อุปทานการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ เหตุยังไม่มีกฎหมายรองรับ ขาดมาตรการควบคุม ไม่มีความรู้-เทคโนโลยีที่เหมาะสม ชี้รัฐบาลชั่วคราวไม่เหมาะให้สัมปทานประเทศอื่น ควรรอรัฐบาลหน้าที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนแล้วค่อยผลักดันจะเหมาะสมกว่า ระบุ MOU ไทย-สหรัฐฯ ไม่ได้ผูกพันทางกฎหมาย “ไทย” ควรเปิดกว้าง EU-จีน และให้ทุกประเทศที่ให้ข้อเสนอดีสุด 28 ตุลาคม 2568 รศ.ดร.จารุประภา รักพงษ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2568 ว่า ในช่วงเวลาอันใกล้หรืออย่างน้อยคือในปีนี้ ไทยยังไม่มีความเหมาะสมและความจำเป็นที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ที่ถือกันว่าเป็นอุตสาหกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างได้เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมถ่านหิน เพราะไทยยังไม่มีความพร้อมใดๆ ทั้งการไม่มีกฎหมายรองรับในการควบคุมดูแลอุตสาหกรรมการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ไม่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่ และกระบวนการผลิตที่เหมาะสมที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงไม่มีความพร้อมด้านการรับรู้และความเข้าใจของประชาชน นอกจากนี้ รัฐบาลในปัจจุบันถือเป็นรัฐบาลชั่วคราวที่เข้ามาทำภารกิจตามกรอบเวลาที่กำหนด จึงไม่เหมาะสมที่จะผลักดันในการให้สัมปทานเพื่อผลิตหรือการขุดแร่แรร์เอิร์ธแก่ประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการนำเข้าแร่จากประเทศอื่นๆ เพื่อนำมาผลิตต่อด้วย หากต้องผลักดันสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ประเทศไทยควรมีกฎหมายเพื่อกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานการผลิตแร่แรร์เอิร์ธก่อน ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนถกเถียงและมีมติเห็นชอบจากรัฐสภาตามกระบวนการ ฉะนั้นรัฐบาลชุดต่อไปซึ่งได้รับการเลือกตั้ง และได้รับฉันทมติมาจากประชาชนจะมีความเหมาะสมกว่าในการผลักดันการให้สัมปทาน ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำได้และควรทำ คือการเตรียมความพร้อม ทั้งมิติการศึกษา การร่างข้อกฎหมาย หรือการหามาตรการควบคุมป้องกันผลกระทบ และสำรวจหาพื้นที่ที่มีแร่อย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเป็นการสำรวจที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษพร้อมทั้งรับเอาการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ ทั้งจากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่นๆ ที่เข้ามายื่นข้อเสนอเช่นกัน นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า MOU ว่าด้วยความร่วมมือแร่แรร์เอิร์ธที่ไทยทำกับสหรัฐฯ ไม่ได้มีผลผูกพันธ์เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย ฉะนั้นหากมีการเจรจารายละเอียดเรื่องนี้กันอีกครั้ง ประเทศไทยควรแสดงท่าทีว่าไม่ได้เปิดรับแค่การลงทุนจากสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ไทยยังเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น สหภาพยุโรป (EU) หรือจีน โดยหลักการสำคัญคือขึ้นอยู่กับข้อเสนอว่าประเทศใดมีความน่าสนใจที่สุด ซึ่งข้อเสนอที่ดีอาจไม่ได้หมายถึงแค่จำนวนเงินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงมาตรการเรื่องการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีที่ดีกว่าด้วย หากไทยสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางเหล่านี้ที่ไม่ได้อิงไปทางสหรัฐฯ มากนัก ก็จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศและเป็นการสะท้อนไปยังจีนว่าไทยไม่ได้ทิ้งน้ำหนักทางการค้าไปยังสหรัฐฯ มากเกินไป “สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือการปรับปรุงข้อกฎหมายตรวจสอบย้อนกลับเพื่อป้องกันมลพิษข้ามแดน จากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเถื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งกำลังสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมให้กับแม่น้ำกกของไทยในเวลานี้ โดยในกรณีที่ผู้ประกอบการไทยมีการนำเข้าแร่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน แล้วนำมาผลิตต่อเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ของแร่ในไทย จะต้องไม่เป็นแร่ซึ่งมีที่มาจากเหมืองแร่ที่สร้างมลพิษทางน้ำและทางอากาศให้ไทย หากตรวจสอบย้อนกลับแล้วพบว่ามีที่มาจากเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลภาวะ ก็ควรจะยุติการนำเข้าทันที เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไข” รศ. ดร.จารุประภา กล่าว * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * MOU แร่ธาตุหายากไทย-สหรัฐฯ * แรร์เอิร์ธ * สหรัฐอเมริกา * จารุประภา รักพงษ์
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
เปิดกลลวงงานสบายรายได้ดี หลอกวัยรุ่นเกาหลีใต้ไปเป็นแรงงานทาส ‘สแกมเมอร์’ ในกัมพูชา
เปิดกลลวงงานสบายรายได้ดี หลอกวัยรุ่นเกาหลีใต้ไปเป็นแรงงานทาส ‘สแกมเมอร์’ ในกัมพูชา ภาพปก: ในรายงานของ Hankook Ilbo เมื่อ 16 ต.ค. 68 พบว่าสมาชิกแก๊งสแกมเมอร์ ซึ่งในจำนวนนี้มีชาวเกาหลีด้วย กำลังขนจอมอนิเตอร์และสัมภาระออกไปด้านนอก เตรียมย้ายฐานที่ตั้ง See Think Fri, 2025-10-17 - 16:47 ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เพิ่งจะประกาศในสัปดาห์นี้ว่าจะมีการส่งทีมปฏิบัติการเข้าไปที่กัมพูชา และสั่งห้ามพลเมืองเดินทางไปที่บางพื้นที่ของกัมพูชา แสดงให้เห็นว่าทางการเกาหลีใต้เริ่มเอาจริงเอาจังมากขึ้นในเรื่องปัญหาสแกมเมอร์ อะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ทางการเกาหลีใต้เริ่มยกระดับการปฏิบัติการ และแก๊งอาชญากรรมในกัมพูชาใช้วิธีการไหนในการล่อลวงชาวเกาหลีใต้ไปเป็นเหยื่อได้เป็นจำนวนมาก กรณีการเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีในกัมพูชากลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสนใจต่อกรณีการล่อลวงและลักพาตัวชาวเกาหลีใต้ไปคุมขังเพื่อบังคับใช้แรงงานสแกมเมอร์ ซึ่งมีการทารุณกรรมและการสังหารเกิดขึ้น ในแหล่งอาชญากรรมเหล่านั้น กรณีที่เกิดขึ้นกับนักศึกษารายดังกล่าวนี้ เป็นการพบศพเมื่อที่จังหวัดกำปต ประเทศกัมพูชา มีการสันนิษฐานว่าเขาน่าจะถูกสังหารโดยแก๊งอาชญากรรมจีนที่เข้าไปตั้งศูนย์สแกมเมอร์ที่นั่น หลังจากที่แก็งค้ามนุษย์เหล่านี้ทำการล่อลวงเขาด้วยโฆษณาจ้างงานที่อ้างว่าเป็น "งานรายได้สูงในต่างประเทศ" แต่กลับลักพาตัวเขาเพื่อค้ามนุษย์และส่งไปบังคับใช้แรงงานที่แหล่งสแกมเมอร์ เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ทางการเกาหลีใต้แถลงเกี่ยวกับการพยายามแก้ปัญหา โดยผลักดันให้ตำรวจเอาจริงเอาจังมากขึ้น เนื่องจากพบว่าแก๊งมิจฉาชีพในกัมพูชาล่อลวงชาวเกาหลีใต้เพิ่มมากขึ้น โดยมีทั้งกรณีการลักพาตัว, กักขังหน่วยเหนี่ยวอย่างผิดกฎหมาย และกรณีการถูกสังหาร ประธานาธิบดี อีแจมย็อง ประกาศเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมาให้มีการสั่งห้ามการเดินทางไปยังบางพื้นที่ของกัมพูชา เพราะกลัวเรื่องที่ชาวเกาหลีใต้จะถูกล่อลวงไปทำงานที่ศูนย์สแกมเมอร์ เช่น พื้นที่ภูเขาโบโก จังหวัดกำปต, เมืองบาเวต และเมืองปอยเปต โดยจะมีบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเดินทางไปยังสถานที่เหล่านี้ นอกจากนี้เกาหลีใต้ยังได้ส่งทีมปฏิบัติการฉุกเฉินที่ประกอบด้วยตำรวจและหน่วยสืบราชการลับของเกาหลีใต้เข้าไปที่กัมพูชาด้วย อีกทั้งยังมีแผนการเพิ่มความร่วมมือทางการทูตกับกัมพูชาเพื่อหารือเกี่ยวกับการส่งตัวชาวเกาหลีใต้กลับประเทศและให้ตำรวจทำการสืบสวนร่วมกับทางการกัมพูชาเกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีในกัมพูชา หน่วยงานตำรวจแห่งชาติเกาหลีใต้เคยแถลงไว้ก่อนหน้านี้ว่า พวกเขาวางแผนจะประสานงานกับทางการกัมพูชาในการจัดตั้งหน่วยตำรวจ "แผนกเกาหลี" เพิ่มเข้าไปในตำรวจท้องที่ของกัมพูชาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวสัญชาติเกาหลีใต้ ทางการเกาหลีใต้ระบุว่ากลุ่มแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติที่ก่อเหตุล่อลวงเช่นนี้ เดิมทีเคยเน้นตั้งศูนย์ก่อเหตุอยู่ตามชายแดน "สามเหลี่ยมทองคำ" ระหว่างสามประเทศคือ ไทย, พม่า, ลาว แต่ในตอนนี้ไปย้ายฐานไปอยู่ที่กัมพูชา โดยมีการตั้งแก๊งหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงด้วยเสียงปลอม (voice phishing) การสแกมด้วยการหลอกให้รัก การล่อลวงลงทุนคริปโต และการพนันผิดกฎหมาย องค์กรแอมเนสตีนำเสนอรายงานว่าทั่วประเทศกัมพูชามีแหล่งปฏิบัติการสแกมเมอร์ หรือศูนย์หลอกลวงต้มตุ๋นออนไลน์อยู่มากกว่า 50 แห่ง โดยที่ในปี 2568 มีชาวเกาหลีใต้ถูกลักพาตัวไปกักขังที่ศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชารวมแล้ว 252 ราย ข้อมูลของ พักชานแด ส.ส.พรรคประชาธิปไตยเกาหลี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเกาหลีใต้ ระบุว่ากรณีที่ชาวเกาหลีใต้ถูกล่อลวงผ่านโฆษณาจ้างงานนั้นมีเพิ่มขึ้นจากแต่ 1 รายในปี 2565 กลายเป็น 220 รายในปี 2567 และในปีนี้ ก็มีรายงานกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว 330 กรณี จากข้อมูลที่รวบรวมมาจนถึงเดือนสิงหาคม แก๊งอาชญากรหันมาล่อลวงด้วยข้ออ้าง "จ้างงานรายได้ดี" เพิ่มมากขึ้น มีการตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มแก๊งอาชญากรได้ใช้วิธีการล่อลวงเหยื่อด้วยการอ้างว่ามีงานรายได้ดีให้ทำ โดยได้ไปโพสต์ในพื้นที่จัดหางานต่างๆ ของโลกออนไลน์ ซึ่งมักจะมีการใช้คำโฆษณาจำพวกนี้ปรากฏขึ้นบ่อยๆ เช่นว่า "ทำรายได้หลายล้านวอนต่อเดือน" หรือ "โอกาสทำงานในต่างประเทศ" โดยอ้างว่าพวกเขาจะได้เดินทางไปทำงานที่ จีน, เวียดนาม, ไทย หรือกัมพูชา ข้อความโฆษณาเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏแค่ในเว็บไซต์ภาษาเกาหลีในสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น แต่ยังปรากฏในกระดานหางานสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยด้วย โดยอ้างว่าเป็นการจ้างงานเต็มเวลาของบริษัทต่างชาติในสาขาย่อยที่ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบงานส่วนใหญ่ที่โพสต์มักจะระบุว่าเป็นงานแบบ "การตลาดผ่านทางโทรศัพท์" หรือที่เรียกว่า "เทเลมาร์เก็ตติง" นอกจากนี้ยังระบุว่าพนักงานจะได้รับที่อาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกที่หรูหรา มีอาหารฟรี และมีค่าตั๋วเครื่องบินให้ ระบุว่าจะมีเงินเดือนให้ระหว่าง 10-20 ล้านวอน (ราว 229,000-458,000 บาท) แต่แทนที่โพสต์เหล่านี้จะให้ข้อมูลติดต่อของบริษัท พวกเขากลับให้ไอดีของเทเลแกรมทิ้งไว้ โดยสัญญาว่าจะติดต่อสื่อสารกับผู้หางานแบบตัวต่อตัวโดยไม่ได้ระบุตัวตนของผู้จ้างวานให้เห็น มีตัวอย่างโฆษณาหางานชิ้นหนึ่งที่โพสต์ในเว็บไซต์หางานของมหาวิทยาลัยระบุว่า "ถ้าหากคุณกำลังเข้าตาจน พยายามหาเงินเลี้ยงชีพในเกาหลี หรือแค่โลภอยากได้เงิน พวกเราก็ต้อนรับคุณ จะมาเป็นคู่รัก หรือเป็นเพื่อนกันก็ยังได้ ยังไงก็ขอให้มาที่นี่ แล้วพร้อมที่จะทำเงิน พวกเราทุกคนต่างก็เคยล้มเหลวมาก่อน แล้วจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ" มีอยู่อีกโพสต์หนึ่งที่พยายามทำให้ผู้สมัครไว้วางใจด้วยการระบุว่า "ไม่มีการทำร้ายหรือกักขังหน่วงเหนี่ยวแน่นอน" สื่อจุงอังอิลโบ ของเกาหลีเคยส่งข้อความทางเทเลแกรมไปให้กับผู้รับสมัครงาน พวกเขาได้รับการตอบกลับมาว่า งานจะอยู่ที่สิหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา เพราะเมื่อถามถึงเงินเดือน ผู้จ้างก็บอกว่าจะได้เบื้องต้นราว 65,000 บาทต่อเดือน และมีโอกาสจะทำยอดได้เพิ่มขึ้นเป็น 200,000 กว่าบาทต่อเดือนได้ อีกทั้งยังบอกว่าจะจัดหาที่พัก เป็นห้องในหอพักสำหรับสองคนให้ด้วย มีอยู่รายหนึ่งที่ยอมรับตรงๆ เลยว่าเป็นงานสแกมแต่ก็บอกว่าไม่มีการทำร้ายร่างกายหรือลักพาตัว ผู้จ้างวานรายนี้บอกว่าพวกเขามีบริษัทตั้งอยู่ที่จังหวัดพระสีหนุ แล้วก็ยอมรับตรงๆ เลยว่าเป็นงานหลอกลวงต้มตุ๋น และเมื่อถามต่อไปว่าเป็นงานแบบหลอกลวงด้วยเสียงปลอมใช่หรือไม่ พวกเขาก็ตอบว่าเป็นงานแนว "หลอกให้ลงทุนมากกว่า" นอกจากนี้ยังอ้างว่าพวกเขา "ตั้งบริษัทมา 4-5 ปีแล้ว" และอ้างว่า "ถ้ามีปัญหาอย่างการลักพาตัวหรือทำร้ายร่างกายจริง พวกเราก็ถูกปิดไปแล้ว พวกเราพยายามรักษาบรรยากาศที่ดีไว้" สื่อเกาหลีตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มผู้จ้างงานสแกมเมอร์น่าจะรับรู้ว่าพวกเขาตกเป็นที่จับตามองของสื่อมากขึ้น พวกเขาจึงยอมรับในทำนองว่าเป็นงานสแกมแต่ก็ปฏิเสธข้อหาเรื่องการทำร้ายหรือลักพาตัว อ้างว่าเป็น "สิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทธุรกิจมืด" และบอกว่า "มันไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราเลย" มีอีกรายหนึ่งที่ยอมรับว่าพวกเขา "ทำงานหลอกลวงด้วยเสียงปลอม" แล้วก็ถามผู้สมัครว่า "คุณโอเคไหม" มีการชี้แจงรายละเอียดเลยว่างานของพวกเขาคือการทำหน้าที่ "สวมรอยเลียนแบบอัยการ" เป็นงานที่ไม่ต้องอาศัยประสบการณ์ เพียงแค่อยากทำเงินแล้วก็จะได้เงินตามงานที่ทำสำเร็จโดยจะได้รับส่วนแบ่งร้้อยละ 6 จากจำนวนเงินที่หลอกจากเหยื่อมาได้ ผู้จ้างรายเดียวกันนี้อ้างด้วยว่า เหตุการณ์เลวร้ายในหน้าข่าวที่เกิดขึ้นที่ศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชานั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแต่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล พวกเขาตั้งอยู่ในเมืองจึงเชื่อได้ว่า "มีความปลอดภัยมากกว่า" อีกทั้งยังอ้างว่าผู้สมัครงานสามารถ "เดินทางไปกลับเกาหลีได้อย่างอิสระ" เรื่องที่เกี่ยวข้อง * ปี 2568 ชาวเกาหลีใต้ถูกหลอก ไปเป็น 'สแกมเมอร์' ในกัมพูชาอย่างน้อย 252 ราย กรณีที่ทำให้ทางการเกาหลีใต้ตื่นตัว แต่กัมพูชาได้ให้ความร่วมมือด้วยหรือไม่ นอกจากกรณีการเสียชีวิตของนักศึกษาที่กำปตเมื่อเดือน สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่กลายเป็นข่าวดังแล้ว เรื่องราวที่มีเหยื่อเป็นชาวเกาหลีใต้ถูกล่อล่วงไปทำงานก็ยังคงปรากฏในหน้าสื่ออยู่อีกหลายกรณี ในกรณีล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม เมื่อตำรวจเกาหลีใต้ระบุว่าจะตามหาชายชาวเกาหลีใต้อายุราว 30 ปีที่หายตัวไปหลังเดินทางไปกัมพูชา โดยที่ก่อนหน้านี้ชายผู้นี้ได้ติดต่อกลับหาครอบครัวผ่านทางเทเลแกรมอ้างว่าจะได้รับการปล่อยตัวถ้าหากส่งเงินให้เขา 20 ล้านวอน (ราว 458,000 บาท) นอกจากนี้ยังมีเหยื่อรายอื่นๆ ที่ได้รับรายงานการหายตัวไปในช่วงใกล้เคียงกัน ซึ่งทางการเกาหลีใต้เชื่อว่าผู้คนเหล่านี้ต่างก็ถูกหลอกจากโฆษณาจ้างงาน แต่พอไปถึงกัมพูชาแล้วกลับถูกริบหนังสือเดินทาง โทรศัพท์ และสิ่งของมีค่าอื่นๆ ก่อนที่จะคุมขังพวกเขาแล้วบีบให้พวกเขาทำงานสแกมเมอร์ มีกรณีที่เป็นที่รู้จักอีกรายหนึ่งคือนักศึกษาเกาหลีใต้ที่ชื่อสมมติว่า "เอ" ถูกล่อลวงด้วยข้ออ้างการจ้างงาน ต่อมาก็พบว่าเสียชีวิตที่สถานประกอบอาชญากรรมที่เรียกชื่อว่า "Wench" เหยื่ออีกรายหนึ่งได้รับการช่วยเหลือออกมาจากสถานกักกันในกัมพูชาเปิดเผยว่า เอ "ถูกทุบตีทำร้ายอย่างหนักจนเขาไม่สามารถเดินหรือหายใจได้ แล้วก็เสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล" ช่วงต้นเดือนตุลาคม ที่ผ่านมาก็มีการช่วยเหลือเหยื่อจากศูนย์อาชญากรรมสแกมเมอร์ได้อีก 2 ราย ชื่อสมมติว่า "ซี" และ "ดี" พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากโรงแรมที่จังหวัดพระสีหนุหลังจากที่ถูกคุมขังโดยแก๊งอาชญากรรมที่อยู่ในกัมพูชา ผู้ที่ถูกล่อลวงเหล่านี้ถูกบังคับใช้แรงงานสแกมเมอร์ด้วยเสียงปลอมแต่ถ้าพวกเขาปฏิเสธก็จะถูกทุบตีด้วยท่อนเหล็กและถูกทารุณกรรมด้วยเครื่องช๊อตไฟฟ้า ทุกครั้งที่พวกเขาหมดสติก็จะสาดน้ำใส่ให้ตื่น ถึงแม้ว่าจะมีเหยื่อรายหนึ่งที่สามารถส่งข้อความขอความช่วยเหลือผ่านทางเทเลแกรมได้ แต่แก๊งที่จับเขามาพบเห็นข้อความของเขาเสียก่อนจึงหลบหนีตำรวจไปได้ แก๊งอาชญากรขู่เหยื่อว่าจะ "เผาทั้งเป็น" ก่อนที่ตำรวจกัมพูชาจะทำการบุกทลายโรงแรมที่เป็นศูนย์สแกมเมอร์ เหยื่อเหล่านี้ถูกจับมาบังคับใช้แรงงานเป็นสแกมเมอร์มาเป็นเวลา 160 วันก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลิอ กรณีอาชญากรรมต่อชาวเกาหลีใต้ที่เกิดถี่ขึ้นในกัมพูชา ตอกย้ำให้ทางการเกาหลีใต้เอาจริงเอาจังมากขึ้นกับปัญหานี้ และถึงแม้ว่าจะพยายามประสานความร่วมมือกับทางการกัมพูชาแต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือมากเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับการประสานความร่วมมือกับชาติอื่นๆ ที่เคยทำมา เช่นกรณีที่ทางการเกาหลีใต้ขอหลักฐานการชันสูตรศพนักศึกษาที่เสียชีวิตในกำปต และขอเข้าถึงรายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี แต่ทางการกัมพูชาก็อ้างว่าการขอข้อมูลเหล่านี้ต้องเป็นไปตามกระบวนการการช่วยเหลือทางกฎหมายร่วมกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่กินเวลามาก ต้องผ่านการอนุญาตจากทั้งกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงต่างประเทศจากทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ทางการกัมพูชาก็ทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีกโดยการเรียกร้องว่า ถ้าเกาหลีใต้อยากให้ช่วยเรื่องการส่งตัวผู้ต้องสงสัยก่ออาชญากรรมต่อชาวเกาหลีให้กับทางการเกาหลีใต้ พวกเขาก็ต้องส่งตัวชาวกัมพูชาฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในเกาหลีใต้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ยูแจซอง รักษาการ ผบ.ตร. เกาหลีใต้กล่าวว่า "ความร่วมมือทางตำรวจกับกัมพูชานั้นมีประสิทธิภาพน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ... พวกเราต้องยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป" อย่างไรก็ตามมีการเปรียบเทียบกับกรณีของญี่ปุ่นที่สามารถร่วมมือกับกัมพูชาในการช่วยเหลือประชาชนของตัวเองที่ถูกหลอกไปทำงานสแกมเมอร์ออกจากประเทศกัมพูชาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้เชี่ยวชาญที่เรียกร้องให้เกาหลีใต้ขยายช่องทางปฏิสัมพันธ์กับกัมพูชาในทางการทูตมากขึ้นและส่งตัวหน่วยสืบสวนของตัวเองเข้าไปในกัมพูชา แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญอีกรายหนึ่งบอกว่าวิธีการทางการทูตอย่างเดียวยังไม่พอ เกาหลีใต้ควรจะส่งเจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายของตัวเองเข้าไปที่กัมพูชาด้วย จุงแจฮวาน ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยอินฮา เกาหลีใต้ กล่าวว่า "ถ้าหากตำรวจกัมพูชามีศักยภาพมากพอที่จะทลายเครือข่ายแก๊งอาชญากรรมได้จริง วิธีการทางการทูตอย่างเดียวก็อาจจะเพียงพอ ... แต่ภายใต้สภาพการณ์แบบนี้ เกาหลีจะต้องมีความแข็งขันในการที่จะส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของตัวเองเข้าไป" สื่อเกาหลีพบแหล่งสแกมเมอร์สลายตัว โยกย้าย หลบหนีจ้าละหวั่นในกัมพูชา ขณะเดียวกันในรายงานล่าสุดวันนี้ (17 ต.ค.) ของ Korea Times รายงานว่าผู้สื่อข่าวของฮันกุกอิลโบ รายงานเมื่อ 16 ต.ค. ว่า ศูนย์สแกมเมอร์ขนาดใหญ่หลายแห่งในกัมพูชาเริ่มถูกทิ้งร้าง หลังจากทางการสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรประกาศยึดทรัพย์และคว่ำบาตรบริษัท Prince Group ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงและค้ามนุษย์ข้ามชาติ ภายในคอมเพล็กซ์ไท่จื่อ จังหวัดตาแก้ว ประเทศกัมพูชา ซึ่งถูกร้องเรียนว่าเป็นแหล่งสแกมเมอร์ โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (16 ต.ค.) พบว่าภายในห้องพักถูกทิ้งร้าง และร่องรอยของการหลบหนีอย่างเร่งรีบ ที่มา: The Korea Times/Hankook Ilbo ในรายงานของ YouTube/Hankook Ilbo เมื่อ 16 ต.ค. 68 พบว่าที่จังหวัดพระสีหนุ สมาชิกแก๊งสแกมเมอร์ ซึ่งในจำนวนนี้มีชาวเกาหลีด้วย กำลังขนจอมอนิเตอร์และสัมภาระออกไปด้านนอก เตรียมย้ายฐานที่ตั้ง โดยผู้สื่อข่าวฮันกุกอิลโบ ระบุว่ากลุ่มอาคารไท่จื่อในจังหวัดตาแก้ว ที่ประกอบด้วยกลุ่มอาหารสูง 4 ชั้น 11 อาคาร รองรับแรงงานได้ถึง 5,000 คน ซึ่งเคยถูกร้องเรียนว่าเป็นแหล่งสแกมเมอร์ แต่เมื่อคณะเจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าวเข้าไปตรวจสอบ กลับพบเพียงห้องว่าง เตียงสองชั้น และข้าวของที่ถูกทิ้งไว้ในความรีบร้อน ชาวเกาหลีใต้ที่ติดตามลงพื้นที่ด้วยระบุกับสื่อว่า “คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหนีได้รวดเร็วขนาดนั้น หากไม่มีคนในตำรวจท้องถิ่นช่วยแจ้งข่าว”” ไม่เพียงเท่านั้น ศูนย์หลอกลวงอีกสองแห่งใกล้กรุงพนมเปญคือ “วองกู” และ “แมงโก้” ที่เคยใช้เป็นฐานสแกมเมอร์แบบ คลิปเสียงลวง และการทรมานเหยื่อ ก็ถูกปิดเงียบ ขึ้นป้าย “ให้เช่า” แขวนอยู่หน้าทางเข้า ขณะที่ ที่จังหวัดพระสีหนุก็มีรายงานการขนย้ายอุปกรณ์และแรงงานจำนวนมากออกจากพื้นที่ คาดว่าเป็นการเคลื่อนย้ายศูนย์ไปยังจุดใหม่ นักเคลื่อนไหวชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชาชี้ว่า นี่ไม่ใช่สัญญาณของการสิ้นสุด แต่คือ “การย้ายฐาน” ของเครือข่ายอาชญากรรมไปยังพื้นที่ชายแดน เช่น ปอยเปต หรือประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ไทย และเวียดนาม พร้อมเตือนว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เหยื่อชาวเกาหลีที่ยังถูกคุมขังจะถูกย้ายตามไปด้วย “ยิ่งเวลาผ่านไป แก๊งเหล่านี้ยิ่งซ่อนตัวลึกขึ้น และการช่วยเหลือก็ยิ่งยากขึ้น” อ๊ก แฮซิล รองประธานสมาคมชาวเกาหลีในกัมพูชา ซึ่งทำงานช่วยเหลือเหยื่อมากว่าสามปี ระบุว่า “นี่คือชั่วโมงทองของสัปดาห์สุดท้ายที่รัฐบาลเกาหลีใต้ยังมีโอกาสใช้กำลังตำรวจและกลไกรัฐในการช่วยเหลือผู้ถูกกักขัง ก่อนทุกอย่างจะจมหายไปในเงามืด” ล่าสุด หน่วยเฉพาะกิจร่วมเกาหลี–กัมพูชา ประกาศจัดตั้งหน่วยงานฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือเหยื่อชาวเกาหลีและเตรียมส่งตัวผู้ต้องสงสัยชาวเกาหลีกลับประเทศโดยเร็ว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังในพื้นที่ ค่ายสแกมเหล่านี้อาจเพียงเปลี่ยนชื่อและย้ายที่ ตั้งต้นขบวนการใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านภายในเวลาไม่นาน ขณะเดียวกันสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลีใต้ระบุว่ามีชาวเกาหลีใต้ 2 คน เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนในช่วงเช้า “บุคคลสองรายที่อยู่ในกระบวนการส่งกลับจากกัมพูชาได้เดินทางถึงสนามบินอินชอนแล้วในเช้าวันนี้”  เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งกล่าว พร้อมเสริมว่ากำลังอยู่ระหว่างการหารือกับทางการกัมพูชาเพื่อเร่งรัดการส่งตัวผู้ที่เหลือกลับประเทศโดยเร็วที่สุด เมื่อเดินทางถึงเกาหลีใต้ ทั้งสองถูกส่งตัวให้กับสถานีตำรวจท้องที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อสอบสวนเพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่ในกลุ่มผู้ถูกส่งกลับได้ถูกตั้งข้อหาแล้ว และจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มีกำหนดกลับมาในลำดับต่อไป ตำรวจเกาหลีใต้ระบุว่ามีชาวเกาหลีใต้ถูกควบคุมตัวในกัมพูชา 63 ราย และจะดำเนินการส่งตัวชาวเกาหลีใต้ในรายที่มีหมายจับสากล (Interpol Red Notice) กลับมาก่อน ซึ่งหลังจากมีการส่งกลับล่าสุดนี้ จำนวนผู้ที่ยังอยู่ในความควบคุมของทางการกัมพูชาจึงลดเหลือ 61 คน เจ้าหน้าที่คาดว่ากระบวนการส่งตัวทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในเวลาประมาณหนึ่งเดือน มีรายงานด้วยว่า เกาหลีใต้กำลังพิจารณาใช้เที่ยวบินเช่าเหมาลำเพื่อเร่งการส่งตัวกลับทั้งหมด โดยคาดว่าอาจเริ่มต้นการส่งกลับครั้งใหญ่ได้เร็วที่สุดภายในสุดสัปดาห์นี้ เรียบเรียงจาก 2 more Koreans repatriated from Cambodia as authorities target scam compounds, The Korea Times, 17-10-2025 https://www.koreatimes.co.kr/southkorea/law-crime/20251017/2-more-koreans-repatriated-from-cambodia-as-authorities-target-scam-compounds As scam sites empty in Cambodia, Korean activist says this week is ‘last golden hour’ for rescues, The Korea Times, 17-10-2025 https://www.koreatimes.co.kr/southkorea/law-crime/20251017/as-scam-sites-empty-in-cambodia-korean-activist-says-this-week-is-last-golden-hour-for-rescues South Korea bars travel to parts of Cambodia amid concerns over scam centres and reported kidnappings, CNA, 15-10-2025 https://www.channelnewsasia.com/asia/south-korea-cambodia-scam-centre-kidnappings-crime-5403341 False job ads from Southeast Asia continue to surface amid crimes against Korean nationals in Cambodia, Korean JoongAng Daily, 13-10-2025 https://koreajoongangdaily.joins.com/news/2025-10-13/national/socialAffairs/False-job-ads-from-Southeast-Asia-continue-to-surface-amid-crimes-against-Korean-nationals-in-Cambodia-/2418733 Korea finds efforts to work with Cambodia police tough going, Korea Herald, 13-10-2025 https://www.koreaherald.com/article/10592321 Cambodia fast becoming hotbed of crime targeting Koreans, Korea Times, 13-10-2025 https://www.koreatimes.co.kr/southkorea/law-crime/20251013/cambodia-fast-becoming-hotbed-of-crime-targeting-koreans * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * ไอซีที * กัมพูชา * เกาหลีใต้ * อาชญากรรม * สแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซนเตอร์ * การหลอกลวง * แก๊งอาชญากรรม * อีแจมย็อง * การบังคับใช้แรงงาน * การค้ามนุษย์ * การล่อลวงจ้างงาน
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
My statement on Middle East peace
Reposted by BenchaMFP
ชวนทำความเข้าใจกรณีสังหาร 'ชาร์ลี เคิร์ก' อำนาจวาทกรรมฝ่ายขวา ความเห็นใจแบบเลือกปฏิบัติ และเสรีภาพที่ไม่เท่าเทียมกัน
ชวนทำความเข้าใจกรณีสังหาร 'ชาร์ลี เคิร์ก' อำนาจวาทกรรมฝ่ายขวา ความเห็นใจแบบเลือกปฏิบัติ และเสรีภาพที่ไม่เท่าเทียมกัน auser15 Sat, 2025-09-20 - 14:12 เหตุสังหาร ชาร์ลี เคิร์ก ผู้พูดฝ่ายขวาจัดเจ้าขององค์กร เทิร์นนิงพอยต์ ยูเอสเอ นำมาซึ่งข้อโต้แย้งหลายประการในสังคมและการเมืองสหรัฐฯ แต่การจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าเคิร์กไม่ใช่แค่เหยื่อที่บริสุทธิ์ แต่ตัวเขาเองก็เคยเป็นผู้ยุยงความรุนแรงและสนับสนุนอาวุธปืนด้วย นอกจากนี้ยังมีความน่ากังขาของฝ่ายขวาอเมริกันที่นำความตายของเขามาเป็นเครื่องมือในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามและแม้กระทั่งอ้างลิดรอนเสรีภาพสื่อ ชาร์ลี เคิร์ก (Charlie Kirk) นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัดชาวอเมริกัน | ภาพจาก : Gage Skidmore (CC BY-SA 4.0) ในวันที่ 10 กันยายน 2568 นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัด ชาร์ลี เคิร์ก ถูกสังหารโดยถูกยิงจากระยะไกลขณะที่เขากำลังพูดอยู่ที่อีเวนต์ของ TPUSA มหาวิทยาลัยยูทาห์วัลเลย์ การเสียชีวิตของเขานำมาซึ่งข้อถกเถียงมากมาย และแม้กระทั่งตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นผู้ที่สร้างข้อถกเถียงมากมายเช่นกัน ทันทีที่สิ้นเสียงปืนสังหารเคิร์ก กลุ่มฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยมก็พร้อมชี้นิ้วโยนความผิดทุกอย่างให้กับฝ่ายซ้าย หรือแม้กระทั่งกล่าวหากลุ่มคนชายขอบที่เคิร์กมักจะกล่าวโจมตีด้วยวาทะสร้างความเกลียดชัง เช่นกล่าวหาคนข้ามเพศอย่างผิดๆ ที่สื่อบางแห่งก็เล่นตามแล้วบางส่วนก็มากลับลำทีหลัง [1] แต่เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากจับผู้ต้องสงสัยอย่าง ไทเลอร์ โรบินสัน ได้ สื่อก็เริ่มเล็งเห็นว่าการระบุถึงอุดมการณ์ของผู้ต้องสงสัยที่สังหารเคิร์กนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด [2] แต่ไม่ว่าผู้ต้องสงสัยนี้จะมีแรงจูงใจใดๆ หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตคือการพยายามอ้างใช้ความตายของเคิร์กมาเป็นเครื่องมือในการเล่นงานการเมืองฝ่ายตรงข้ามหรือแม้กระทั่งกลุ่มคนชายขอบ เช่น ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างใช้เหตุการณ์นี้กล่าวโจมตี "พวกซ้ายสุดโต่ง" หลังเกิดเหตุไม่นาน [2] ทั้งที่ในตอนนั้นยังไม่สามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้ หรือเรื่องที่สื่อบางแห่งรายงานแบบกล่าวหาคนชายขอบอย่างที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ [1] ต้องไม่ลืมว่า ชาร์ลี เคิร์ก "ไม่ใช่ฮีโร่" เราเคารพต่อชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องเชิดชู เวลาที่คนไทยพูดถึงประเด็นของชาร์ลี เคิร์ก ก็มักจะขาดความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องการเมืองของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ที่มีการเมืองเรื่องอัตลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก จึงมองแค่ว่า "ไม่มีใครควรตายเพราะความเชื่อทางการเมือง" ซึ่งในทางหลักการแล้วก็เป็นคำพูดที่ถูกต้อง แต่การละเลยบริบทก็กลายเป็นการทำให้เคิร์กเป็นแค่เหยื่อที่น่าสงสาร หรือแม้กระทั่งเป็น "ฮีโร่" ของ "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" ทั้งๆ ที่เคิร์กก็เป็นผู้ใช้วาจาปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง ซึ่งเป็นต้นเหตุของความรุนแรงเช่นเดียวกัน ชาร์ลี เคิร์ก เป็นฝ่ายขวาจัดผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรอนุรักษ์นิยมในสหรัฐฯ ชื่อ "เทิร์นนิง พอยต์ ยูเอสเอ" (TPUSA) เมื่อปี 2555 และตัวเขาเองก็เป็นผู้อำนวยการบริหารขององค์กรนี้ เขามักจะวางตัวว่าเป็น "นักดีเบต" ของฝ่ายขวา และ พยายามผลักดันขบวนการ MAGA ของพรรครีพับลิกัน รวมถึงสนับสนุนแนวทางอนุรักษ์นิยมของ โดนัลด์ ทรัมป์ หลายด้าน เช่น ต่อต้านการทำแท้ง, ต่อต้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ, วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายสิทธิพลเมือง, เหยียดเชื้อชาติสีผิว ต่อต้านผู้อพยพ และวิจารณ์นักสู้ด้านสิทธิพลเมืองอย่าง มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์, รวมถึงส่งเสริมความเข้าใจผิดเรื่อง COVID-19 เคิร์กยังเคยเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งนักศึกษาขึ้นรถบัสไปที่การประท้วง 6 มกราคม 2564 ที่ประท้วงต่อต้านชัยชนะในการเลือกตั้งของ โจ ไบเดน จนมีการก่อเหตุโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ กลายเป็นเหตุจลาจลและมีความรุนแรงตามมา เจมี สตีม นักข่าวและนักพูดที่มีผลงานลงในสื่อหลายแห่งของสหรัฐฯ เตือนไว้ว่า เราต้องระวังไม่ทำให้คนแบบเคิร์กกลายเป็น "ฮีโร่" [4] โดยเปรียบเทียบกับเหตุการณ์หนึ่งของ 911 ที่กลุ่มชาวอเมริกันบนเครื่องบิน ยูไนเต็ดไฟล์ท 93 ช่วยกันบุกเข้าไปในห้องนักบินที่ถูกยึดโดยผู้ก่อการร้ายแล้วเบนเครื่องบินที่กำลังตกไม่ให้พุ่งชนอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ แต่ไปตกในทุ่งร้างของเพนซิลเวเนียแทน สตีมระบุว่า ผู้กล้าบนยูไนเต็ตไฟล์ท 93 ต่างหากที่ควรได้รับการยกย่องให้เป็น "ฮีโร่" ของชาวอเมริกัน และในวันที่ 11 กันยายน ควรจะเป็นวันที่รำลึกถึงผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 รายในเหตุการณ์ 911 แต่กลับกลายเป็นว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมหันเหความสนใจมาที่การเสียชีวิตของชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะด่าทอผู้หญิงผิวดำและใช้วาทะในแบบที่ไม่น่าจะออกสื่อได้ แล้วก็มีการพยายามยกให้เขาเสมือนเป็น "ผู้พลีชีพ" นำความตายของเขามาใช้เป็นเครื่องมือโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง วาทะของเคิร์ก ที่ส่งเสริมความรุนแรง เคิร์ก เป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัดที่พูดในสิ่งที่ทำให้เกิดข้อโต้แย้งในหลายประเด็น แต่ในหลายเรื่องก็ถึงขั้นเป็นการปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงต่อกลุ่มอัตลักษณ์ เช่น ความรุนแรงต่อชาวยิว หรือแม้กระทั่งละเลยปัญหาความรุนแรงอย่างเช่นการสนับสนุนอาวุธปืนโดยอ้างว่ามันก็อาจจะมีผู้เสียชีวิตกันบ้าง ไปจนถึงเรื่องที่อาจจะส่งผลต่อนโยบายความอยู่รอดในอนาคตของมนุษยชาติ เช่นการปฏิเสธวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน อย่างแรกเลยคือ เคิร์ก เป็นคนที่พยายามจะดึงดูดกลุ่มชาวคริสต์อนุรักษ์นิยมที่กำลังกลัวเรื่องที่สหรัฐฯ เริ่มมีการยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ทำให้เขาวิพากษ์วิจารณ์สิทธิความหลากหลายทางเพศ แล้วก็วิจารณ์หลักการเรื่องการแยกรัฐกับศาสนาออกจากกันด้วย [3] เคิร์กยังส่งเสริมให้นักศึกษาและพ่อแม่รายงานต่อศาสตราจารย์เมื่อพบเห็นว่ามีใครที่ยอมรับสิทธิความหลากหลายทางเพศ เขาถึงขั้นก่อตั้ง TPUSA Faith เพื่อรวบรวมกลุ่มศาสนามาร่วมกันต่อต้านสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น "ความ woke" ซึ่งก็คือการยอมรับความแตกต่างหลากหลายในสังคม   ประเด็นต่อมาคือเรื่องอาวุธปืน เคิร์ก เป็นคนที่สนับสนุนเรื่องอาวุธปืนอย่างมาก โดยที่เขาเคยพูดไว้ในอีเวนต์ TPUSA Faith ปี 2566 ว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตเพราะอาวุธปืนในสังคมที่มีคนใช้อาวุธปืน โดยที่เคิร์กมองว่าการที่มีคนตายเพราะอาวุธปืนบ้างนั้นมันเป็นราคาที่ต้องจ่ายให้กับสิทธิที่จะมีอาวุธปืนตามบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 2 ว่าด้วย สิทธิในการครอบครองอาวุธปิน นอกจากนี้ เคิร์กยังเป็นคนที่มีมุมมองเหยียดเชื้อชาติสีผิว เหยียดชาวยิว และต่อต้านสิทธิพลเมืองด้วย เขาเคยวิจารณ์กฎหมายสิทธิพลเมืองอเมริกัน 1964 ว่าเป็นพลังทำลายล้าง มีการด่าว่า มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ นักสิทธิพลเมืองที่มีชื่อเสียงมาก เป็นคนที่ "แย่" เพราะทำให้สังคมเมริกันยึดติดกับเชื้อชาติสีผิว อีกทั้งยังใช้วาทะแบบเหยียดผิวในการต่อต้านโครงการความหลากหลาย DEI แล้วก็ยังเคยใช้คำว่า "สวะ" เรียก จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่ถูกตำรวจสังหารจนเกิดเป็นขบวนการเคลื่อนไหวด้านความเป็นธรรมทางเชื้อชาติสีผิวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฟลอยด์ เคิร์กยังถูกวิจารณ์แม้กระทั่งจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมบางส่วนในเรื่องที่เขาเหยียดชาวยิว และมีแนวคิดแบบทฤษฎีสมคบคิดหลุดโลกว่าชาวยิวพยายามนำผู้อพยพที่ไม่ใช่คนขาวเข้ามาในสหรัฐฯ เพื่อมาแทนที่ชาวอเมริกันผิวขาว วาทะของเคิร์กส่งผลสืบเนื่อง กลายเป็นแรงจูงใจให้มีคนใช้อาวุธปืนไปกราดยิงสุเหร่าชาวยิวที่พิตต์เบิร์กในปี 2561 นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่แนวทางแบบฝ่ายขวาจัดส่งผลให้เกิดความรุนแรงอย่างแท้จริงที่นอกเหนือจากความรุนแรงเชิงโครงสร้าง อีกเรื่องหนึ่งที่ เคิร์ก สร้างข้อโต้แย้งคือกรณีโลกร้อน เขาเป็นคนที่ปฏิเสธว่าวิกฤตภูมิอากาศหรือโลกร้อนนั้นไม่ใช่เรื่องจริงและไม่มีข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้ อีกทั้งยังอ้างว่าวิกฤตภุมิอากาศเป็นเรื่อง "ไร้สาระ" ถึงแม้ว่าจะเคยมีผลโพลออกมาว่าแม้แต่กลุุ่มเยาวชนอนุรักษ์นิยมเองก็มองเรื่องโลกร้อนเป็นประเด็นที่มีความสำคัญก็ตาม [3] สำหรับในเรื่องเกี่ยวกับ "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" นั้นมีจุดที่สลับซับซ้อน และชวนให้ทำความเข้าใจมากกว่าไปกว่าแค่ความคิดที่ว่า "พูดอะไรก็ได้" อ้าง "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" แต่กลับข่มขู่คุกคามนักวิชาการ? ตัวของเคิร์กเองประกาศตนว่าเป็น "ผู้สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อ้างใช้ "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" ในรูปแบบที่ลิดรอนเสรีภาพของคนอื่น ไปจนถึงขั้นคุกคามคนอื่น เช่น การที่เขาขู่ว่าจะฟ้องร้องมหาวิทยาลัยที่ไม่ยอมให้เขาเข้าไปจัดเวที ทั้งๆ ที่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องเป็นผู้จัดหาเวทีพูดให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเสมอไปและพวกเขามีสิทธิปฏิเสธได้ อีกทั้งยังมีผู้วิจารณ์เคิร์กว่าเขาเป็นคน "มือถือสากปากถือศีล" ในเรื่องที่เทศนาเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นแต่กลับให้องค์กรของเขาคือ TPUSA ทำ "บัญชีรายชื่อหมายหัวนักวิชาการ" โดยทำการหมายหัวนักวิชาการต่างๆ ที่นักศึกษามองว่าเป็นฝ่ายซ้าย[3] อีกทั้งยังมีการคุกมคามนักวิชาการเหล่านี้ด้วย หนึ่งในเหยื่อที่ถูกเคิร์กคุกคามคือ สเตซี แพตตัน นักพูดและนักวิชาการสหรัฐฯ ที่ระบุว่าเธอเคยถูกคุกคามโดยเคิร์กและผู้สนับสนุนเคิร์กมาเป็นแรมปี หลังจากที่เธอถูกบรรจุไว้ใน "บัญชีรายชื่อหมายหัวนักวิชาการ" ของ TPUSA เมื่อปี 2567 ซึ่งเธอได้เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์ขบวนการ MAGA ที่สนับสนุนทรัมป์ [5] แพตตัน เล่าว่ามีกลุ่มคนกระหน่ำส่งอีเมลหรือวอยซ์เมลให้เธอซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นชายผิวขาว พวกเขาพ่นคำพรุสวาทต่างๆ นานาผ่านทางโทรศัพท์ด้วยถ้อยคำเหยียดเพศและมีน้ำเสียงในเชิงข่มขู่คุกคาม นอกจากนี้ยังรุมกดดันสำนักอธิการบดีมหาวิทยาลัยให้ไล่เธอออก มีการฟลัดคำร้องมากในระดับที่ทำให้ยามมหาวิทยาลัยต้องคุ้มกันเธอเพราะเกรงว่ากลุ่มนักเลงคีย์บอร์ดจะมาทำร้ายเธอจริงๆ "บัญชีหมายหัวของเคิร์กได้สร้างความหวาดกลัวต่อคณาจารย์จำนวนมากทั่วประเทศ ... ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง, คนผิวดำ, ผู้มีความหลากหลายทางเพศ, ใครก็ตามที่ท้าทายแนวคิดคนขาวเป็นใหญ่ ท้าทายวัฒนธรรมอาวุธปืน หรือท้าทายแนวคิดชาตินิยมคริสเตียน พวกเขาจะตกเป็นเป้าหมายการคุกคามแบบมีการที่ร่วมกันวางแผนก่อเหตุ" แพตตันกล่าว "นั่นคือวัฒนธรรมความรุนแรงที่ ชาร์ลี เคิร์ก สร้างขึ้น เขาทำให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติ เขารักษาวัฒนธรรมความรุนแรงนี้ไว้ ใช้มันหาเงินเข้ากระเป๋า แล้วก็ใช้โจมตีใครก็ตามที่กล้าท้าทายการโกหกจากขบวนการของเขา" แพตตันกล่าว แพตตันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เตือนว่าไม่ควรจะทำให้ภาพลักษณ์ของเคิร์กกลายเป็น "นักดีเบตผู้มีอารยะ" เพราะสิ่งเคิร์กกระทำ เป็นการกระตุ้นความรุนแรงทั้งต่อกลุ่มคนชายขอบและกับผู้ที่เห็นต่างจากเขา และเป็นผู้ผลักดัน "นโยบายที่ทำให้ชีวิตผู้คนสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด" ฝ่ายขวายกย่องผู้คายเรื่อง "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" แต่กลับรังแกคนเห็นต่าง-ปิดกั้นสื่อ? ไม่เพียงแค่แพตตันเท่านั้นที่เผชิญการคุกคาม กลุ่มฝ่ายขวาต่างก็พยายามใช้วิธีการ Doxxing หรือ แฉที่อยู่กับข้อมูลส่วนตัวของ นักวิชาการ, ครูอาจารย์, ข้าราชการ และคนอื่นๆ ที่พูดคุยกันในประเด็นการตายของเคิร์กในแบบที่พวกเขาไม่ชอบใจ จนเป็นเหตุให้มีคนอย่างน้อย 15 ราย ถูกไล่ออกหรือถูกสั่งพักงานเพราะเรื่องนี้ โดยที่หนึ่งในตัวการส่งเสริมการคุกคามคนเห็นต่างกรณีเคิร์กคือ ชายา ไรชิก ผู้ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มล้อเลียนและวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายเสรีนิยมและฝ่ายซ้ายชื่อช่อง "Libs of TikTok" เธอได้เผยแพร่รูปถ่ายและสถานที่ทำงานของคนที่แสดงความคิดเห็นต่อการตายของเคิร์กในแบบที่แสดงความเสียใจไม่มากพอในความคิดเห็นของพวกเขา หนึ่งในคนที่เผชิญการคุกคามแบบถูกแฉที่อยู่คืออาจารย์จากมหาวิทยาลัยรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้ที่เขียนสตอรีในไอจีของตัวเองว่า "ฉันไม่สามารถแสดงความเห็นใจต่อคนๆ นี้ได้จริงๆ ผู้คนอาจจะอ้างว่า 'เขามีครอบครัวนะ มีลูกมีเมียนะ' แต่พวกเขาเคยเห็นใจเด็กคนอื่นๆ กับครอบครัวที่สูญเสียให้กับเหตุการณ์กราดยิงมากกว่า 258 แห่งตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบันบ้างไหม" [6] ไม่ใช่แค่ครูอาจารย์เท่านั้นที่เผชิญการลิดรอนเสรีภาพในการที่จะไม่รู้สึกเสียใจต่อการตายของคนที่ปลุกปั้นความเกลียดชังและสนับสนุนอาวุธปืนอย่างเคิร์ก การลิดรอนเสรีภาพกรณีนี้ลามมาถึงสื่อโทรทัศน์แล้ว จิมมี คิมเมล พิธีกรรายการทอล์กโชว์รอบดึก Jimmy Kimmel Live! ก็ถูกถอดผังรายการจากการออกอากาศในช่อง ABC หลังจากที่เขาพูดถึงกรณีเคิร์ก โดยก่อนหน้าที่เขาจะถูกสั่งถอดผังได้มีการกดดันจากหน่วยงานรัฐบาลกลางภายใต้รัฐบาลทรัมป์ คิมเมลไม่ได้แสดงความไม่เคารพต่อเคิร์กหรือต่อเหตุการณ์สังหารที่เกิดขึ้นเลย สิ่งที่เขาพูดเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์และเสียดสีการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และขบวนการ MAGA ของทรัมป์ ที่ "เอาเป็นเอาตาย" เหลือเกินในการพยายามอ้างใช้การตายของเคิร์กเพื่อมา "สร้างคะแนนทางการเมือง" ให้ตัวเอง โดยที่หลังจากนั้น คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร (FCC) ก็กดดันช่องโทรทัศน์ ABC จนทำให้คิมเมลถูกถอดผังรายการ [7] เรื่องนี้นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนทำงานสื่อรายอื่นๆ เช่น สตีเฟน โคลเบิร์ต พิธีกรรายการ The Late Show ของช่อง CBS ผู้ที่เคยเผชิญเรื่องแบบเดียวกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อนจากการถูกสั่งพักรายการเพราะแรงกดดันจากทรัมป์ เขาพูดเปิดรายการเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ ผ่านมาว่า "พวกเราทุกคนคือ จิมมี คิมเมล" ซึ่งเป็นวลีที่สื่อถึงว่าทุกคนอาจจะมีโอกาสถูกข่มเหงแบบเดียวกับคิมเมลได้ โคลเบิร์ต ยังพูดต่อไปว่าสิ่งที่กระทำต่อคิมเมลนั้นนับเป็น "การเซนเซอร์อย่างเห็นได้ชัด" รวมถึงเตือนว่า "กับจอมเผด็จการเช่นนี้ คุณไม่สามารถขยับเขยื้อนอะไรได้เลย แล้วถ้าหาก ABC คิดว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ระบอบพึงพอใจได้ล่ะก็ พวกเขาก็ไร้เดียงสาอย่างสุดกู่" เซธ เมเยอร์ จากรายการ Late Night with Seth Meyers ของช่อง NBC ถึงขั้นบอกว่าสหรัฐฯ "กำลังตกต่ำลงอย่างรวดเร็วไปสู่ระบอบเผด็จการกดขี่" และบอกว่ารัฐบาลทรัมป์ "กำลังจ้องปราบปรามเสรีภาพสื่อ" [7] "ความเห็นใจแบบเลือกปฏิบัติ" แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องผิดที่จะรู้สึกเห็นใจผู้ประสบความสูญเสียอย่างเคิร์กรวมถึงครอบครัวของเคิร์ก ไม่ว่าเคิร์กจะเป็นคนแบบไหนก็ตาม แต่ก็มีข้อสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ทั้งการคุกคามคนที่เห็นต่างกับเคิร์ก หรือแสดงความคิดเห็นต่อกรณีการเสียชีวิตของเขาแบบที่ทำให้คนบางกลุ่มไม่ชอบใจ รวมถึงการอ้างใช้การเสียชีวิตของเขาเป็นเครื่องมือในการลิดรอนเสรีภาพ ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ยกย่องเคิร์กในเรื่อง "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" ทั้งหมดนี้ มันได้สะท้อนให้เห็นถึง ความลำเอียง การเลือกปฏิบัติ และแม้กระทั่งความย้อนแย้งในตนเอง ทำไมคนที่มีอภิสิทธิมากกว่าถึงสมควรได้รับความเห็นใจมากกว่า? ในขณะที่คนชายขอบถึงไม่เคยได้รับความเห็นใจแบบนี้บ้าง? ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงซึ่งเป็นผลพวงจากการโหมกระพือความเกลียดชังโดยสื่อฝ่ายขวาและพวกนักพูด "นักดีเบต" ฝ่ายขวา คริสโตเฟอร์ โรดส์ อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและอาจารย์ด้านสังคมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบอสตัน ระบุว่า การถกเถียงเรื่องการตายของเคิร์กทำให้เขาเริ่มเข้าใจวลีที่ว่า "ความเห็นใจแบบเลือกปฏิบัติ" มากขึ้น โรดส์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ทรัมป์กล่าวอ้างถึง "ความรุนแรงจากฝ่ายซ้ายสุดโต่ง" หลังจากที่เกิดเหตุเกี่ยวกับเคิร์กนั้น เขาไม่ได้พูดถึงความรุนแรงจากพวกฝ่ายขวา MAGA เลย ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเกิดเหตุฝ่ายขวายิงนักการเมืองพรรดเดโมแครตสองรายจนเสียชีวิตในปีเดียวกันเมื่อหลายเดือนก่อน มีฝ่ายขวาที่วางเพลิงเผาบ้านของผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนียจากพรรคเดโมแครตพร้อมครอบครัวที่อยู่ในบ้าน รวมถึงมีการให้อภัยโทษคนที่โจมตีตำรวจตอนที่ฝ่ายผู้สนับสนุนทรัมป์บุกก่อจลาจลรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่ง โรดส์บอกว่าเป็นความ "สองมาตรฐานอย่างเห็นแก่ตัว" [10] เรียบเรียงจาก [1] On Charlie Kirk and How the Media Helped Perpetuate a Trans Boogeyman [2] Why understanding the Charlie Kirk shooting suspect may be harder than we thought [3] Where Charlie Kirk Stood on Key Political Issues [4] Stiehm: Charlie Kirk is no hero [5] Journalist put on Charlie Kirk’s ‘hit list’ speaks out about vile abuse: ‘He normalised violence' [6] Far-right groups dox online critics after Charlie Kirk’s death [7] How Stephen Colbert and Other Late-Night Hosts Responded to Jimmy Kimmel’s Suspension [8] What Jimmy Kimmel said about Charlie Kirk shooting that got his late-night show axed [9] How Stephen Colbert and Other Late-Night Hosts Responded to Jimmy Kimmel’s Suspension [10] Charlie Kirk and the danger of selective empathy   ข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Charlie_Kirk   * รายงานพิเศษ * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * ชาร์ลี เคิร์ก * ฝ่ายขวา * สหรัฐอเมริกา * ริงโกะ มิโมซา
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ ฝรั่งเศส–โปรตุเกสเตรียมร่วมวง
อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ ฝรั่งเศส–โปรตุเกสเตรียมร่วมวง ภาพ Alisdare Hickson/Wikipedia admin666 Mon, 2025-09-22 - 17:35 อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ซึ่งต่างเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของอิสราเอลมายาวนาน ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (21 ก.ย.) รับรองปาเลสไตน์เป็นรัฐอย่างเป็นทางการ เฉพาะกรณีอังกฤษและแคนาดานับเป็นกลุ่ม G7 ที่รับรองรัฐปาเลสไตน์ นับเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้อิสราเอลยุติการโจมตีฉนวนกาซา ขณะที่สหรัฐฯ อาจเหลือเพียงชาติสมาชิกถาวรเพียงประเทศเดียวในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ไม่รับรองปาเลสไตน์ ยิ่งตอกย้ำว่ากรุงวอชิงตันกำลังยืนอยู่ตรงกันข้ามกับกระแสความเห็นของนานาชาติ แฟ้มภาพผู้ชุมนุม “สามัคคีกับชาวปาเลสไตน์” ที่ถนนดาวน์นิง ใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โดยจัดชุมนุมก่อนการเยือนอังกฤษของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ภาพถ่ายเมื่อ 5 มิถุนายน 2561 ที่มา: Alisdare Hickson/Wikipedia อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ซึ่งต่างเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของอิสราเอลมายาวนาน ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (21 ก.ย.) รับรองปาเลสไตน์เป็นรัฐอย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้อิสราเอลยุติการโจมตีฉนวนกาซา ท่ามกลางเสียงประณามจากนานาชาติ โดยทั้งสามประเทศแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อการที่กระบวนการรับรองเอกราช “สองรัฐ” ไม่คืบหน้า ต่อมาในวันเดียวกัน โปรตุเกสประกาศรับรองปาเลสไตน์เช่นกัน โดยระบุว่าสองรัฐเป็น “หนทางเดียวสู่สันติภาพที่ยั่งยืนและเป็นธรรม” ขณะที่ฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศคาดว่าจะประกาศตามมาในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจทำให้อิสราเอลถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นและสวนทางกับสหรัฐฯ ซึ่งยังคงเป็นพันธมิตรหลัก นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ตอบโต้ทันทีว่า “จะไม่มีรัฐปาเลสไตน์” โดยกล่าวหาว่าการตัดสินใจของประเทศเหล่านี้คือ “รางวัลก้อนโตแก่การก่อการร้าย” และประกาศว่าจะมีมาตรการตอบโต้หลังเดินทางกลับจากสหรัฐฯ ประธานาธิบดีอิสราเอล ไอแซก เฮิร์ซอก เสริมว่า การรับรองดังกล่าว “จะไม่ช่วยชาวปาเลสไตน์สักคน ไม่ช่วยปล่อยตัวตัวประกันสักคน และไม่ช่วยสร้างข้อตกลงสันติภาพใด ๆ” กรณีของประเทศไทย รับรองรัฐปาเลสไตน์เป็นรัฐอธิปไตยมาตั้งแต่ 17 มกราคม 2555 ไทยมีสถานทูตในกรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน มีเขตอาณาครอบคลุมปาเลสไตน์ ส่วนปาเลสไตน์มีสถานทูตในกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่มีเขตอาณาครอบคลุมไทย ขณะนี้มีมากกว่า 140 ประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติที่รับรองปาเลสไตน์แล้ว โดยจำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากความกังวลต่อการโจมตีกาซาของอิสราเอล ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขในกาซาระบุว่าคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปแล้วกว่า 65,000 คน ด้านประธานาธิบดีปาเลสไตน์ มาห์มูด อับบาส กล่าวว่าการประกาศของอังกฤษถือเป็น “ก้าวสำคัญและจำเป็น” เพื่อเดินหน้าสู่สันติภาพถาวรตามแนวทางสองรัฐ ส่วนกลุ่มฮามาสก็ระบุว่าเป็น “ก้าวที่น่ายินดี” แต่ย้ำว่าต้องตามมาด้วยมาตรการที่เป็นรูปธรรม นักการเมืองและนักวิชาการปาเลสไตน์อย่าง ดร.ฮานัน อัชรอวี มองว่าการรับรองปาเลสไตน์โดยหลายประเทศคือ “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก” และทดสอบว่าประเทศเหล่านี้จะกล้าดำเนินมาตรการกดดันอิสราเอลจริงหรือไม่ อย่างไรก็ดี เส้นทางสู่การเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของสหประชาชาติยังเผชิญอุปสรรค เนื่องจากต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก 9 ใน 15 ประเทศสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง และต้องไม่ถูกคัดค้านโดยสมาชิกถาวร 5 ชาติ ซึ่งสหรัฐฯ มีแนวโน้มใช้สิทธิยับยั้ง แม้อังกฤษและแคนาดากลายเป็นประเทศกลุ่ม G7 แรกที่รับรองปาเลสไตน์ แต่ญี่ปุ่น อิตาลี และเยอรมนียังคงคัดค้าน ขณะที่สหรัฐฯ อาจเหลือเพียงประเทศถาวรเดียวในคณะมนตรีฯ ที่ไม่รับรองปาเลสไตน์ ยิ่งตอกย้ำว่ากรุงวอชิงตันกำลังยืนอยู่ตรงกันข้ามกับกระแสความเห็นของนานาชาติ   แปลและเรียบเรียงจาก Britain, Canada and Australia formally recognize a Palestinian state, deepening Israel’s isolation, CNN, 21 September 2025  * ข่าว * ต่างประเทศ * ปาเลสไตน์ * สหประชาชาติ * แคนาดา * อังกฤษ * ออสเตรเลีย * สงครามปาเลสไตน์ * อิสราเอล
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
แรงงานเกาหลีใต้เล่าเรื่องถูกสหรัฐฯ กวาดจับ-ส่งตัวกลับ แม้จะมีวีซาทำงานถูกต้อง
แรงงานเกาหลีใต้เล่าเรื่องถูกสหรัฐฯ กวาดจับ-ส่งตัวกลับ แม้จะมีวีซาทำงานถูกต้อง auser15 Tue, 2025-09-23 - 19:25 หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ของสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการบุกตรวจจับคนเข้าเมืองครั้งใหญ่ จนทำให้ชาวเกาหลีใต้จากไซต์งานของ ฮุนได และแอลจี ถูกควบคุมตัวและถูกส่งตัวกลับประเทศ รัฐบาลเกาหลีใต้ก็ประกาศว่าจะให้มีการสืบสวนสอบสวนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจจะเกิดขึ้น มีปากคำจากผู้เผชิญเหตุการณ์บรรยายถึงการกระทำที่ล่วงละเมิดของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ หรือ ICE ภาพจาก : Shim Hyun-chul/Korea Times รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการบุกตรวจค้นและกวาดจับคนเข้าเมืองครั้งใหญ่ โดยมีอยู่กรณีหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา ที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ดำเนินการบุกจับอย่างกระทันหันในขณะที่คนงานชาวเกาหลีใต้ยังคงทำงานอยู่ที่ไซต์ก่อสร้างของบริษัทฮุนได มอเตอร์ และบริษัท ไอจี เอนเนอจี โซลูชัน เหตุเกิดในรัฐจอร์เจีย เรื่องนี้เป็นเหตุทำให้แรงงานข้ามขาติชาวเกาหลีใต้อย่างน้อย 316 รายถูกส่งตัวกลับประเทศ จากผู้คนที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดรวม 475 ราย สิ่งที่ตามมาคือในวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ประกาศว่าจะเริ่มทำการสืบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่านับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวเกาหลีใต้หรือไม่ หลังจากที่แรงงานข้ามชาติชาวเกาหลีใต้บางคนที่ถูกส่งตัวกลับเล่าว่าพวกเขาถูกทำให้ต้องเผชิญกับสภาพที่เลวร้าย คังยูจอง โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้แถลงว่า "พวกเราจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อดูว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือการสร้างความยากลำบากให้กับประชาชนของพวกเราหรือไม่ นอกจากนี้พวกเรายังจะประสานงานอย่างใกล้ชิดกับบริษัทในพื้นที่เพื่อประเมินสถานการณ์ด้วย" คัง ระบุอีกว่า กระทรวงต่างประเทศของเกาหลีใต้กำลังดูแลในประเด็นนี้ ซึ่งอาจจะมีการสอบถามให้ครบถ้วนอีกครั้งกับกลุ่มคนงานที่ถูกควบคุมตัวโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE) แรงงานชาวเกาหลีใต้ที่ถูกควบคุมตัวและส่งกลับประเทศจากการกวาดจับของรัฐบาลทรัมป์เปิดเผยเรื่องราวต่อสื่อและเล่าผ่านโซเชียลมีเดียว่า ลักษณะการกวาดจับเป็นอย่างโหดร้ายทารุณ มีแรงงานจำนวนมากที่บอกว่าเจ้าหน้าที่ ICE ของสหรัฐฯ ปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็นอาชญากรและกดดันให้พวกเขาลงนามในเอกสารโดยไม่มีการอธิบายรายละเอียดตามขั้นตอนกฎหมาย ทั้งนี้ ยังมีแรงงานชาวเกาหลีใต้ที่ถูกล่ามและใส่กุญแจมือ จากนั้นจึงส่งไปยังสถานกักกันที่ โฟล์กสตัน ของรัฐจอร์เจีย พวกเขาได้รับการปล่อยตัวในอีกสัปดาห์ถัดมา หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้ได้เข้าหารือด่วนกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ซึ่งทางการเกาหลีใต้บอกว่าในตอนนั้นพวกเขาพยายามทำให้ชาวเกาหลีใต้ได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านโดยเร็วที่สุด จึงไม่ได้มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นหรือไม่ แต่พวกเขาก็จะตรวจสอบอย่างละเอียดโดยสอบถามจากแรงงานและบริษัทที่เกี่ยวข้องหลังจากนี้ และอาจจะมีการใช้ช่องทางการทูตเพื่อยื่นประท้วงและแสดงความกังวลต่อเรื่องนี้ให้สหรัฐฯ รับรู้ต่อไป อย่างไรก็ตาม การยื่นประท้วงต่อสหรัฐฯ อาจจะมีอุปสรรคเพราะฝ่าย ICE ไม่ยอมรับว่าพวกเขาทำอะไรผิดและบอกว่าได้ทำตามขั้นตอนกฎหมายในตอนที่จับกุมและบุกทลายสถานที่ หวั่นกระทบการลงทุนจากเกาหลีใต้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าไม่กี่วันหลังจากที่มีเหตุการณ์บุกกวาดจับแรงงานชาวเกาหลีใต้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้โพสต์ในโซเชียลมีเดียว่า เขาไม่ได้อยาก "สร้างความตื่นกลัว" ให้กับการลงทุนจากต่างชาติ พวกเขายังคงต้องการให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ รวมถึงยังคงต้องการผู้เชี่ยวชาญที่สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนเข้ามาในประเทศมากขึ้น โดยที่ทรัมป์ไม่ได้ระบุอะไรโดยตรงเกี่ยวกับการบุกกวาดจับแรงงานเกาหลี แต่ทว่าถึงแม้รัฐบาลทรัมป์จะอยากได้แรงงานที่มีความเชี่ยวชาญ แต่กลุ่มชาวเกาหลีใต้ที่ถูกกวาดต้อนจับกุมล่าสุดที่จอร์เจียก็มีจำนวนมากที่เป็นวิศวกรและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักร ซึ่งทำหน้าช่วยติดตั้งและซ่อมแซมเครื่องจักรที่ไซต์งานของบริษัท ฮุนได และแอลจี นอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นยังส่งผลกระทบ ทำให้บรรษัทข้ามชาติสัญชาติเกาหลีเกิดความกังวลที่จะลงทุนกับโรงงานของพวกเขาในสหรัฐฯ ด้วย ประธานาธิบดี ลีแจมย็อง ของเกาหลีใต้กล่าวว่าการกวาดต้อนจับกุมผู้อพยพจำนวนมากโดยรัฐบาลทรัมป์ทำให้บริษัทเกาหลีใต้รู้สึกไม่ไว้วางใจและอาจจะทำให้คนไม่อยากลงทุนในสหรัฐฯ ในอนาคต มีผลโพลระบุว่าชาวเกาหลีใต้อย่างน้อยร้อยละ 60 ไม่เห็นด้วยกับการกวาดต้อนจับกุมที่เกิดขึ้น และมองว่าอาจจะส่งผลเสียหายต่อการลงทุนที่สหรัฐฯ ในอนาคตได้ ฝ่ายผู้บริหารของบริษัทจากเกาหลีใต้เปิดเผยว่าการจับกุมแรงงานที่ไซต์ก่อสร้างของพวกเขา ทำให้การก่อสร้างในจอร์เจียมูลค่า 4,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องล่าช้าออกไปอีก คริสโคเฟอร์ แลนโด รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้เขาพบปะกับรองประธานาธิบดีเกาหลีใต้พักยุนจูที่กรุงโซล และแสดงความ "เสียใจอย่างยิ่ง" ต่อการกวาดจับและคุมขังที่เกิดขึ้น เป็นครั้งแรกที่ผู้นำระดับสูงจากสหรัฐฯ แสดงความเสียใจต่อเรื่องนี้ แรงงานเกาหลีภายใต้การควบคุมตัวของ ICE เผชิญกับอะไรบ้าง แรงงานชาวเกาหลีใต้ที่กลับถึงประเทศแล้วหลังจากถูกคุมขังโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ICE ของสหรัฐฯ เล่าให้สื่อฟังถึงเรื่องที่ว่าพวกเขาเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อะไรบ้าง แรงงานชาวเกาหลีเล่าว่าเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ที่ทำการไต่สวนพวกเขาหลังจับกุม ได้ทำการหัวเราะเยาะเย้ยพวกเขาในลักษณะเหยียดหยาม โดยที่มีแรงงานรายหนึ่งสามารถบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ในช่วงที่มีการควบคุมตัวด้วยการใช้กระดาษและปากกาที่เขาแอบเก็บมาด้วยในตอนที่เจ้าหน้าที่สั่งให้พวกเขาเซ็นเอกสาร แรงงานเกาหลีใต้รายหนึ่งที่มีวีซ่าทำงานในสหรัฐฯ ประเภท B-1 เล่าถึงการถูกกวาดต้อนจับกุมว่า ICE ได้บุกทลายไซต์ทำงานของพวกเขาช่วง 10 โมงตอนสาย ก่อนที่จะทำการค้นตัวพวกเขาแล้วก็ยื่นเอกสารให้พวกเขาดูที่ระบุว่าเป็น "หมายจับคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย" นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ ICE ยังไม่ได้ประกาศแจ้งคำเตือนมิแรนดา ซึ่งเป็นชุดคำเตือนเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาที่ตำรวจต้องแจ้งให้กับผู้ถูกกล่าวหาก่อนดำเนินการตามขั้นตอน ที่เรียกว่า "สิทธิมิแรนดา" ที่มักจะปรากฏในภาพยนตร์หรือคลิปเกี่ยวกับตำรวจอเมริกันที่บอกว่า "คุณมีสิทธิที่จะไม่พูด" หรือให้การใดๆ เพราะคำพูดอาจจะถูกนำไปใช้ปรักปรำผู้ต้องสงสัยในชั้นศาลได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ ICE ไม่ได้แจ้งถึงจุดนี้ ถือว่าไม่ทำตามกระบวนการ ในระหว่างที่มีการจับกุม แรงงานเกาหลีใต้ยังไม่สามารถมองเห็นเอกสารของเจ้าหน้าที่ได้อย่างชัดเจนด้วย เพราะบรรยากาศการจับกุมเป็นไปอย่างข่มขู่คุกคาม ทำให้กลุ่มแรงงานลงนามในเอกสารแล้วยื่นเอกสารคืนให้เจ้าหน้าที่ คิดว่าแค่ยื่นเอกสารคืนให้ก็จะได้รับการปล่ิอยตัว แต่หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็บังคับให้พวกเขานำโทรศัพท์มือถือและของใช้ส่วนตัวใส่ไว้ในถุง มีแรงงานรายหนึ่งที่แอบส่งข้อความหาครอบครัวและบริษัทได้ทันบอกว่าอาจจะติดต่อเขาได้ยากหน่อย หลังจากที่รอเป็นเวลา 9 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ ICE ก็ให้เหล่าคนงานเกาหลีขึ้นรถโดยมีการใช้สายเคเบิลมัดข้อมือของพวกเขาไว้ โดยมีแรงงานบางคนที่ถูกมัดทั้งมือ เท้า และลำตัว เมื่อรถไปถึงที่หมาย แรงงานเหล่านี้ก็ถูกจับยัดเข้าไปในห้องขังสำหรับคน 72 คน เป็นจำนวน 5 ห้อง สภาพห้องมีเตียงสองชั้นที่มีราขึ้นบนผ้าปูที่นอน มีความยากลำบากในการเข้าใช้ห้องน้ำเพราะพื้นที่แออัดทำให้แรงงานที่เล่าเรื่องนี้บอกว่าเขาพยายามจะไม่ใช้ห้องน้ำในตอนที่อยู่ที่นั่น นอกจากนี้ สภาพห้องขังของพวกเขายังหนาวมากจนต้องนำผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวไว้ มีบางคนเอาผ้าเช็ดตัวไปอุ่นในไมโครเวฟ น้ำที่พวกเขาได้รับในห้องขังมีกลิ่นเหม็น ต่อมาพวกเขาก็ได้รับยาสีฟัน, แปรงสีฟัน, ผ้าห่ม และผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย พอถูกกักขังถึงวันที่ 3 ก็มีการนำเอกสาร "ออกโดยสมัครใจ" ให้กับแรงงานเกาหลี ที่พวกเขาต่างก็ลงนามในเอกสารถึงแม้ว่าจะกังวลเกี่ยวกับเนื้อหาของมัน ตอนที่เจ้าหน้าที่ ICE สัมภาษณ์คนงานเกาหลี มีการถามพวกเขาว่ามาจากไหนแล้วคนงานตอบว่ามาจากเกาหลีใต้ เจ้าหน้าที่ก็เริ่มยิ้มแล้วก็หันไปพูดคุยกันเองระหว่างเจ้าหน้าที่ มีการพูดคำว่า "เกาหลีเหนือ" ออกมา แล้วก็มีการใช้คำว่า "มนุษย์จรวด" ซึ่งเป็นคำที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยใช้เรียกเป็นฉายาของคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ มาก่อน คนงานเกาหลีใต้บอกว่าตอนแรกเขารู้สึกโกรธเหมือนถูกเย้ยหยัน แต่ก็พยายามเก็บข่มอารมณ์ไว้เพราะกลัวว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเอกสารของเขา ตอนที่ ICE ถามถึงสาเหตุที่อยู่ในสหรัฐฯ ฝ่ายคนงานก็อธิบายว่าเขามีวีซา B-1 ที่อนุญาตให้เขาทำงานได้ จึงขอถามเจ้าหน้าที่ว่าทำการคุมขังพวกเขาทำไมทั้งๆ ที่พวกเขามีวีซาที่อนุญาตให้อยู่ในประเทศได้ เจ้าหน้าที่ ICE รายหนึ่งตอบว่าไม่รู้ บอกแค่ว่าพวกคนระดับสูงคิดว่ามันผิดกฎหมาย แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ ICE คนอื่นๆ บอกกับผู้ต้องขังคนอื่นๆ ว่า ICE ได้ทำผิดพลาดไปแล้ว แรงงานรายหนึ่งบอกว่าเขารู้สึกไม่พอใจเจ้าหน้าที่รายที่บอกว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมการอยู่ในสหรัฐฯ ด้วยวีซา B-1 ถึงทำให้พวกเขาถูกจับกุม และดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ ICE เหล่านี้ มุ่งมั่นกับการพยายามส่งพวกเขากลับประเทศให้ได้เท่านั้น ในวันถัดจากนั้น สถานกงสุลเกาหลีใต้และเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศก็ได้ไปเยือนสถานกักตัวแล้วก็บอกให้คนงานเซ็นเอกสารโดยอ้างว่าไม่เช่นนั้นพวกเขาจะถูกกักขังเอาไว้หลายเดือนหรือไม่ก็อาจจะหลายปี จนกระทั่งในที่สุดคนงานก็ถูกส่งตัวขึ้นรถบัสออกจากสถานกักกัน ส่งตัวพวกเขาไปขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ เสียงประณามจากทุกฝ่ายในเกาหลีใต้ การกวาดต้อนจับกุมแรงงานเกาหลีใต้ในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งอาจจะทำให้พวกเขามองว่าเป็นการทรยศจากประเทศพันธมิตรทางการเมืองอย่างสหรัฐฯ ที่สนามบินอินชอน ซึ่งแรงงานเกาหลีใต้ถูกส่งตัวกลับมา มีผู้ประท้วงยืนถือป้ายล้อเลียนทรัมป์ในชุดฟอร์มของ ICE มีคนหนึ่งถือป้ายเป็นข้อความว่า "คุณบอกให้พวกเราลงทุน เพียงเพื่อที่จะจับกุมพวกเรา นี่คือวิธีที่คุณทำกับพันธมิตรคุณหรือ?" ผู้สื่อข่าวอัลจาซีรา แจ็ค บาร์ตัน ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องการส่งตัวแรงงานเกาหลีใต้กลับนี้ยังนำมาซึ่งการประณามจากนักการเมืองทุกฝ่ายในเกาหลีใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นภาพที่แรงงานเหล่านี้ถูกมัดมือมัดแขนเดินเรียงแถวไปขึ้นรถบัส กลายเป็นช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายทางการเมืองในเกาหลีใต้เห็นตรงกันในแบบที่หาได้ยาก กลุ่มสหภาพแรงงานเกาหลีใต้ คือ สมาพันธ์สหภาพแห่งงานเกาหลี ได้เรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯ มีการรับผิดรับชอบต่อเรื่องนี้ โดยขอให้ทรัมป์ขอโทษแรงงานเกาหลีใต้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และบอกว่ามันนับเป็น "การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเห็นได้ชัด" รวมถึงเรียกร้องให้เกาหลีใต้ระงับการลงทุนกับสหรัฐฯ ด้วย ถูกกวาดต้อนจับกุมพ่วงไปด้วย? ยังมีคำถามที่ว่า ทำไมคนงานที่มีวีซาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็ยังถูกกวาดต้อนจับกุมและถูกปฏิบัติราวกับเป็นอาชญากร เรื่องนี้เป้นส่วนหนึ่งที่มาจากมาตรการของรัฐบาลทรัมป์ ที่มีการเร่งบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว รวมถึงวิธีการที่พวกเขาใช้ คือการบุกทลายสถานที่ทำงานเป็นวงกว้างโดยอาศัยเจ้าหน้าที่ๆ ปิดหน้าปิดตา ก็ก่อให้เกิดการประณามจากทั้งนักกิจกรรมด้านผู้อพยพและกลุ่มสิทธิพลเมือง เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์มีมาตรการกวาดจับแบบไม่เลือกเพื่อทำยอดให้ครบเป้าหมายส่งตัวผู้อพยพออกนอกประเทศหลายหมื่นราย ทำให้ฝ่ายประชาชนพยายามช่วยคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพในประเทศด้วยการให้ความรู้ มีการจัดฝึกอบรม "Know Your Rights" ที่แปลว่า "รู้สิทธิของคุณ" แพร่หลายไปทั่วสหรัฐฯ มีการแจกใบปลิวไปตามประตูของร้านค้าและธุรกิจต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ความรู้ในเรื่องนี้ ในเอกสารนี้ระบุว่า "ICE และ หน่วยงานความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ไม่สามารถเข้ามา(ในบ้าน-ในที่ทำงาน)ได้ถ้าหากไม่มีหมายจับที่ลงนามโดยผู้พิพากษา" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 4 ที่ระบุคุ้มครองทั้งคนที่เป็นพลเมืองและไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ ไม่ให้ถูก "ตรวจค้นหรือจับกุมอย่างไม่มีเหตุผล" ซึ่งเป็นการคุ้มครองรวมถึงผู้อพยพด้วย สำหรับกรณีการบุกค้นที่ฮุนไดนั้น เจ้าหน้าที่มีหมายค้นมาด้วย แต่เป็นหมายค้นที่ระบุตัวผู้ต้องสงสัยแค่ 4 ราย ทว่ากลับมีคนที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดรวม 475 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลี เรื่องนี้ อนา วาเลนซูเอลา ทนายความอาวุโสจากบริษัทกฎหมาย Minsky McCormick & Hallagan เรียกว่าเป็น "การโดนลูกหลงถูกคุมขังไปด้วย" คือเมื่อเจ้าหน้าที่คนเข้าเมืองตั้งเป้าจับกุมคนบางส่วน แต่กลับเหวี่ยงแหจับกุมคนอื่นๆ ทั้งหมดไปด้วย เรียบเรียงจาก Korea looks into possible human rights violations in ICE raid, Korea Times, 15-09-2025 Worker recounts details of human rights violations during detention in US raid, Korea Times, 15-09-2025 More than 300 South Korean workers return home after US immigration raid, Aljazeera, 12-09-2025 What immigration lawyers want you to know about ICE and criminal warrants, CNN, 14-09-2025   * ข่าว * แรงงาน * ต่างประเทศ * เกาหลีใต้ * สหรัฐอเมริกา * แรงงานข้ามชาติ
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
อ.นิติ มองศาลไม่ไว้ใจฝ่ายบริหาร บังคับตามคำพิพากษาคดี ‘ทักษิณ’ ชี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐาน
อ.นิติ มองศาลไม่ไว้ใจฝ่ายบริหาร บังคับตามคำพิพากษาคดี ‘ทักษิณ’ ชี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐาน admin666 Tue, 2025-09-09 - 17:03 ‘มุนินทร์’ อาจารย์นิติ มธ. โพสต์ถึงคำสั่งศาลคดีชั้น 14 ของทักษิณ มองว่าศาลไม่ไว้ใจฝ่ายบริหารบังคับตามคำพิพากษาของศาล ส่งสัญญาณถึงฝ่ายบริหารให้ทำตามกฎหมาย ไม่ควรเป็นภาระของศาลยุติธรรมในการตีความกฎหมายเพื่อเข้ามาตรวจสอบและคดีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานให้มีการร้องตรวจสอบการบังคับตามคำพิพากษาอีกแต่ศาลอาจไม่มีทั้งเวลาและบุคลาการมากพอจะมาตรวจสอบทุกคดี 9 ก.ย.2568 หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผุ้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ดำเนินการบังคับโทษจำคุกแก่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรีเป็นเวลา 1 ปี ตามโทษจำคุกที่ได้รับการอภัยลดโทษ มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โพสต์ทางเฟซบุ๊กแสดงความเห็นถึงคำสั่งของศาลในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจของศาลที่เข้ามาตรวจสอบการบังคับโทษของฝ่ายบริหาร และอาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ทำให้ศาลเข้ามาตรวจสอบการบังคับโทษในคดีอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต มุนินทร์เห็นว่าคำสั่งของศาลที่วินิจฉัยว่าการบังคับโทษจำคุกทักษิณไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ทางนิติศาสตร์ของไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่ศาลฎีกาเข้ามาตรวจสอบการบังคับโทษตามคำพิพากษาซึ่งเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารโดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์ แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านโต้แย้งว่าศาลไม่มีอำนาจ แต่การที่ศาลฎีกาฯ ตีความว่าศาลมีอำนาจสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมันต่อการทำหน้าที่บังคับตามคำพิพากษาของฝ่ายบริหาร และศาลคงมองว่าไม่มีหนทางอื่นที่แก้ปัญหาร้ายแรงของกระบวนการยุติธรรมในส่วนนี้ได้อย่างทันท่วงที “คำสั่งของศาลฎีกาในคดีนี้จึงเป็นทั้งพยานหลักฐานของความล้มเหลวในกระบวนการบังคับโทษและยังเป็นสัญญาณที่ส่งถึงฝ่ายบริหารให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและต้องคิดหาวิธีการปฏิรูปหรืออุดช่องโหว่ของกระบวนการบังคับโทษโดยเร็ว โดยไม่ควรปล่อยให้เป็นภาระของศาลยุติธรรมในการตีความกฎหมายเพื่อเข้ามามีอำนาจตรวจสอบ” มุนินทร์ระบุ นอกจากนั้น อาจารย์นิติ มธ. ยังเห็นว่าคำสั่งในคดีนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่อาจทำให้เกิดการร้องขอตรวจสอบการบังคับโทษในคดีอื่นๆ ด้วย และหากศาลยุติธรรมปฏิเสธไม่รับไต่สวนโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร อาจทำให้ศาลถูกกล่าวหาว่าบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรมเสียเอง แต่ศาลก็อาจไม่มีทั้งเวลาและบุคลากรมากพอจะเข้าไปตรวจสอบในทุกคดีได้ ศาลยุติธรรมจึงจำเป็นที่จะต้องปรึกษาหารือกันภายในเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนว่ากรณีแบบใดบ้างที่ศาลควรเข้ามาตรวจสอบการบังคับตามคำพิพากษา ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตามที่ปรากฏในข่าวประชาสัมพันธ์ของศาลฎีกาฯ ในคำสั่งระบุว่าศาลฎีกาฯ มีอำนาจตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรค 2 ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวมีดังนี้ “เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาจำนวน 3 คน มีอำนาจออกหมายหรือคำสั่งใดๆ ตามที่เห็นสมควร เพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล” นอกจากศาลจะอ้างฐานอำนาจตามกฎหมายแล้ว ในคำสั่งยังระบุถึงเหตุผลที่ทำให้ศาลฎีกาฯ เข้ามาตรวจสอบครั้งนี้ด้วยว่าหากศาลพบว่าอาจมีการบังคับโทษกับผู้ต้องขังในคดีไม่เป็นตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดศาลฎีกาฯ ซึ่งเป็นศาลที่ออกคำพิพากษาและหมายจำคุกย่อมมีอำนาจในการไต่สวนและตรวจสอบได้ทั้งการที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพส่งตัวทักษิณไปรักษาตัวนอกเรือนจำและการที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำต่อเนื่องไปจนกระทั่งผู้ต้องขังได้ปล่อยตัว เนื่องจากศาลยังเห็นว่าผู้บัญชาการเรือนจำและธิธิบดีกรมราชทัณฑ์มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 แต่การจะส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำก็ยังต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎหมายด้วย  * ข่าว * การเมือง * คดีชั้น 14 * มุนินทร์ พงศาปาน * ทักษิณ ชินวัตร * ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
dlvr.it
ความอุบาทว์ และ ความเลวร้ายของระบบการเมืองในเวลานี้ ก็คือมีผู้กำกับการเมืองที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจยึดกุมโครงสร้างอำนาจรัฐได้ทั้งหมด

www.facebook.com/share/15eJTj...
Redirecting...
www.facebook.com
Thailand's Constitutional Court dismissed Prime Minister Paetongtarn Shinawatra from office for an ethics violation after a year in power, in another crushing blow to the Shinawatra political dynasty that could usher in a new period of turmoil reut.rs/41weBZM
Thai prime minister removed by court, triggering power scramble
Thailand's Constitutional Court dismissed Prime Minister Paetongtarn Shinawatra on Friday for an ethics violation, in another crushing blow to the Shinawatra political dynasty that triggered a flurry of deal-making aimed at filling the void.
reut.rs
เบญจา โพสต์ 1 ปี ยุบก้าวไกล เผย แม้ไม่อาจเดินทางร่วมกับเพื่อนๆ แต่การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด

www.matichon.co.th/politics/new...
#1ปียุบพรรคก้าวไกล วันนี้เมื่อปีที่แล้ว คน 9 คนได้ใช้อำนาจยุบพรรคก้าวไกล ทุบทำลายความฝัน บดขยี้ความหวังของ ปชช. แม้พวกเขาจะเอาชนะทางกฎหมายได้ด้วยการทำนิติสงครามแต่พวกเขาจะไม่สามารถครองใจ ปชช.ได้

การต่อสู้ยังคงเดินทางอยู่และไม่มีวันสิ้นสุด เวลาก็ยังคงเดินไปข้างหน้าเสมอ ความฝันที่มีก็ไม่เคยจืดจางลงเช่นกัน
“จนกว่าวันที่อำนาจสูงสุดจะเป็นของประชาชน”

7 สิงหาคม 2568
Reposted by BenchaMFP
วิกฤตความอดอยากในกาซาเข้าขั้น 'หายนะ' ผู้คนพากันอดตาย รวมถึงเด็กๆ
วิกฤตความอดอยากในกาซาเข้าขั้น 'หายนะ' ผู้คนพากันอดตาย รวมถึงเด็กๆ ภาพปกจาก วิกิพีเดีย Pazzle Wed, 2025-08-06 - 11:46 วิกฤตการความอดอยากหิวในฉนวนกาซาตอนนี้เข้าขั้นหายนะ เนื่องจากกาซาถูกปิดล้อมโดยกองทัพอิสราเอล มีประชากรเกือบ 2 ล้านคนที่ถูกตัดขาดจากความช่วยเหลือ และมีเด็กที่ตายจากการขาดอาหารร้อยละ 80 ของผู้เสียชีวิตจากภาวะอดอยากทั้งหมด ประชาชน 1 ใน 3 ไม่ได้กินอาหารเป็นเวลาหลายวัน เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะประชาชนหลายคนเริ่มสิ้นหวังในการพยายามเข้าถึงแหล่งแจกจ่ายอาหารที่มีการลอบยิงประชาชนที่ไปรับอาหาร    ในฉนวนกาซาที่ถูกปิดล้อมโดยกองทัพอิสราเอลอยู่ตอนนี้ มีประชากรเกือบ 2 ล้านคนที่ถูกตัดขาดจากความช่วยเหลือ สหประชาชาติและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในกาซาระบุว่ามีผู้คนล้มตายหลายร้อยรายในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะจากภาวะขาดสารอาหาร หรือเสียชีวิตจากการพยายามเข้าถึงจุดแจกจ่ายความช่วยเหลือ จนนับได้ว่าเป็นจุดที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เริ่มมีความขัดแย้งเกิดขึ้นครั้งล่าสุดในเดือน ตุลาคม 2566 นานาชาติได้เรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ ให้อิสราเอลยกเลิกการปิดกั้นการแจกจ่ายความช่วยเหลือ มีผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าวิธีการของอิสราเอลนั้นเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมนานาชาติ ก่อนหน้านี้เคยมีผู้แจกจ่ายความช่วยเหลือหลายกลุ่มทั้งจากอิสราเอล ปาเลสไตน์ องค์การนานาชาติอย่างยูเอ็น แต่ตอนนี้ถูกจำกัดให้เหลือแค่กลุ่มจากสหรัฐฯ เพียงกลุ่มเดียวที่ถูกตรวจตราอย่างใกล้ชิดจากอิสราเอล เพื่อเป็นการตอบสนองต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก กองทัพอิสราเอลได้ประกาศเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า จะมีการยุติปฏิบัติการ "ทางเชิงยุทธศาสตร์" บางพื้นที่ของกาซา เพื่อเปิดทางให้กับระเบียงมนุษยธรรม เป็นโอกาสให้ยูเอ็นและรถขนส่งความช่วยเหลือเข้าไปที่พื้นที่ปิดล้อมได้ ทั้งนี้ การที่อิสราเอลปิดกั้นสื่อไม่ให้เข้าไปทำข่าวจึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะสามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน  และอาจจะทำให้มีข้อมูลที่ผิดออกมา แต่ทางการอิสราเอลก็กล่าวปกป้ององค์กรให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ที่ได้รับการหนุนหลังจากอิสราเอล คือองค์กรแสวงหาผลกำไรชื่อ GHF อิสราเอลอ้างว่าที่ใช้ช่องทางนี้เพราะกลัวว่ากลุ่มติดอาวุธฮามาสจะเข้ามายึดสิ่งของช่วยเหลือ แล้วเอาไปขายต่อเป็นเงินทุนให้ตัวเอง แต่สภาพที่เกิดขึ้นนั้น ยูเอ็นบอกว่า ทั้งชาวปาเลสไตน์ นักข่าว หมอ และคณะทำงานช่วยเหลือในพื้นที่ ต่างก็หมดเรี่ยวหมดแรงเพราะความหิวโหย เนื่องจากพวกเขาเข้าถึงอาหารได้น้อยมาก แล้วก็มีรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการขาดแคลนอาหารเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นในกาซา ทำความอดอยากหิวโหยถึงร้ายแรงขนาดนี้? สถานการณ์ความอดอยากในกาซาเป็นสิ่งที่สื่อบางแห่งเรียกว่า "หายนะที่มาจากน้ำมือของมนุษย์" โดยในสงครามกาซารอบล่าสุด อิสราเอลได้โจมตีทางอากาศและปิดกั้นไม่ให้ความช่วยเหลือเข้าถึงพลเรือนในกาซา การโจมตีทางอากาศนั้นได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านอาหาร เช่น ร้านขนมปัง, โรงโม่แป้ง และร้านค้าอาหาร นอกจากอาหารแล้วการปิดกั้นความช่วยเหลือยังเป็นเหตุให้ผู้คนในกาซากำลังขาดแคลนปัจจัยดำรงชีพขั้นพื้นฐานอื่นๆ ด้วย มีองค์กรในปาเลสไตน์และองค์กรให้ความช่วยเหลือจากนานาชาติชี้ให้เห็นวิกฤตในเรื่องนี้ โดยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขของปาเลสไตน์ได้บันทึกภาพผู้คน 10 คน ที่เสียชีวิตจากการขาดอาหารในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ทำให้มีตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 43 รายในรอบ 5 วัน ในขณะที่องค์การอนามัยโลก WHO ระบุว่าในปี 2568 มีผู้เสียชีวิตเพราะขาดสารอาหารแล้ว74 ราย ในเดือน กรกฎาคมเดือนเดียวมีถึง 63 ราย นอกจากนี้ยังมีเด็กที่ตกเป็นเหยื่อของภาวะขาดสารอาหารจนเสียชีวิตด้วย โดยนับตั้งแต่เดือน มีนาคม เป็นต้นมาจนถึงตอนนี้มาเด็กมากกว่า 50 รายแล้วที่เสียชีวิตจากภาวะขาดสารอาหาร และในจำนวนนี้มี 24 ราย ที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในคำแถลงข่าวของ WHO ระบุว่า "วิกฤตนี้เป็นวิกฤตที่ควรจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น" ตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะการปิดกั้นความช่วยเหลือถึงทำให้เกิดวิกฤตนี้ขึ้นมา องค์กรด้านปาเลสไตน์ของยูเอ็น UNRWA เคยเปิดเผยว่ามีเด็ก 1 ล้านคนในกาซาที่นับเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดกำลังเสี่ยงต่อภาวะอดอยากหิวโหย ทั้งนี้ยังมีรายงานจากยูเอ็นเมื่อปลายเดือน กรกฎาคม ที่ผ่านมา เตือนว่าสิ่งยังชีพที่เหลืออยู่แหล่งสุดท้ายในกาซา "กำลังล่มสลาย" มีประชาชนชาวปาเลสไตน์มากกว่า 1,000 รายที่เสียชีวิตในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาจากการพยายามเข้าถึงแหล่งอาหาร เรื่องนี้มีทั้งนักวิเคราะห์และกลุ่มให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่างก็มองว่า มาจากการที่กองทัพอิสราเอลจงใจใช้วิธีสกัดกั้นไม่ให้ชาวปาเลสไตน์เข้าถึงสิ่งยังชีพต่างๆ รวมถึงอาหาร ไม่ว่าจะโดยการปิดกั้นการขนส่งลำเลียง ปิดกั้นองค์กรที่จะเข้าไปช่วยเหลือ หรือกระทั่งใช้องค์กรที่ตัวเองสนับสนุนมาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ แต่มีการใช้ทหารยิงใส่ผู้ที่จะไปเข้ารับความช่วยเหลือ สภาเสี้ยววงเดือนแดงของปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นองค์กรให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์และมนุษยธรรมเปิดเผยว่า กองทัพอิสราเอลจงใจ "เล็งเป้าหมายโจมตีพลเรือน" กล่าวหาว่าอิสราเอลได้ยิงใส่ชาวปาเลสไตน์ที่พยายามเข้าถึงความช่วยเหลือทางตอนเหนือของกาซา แต่ทางการอิสราเอลได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ เดวิด เจ เชฟเฟอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายนานาชาติของ Council of Foreign Relation - CFR กล่าวว่าเรื่องนี้ทำให้อิสราเอลเสี่ยงที่จะเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากประชาคมโลกพบว่ามีการปิดกั้นความช่วยเหลือหรือทำร้ายพลเรือนที่พยายามเข้าถึงความช่วยเหลือเหล่านี้ แล้วการกระทำของอิสราเอลกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พลเรือนปาเลสไตน์ประสบภาวะอดอยาก มีกลุ่มให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมากกว่า 100 กลุ่มที่ปฏิบัติงานในกาซา เตือนเรื่องการกระทำของอิสราเอลว่าจะก่อวิกฤตความอดอยาก องค์กรที่พูดถึงเรื่องนี้อาทิเช่น องค์กรแพทย์ไร้พรมแดน, องค์กร CARE อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เป็นองค์กรเรื่องความอดอยากและความยากจน รวมถึง โครงการอาหารโลกของยูเอ็น ที่ระบุว่า "มีคน 1 ใน 3 (ในกาซา) ที่ไม่ได้กินอะไรเลยมาเป็นเวลาหลายวัน" แม้กระทั่งสื่ออย่างสำนักข่าว AFP ก็มีผู้สื่อข่าวในพื้นที่เสียชีวิตเพราะอดตาย สหภาพนักข่าว AFP แถลงว่า "นับตั้งแต่ที่ AFP ก่อตั้งขึ้นในปี 2487 พวกเราสูญเสียนักข่าวในความขัดแย้ง บ้างก็ได้รับบาดเจ็บ บ้างก็ถูกจับกุม แต่พวกเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นเพื่อนร่วมงานเสียชีวิตเพราะอดตาย" ในช่วงหลังจากที่มีสงครามอิสราเอลกับฮามาสปี 2566 เป็นต้นมา กลุ่มให้ความช่วยเหลือก็เข้าถึงผู้คนในพื้นที่สงครามได้ไม่ค่อยปะติดปะต่อ สตีเวน คุก นักวิจัยอาวุโสด้านตะวันออกกลางของ CFR เปิดเผยว่าเรื่องการพยายามติดตามว่าความช่วยเหลือไปถึงไหนแล้วก็เป็นเรื่องยาก เพราะข้อมูลที่มาจากในพื้นที่ก็ยากที่จะแจกแจงและมักจะเป็นข้อมูลที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง มีความซับซ้อนเกิดขึ้นในพื้นที่มากกว่าที่สื่อรายงาน แต่พอถึงเดือน มีนาคม ที่ผ่านมา อิสราเอลก็หยุดไม่ให้มีการส่งความช่วยเหลือไปที่กาซาโดยสิ้นเชิง โดยอ้างว่ากลุ่มฮามาสคอยรับเอาความช่วยเหลือเหล่านี้ไปเอง ซึ่งกลุ่มฮามาสปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หลังจากที่แบนความช่วยเหลือเป็นเวลา 11 สัปดาห์ อิสราเอลก็เริ่มอนุญาตให้ GHF ซึ่งเป็นกลุ่มให้ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ที่อิสราเอลสนับสนุนเข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่แทน แต่ก็ความช่วยเหลือของ GHF ที่ให้กับชาวกาซาก็มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ อีกทั้งยังมีกรณีที่พลเรือนถูกยิงขณะไปรับของช่วยเหลือจาก GHF ด้วย ทั้งอิสราเอลและฮามาส มีส่วนในความทุกข์ยากนี้ คุก มองว่า รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ มีความไม่เชื่อใจในสหประชาชาติ ทำให้พวกเขาเน้นใช้ GHF ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานนานาชาติ แต่เป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรของพวกเขาโดยตรงคืออิสราเอล คุก วิเคราะห์อีกว่าทั้งฮามาสและอิสราเอลต่างก็เป็นผู้กระตุ้นเร้าให้เกิดความโกลาหลในกระบวนการให้ความช่วยเหลือ กลุ่มฮามาสยุยงให้เกิดความรุนแรงที่แหล่งให้ความช่วยเหลือเพื่อสร้างสถานการณ์ความโกลาหล เพราะรู้ว่าจะมีการประณามอิสราเอลในเรื่องนี้ ส่วนอิสราเอลก็มีแรงจูงใจในการจำกัดความช่วยเหลือทั้งเพื่อไม่ให้มันตกถือมือฮามาสและใช้มันเป็นเครื่องมือในการควบคุมทางการเมืองเพื่อ "ทำลายขวัญกำลังใจของประชากร" ปาเลสไตน์ไปด้วย ขณะเดียวกันระบบการให้ความช่วยเหลือที่มีอุปสรรคทางราชการก็ทำให้การส่งความช่วยเหลือยากลำบากและเสี่ยงต่อการฉวยโอกาสจากกลุ่มฮามาส ทำให้มีกลุ่มเฝ้าระวังเรื่องมนุษยธรรมเรียกร้องให้มีการลดอุปสรรคด้านการส่งความช่วยเหลือโดยทันที ยูเอ็นเรียกร้องนานาชาติช่วยกดดันอิสราเอลเพื่อยุติสงครามในกาซา ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้เรียกร้องอย่างหนักแน่นให้อิสราเอลยุติการยึดครองพื้นที่อย่างผิดกฎหมายและยุติการกระทำที่สร้างหายนะต่อกาซา โฟลเกอร์ เติร์ก ประกาศเตือนในแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ออกมาตรการในการกดดันอิสราเอลเพื่อยุติการเข่นฆ่าในกาซาและหันกลับมาใช้ 'แนวทางสองรัฐ' ในการยุติความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เติร์กบอกอีกว่า "ประเทศใดที่ไม่มีการใช้อำนาจต่อรองของตัวเองอาจจะกลายเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในอาชญากรรมนานาชาติ" เติร์กกล่าวว่ากาซานั้นเป็น "ดินแดนหายนะที่มีแต่การสังหารและการทำลายล้างอย่างสิ้นซาก" มีเด็กอดตาย มีครอบครัวถูกเข่นฆ่าจากการไปหาอาหาร ระบบการแจกจ่ายความช่วยเหลือที่ถูกครอบงำโดยการทหารซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และอิสราเอล แบบที่ไม่สามารถตอบสนองต่อความระดับอดอยากของประชากรได้ นอกจากนี้ยังมีคณะทำงานยูเอ็นส่วนหนึ่งที่เสียชีวิตในกาซาด้วย "พวกเราจะไม่มีวันลืมว่ามีเพื่อนร่วมงานของเรามากกว่า 300 รายที่ถูกสังหาร" เติร์กกล่าว นอกจากนี้ในพื้นที่ยึดครองเวสต์แบงค์ก็ยังคงมีความรุนแรงจากองทัพอิสราเอลและกลุ่มผู้ตั้งรกรากอย่างต่อเนื่อง มีบ้านเรือนถูกทำลายและผู้คนถูกตัดขาดจากแหล่งน้ำ เติร์กกล่าวย้ำว่าเขาประณามความรุนแรงจากฝ่ายฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 แต่ก็เน้นย้ำว่าสิ่งที่อิสราเอลกระทำเพื่อโต้ตอบนั้นเป็นการโต้ตอบในระดับที่เกินขอบเขตมาก สร้างความทุกข์ยากต่อพลเรือนปาเลสไตน์ในระดับที่ไม่สามารถให้ความชอบธรรมได้ จึงได้มีการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอย่างถาวรโดยทันที มีการปล่อยตัววตัวประกันและเชลย รวมถึงมีการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในแบบที่เข้าถึงได้ นักวิเคราะห์ เชฟเฟอร์ กล่าวว่า ในช่วงที่ยังไม่มีการหยุดยิงนั้น ก็ยังคงมีกฎการปะทะซึ่งระบุให้กองทัพแต่ละฝ่ายต้องทำตามอยู่ นั้นคือการ "ให้ความสำคัญกับชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังแสวงหาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมภายใต้สภาพเข้าตาจนในช่วงเวลาของสงครามซึ่งเป็นสิ่งที่คุกคามความอยู่รอดของพวกเขาอย่างมาก"     เรียบเรียงจาก Gaza’s Food Crisis Is Worsening: What to Know, CFR, 27-07-2025 https://www.cfr.org/article/gazas-food-crisis-worsening-what-know UN warns of ‘catastrophic hunger’ in Gaza as Israel announces humanitarian pauses, UN, 27-07-2025 https://news.un.org/en/story/2025/07/1165504 ข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Gaza_Strip_famine * รายงานพิเศษ * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * สงครามกาซา * สงครามอิสราเอล-ฮามาส * อิสราเอล * ปาเลสไตน์ * ฮามาส * ความอดอยาก * วิกฤตด้านอาหาร * ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม * อดตาย * ภาวะอดอยากจากน้ำมือมนุษย์ * กาซา
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
ลูกสาว 'อานนท์' เขียน จม. ถึงพ่อ 'กักขังหิ่งห้อย เพื่อให้หลับฝันดี'
ลูกสาว 'อานนท์' เขียน จม. ถึงพ่อ 'กักขังหิ่งห้อย เพื่อให้หลับฝันดี' Pazzle Wed, 2025-08-06 - 19:39 ลูกสาว "ทนายอานนท์" เขียนจดหมายถึงพ่อในเรือนจำ วาดภาพหิ่งห้อยพร้อมเขียนว่า “กักขังหิ่งห้อย เพื่อให้หลับฝันดี” หลังอานนท์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำนานนับปีด้วยผลของคดี ม.112     6 ส.ค. 2568 เฟซบุ๊ก “อานนท์ นำภา” เผยแพร่ภาพจดหมายที่ลูกสาวอานนท์ส่งถึงพ่อในเรือนจำ โดยระบุว่า “นานๆ ทีลูกสาวจะเขียนจดหมายให้” เนื้อหาในจดหมายเป็นภาพหิ่งห้อยหลายตัวบินอยู่ แต่มีหิ่งห้อยหนึ่งตัวที่ถูกขัง ด้านบนของจดหมายเขียนว่า “กักขังหิ่งห้อย เพื่อให้หลับฝันดี” อานนท์ นำภา เป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำนานนับปีด้วยผลของคดี ม.112 เขาถูกจับตาหลังขึ้นปราศรัยในกิจกรรมเสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย หรือม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563 เมื่อเขาได้ปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์พระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์, การออกกฎหมายจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์, การโอนอัตรากำลังพล ไปจนถึงการจัดสรรงบประมาณจากภาษีที่เกี่ยวกับสถาบันฯ หลังจากนั้นชื่อของอานนท์ก็พัวพันอยู่กับคดี ม.112 โดยเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา คำพิพากษาในคดีม.112 คดีที่ 9 ของอานนท์ตัดสินจำคุกเขาอีก 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา ทำให้อานนท์ต้องโทษจำคุกรวมถึง 24 ปี 33 เดือน 20 วัน (ประมาณ 26 ปี 9 เดือน 20 วัน) จากผลของคำพิพากษาคดี ม.112 จำนวน 9 คดี ซึ่งไม่มีคดีใดที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดเนื่องจากยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดีทั้งหมด เรื่องที่เกี่ยวข้อง * 24 ปี 33 เดือน 20 วัน โทษจำคุกทั้ง 12 คดีของ ‘ทนายอานนท์’ * On This Day - 3 ส.ค. 63 ‘อานนท์ นำภา’ ปราศรัยทะลุเพดาน #เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานยอดรวมผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองประจำเดือนกรกฎาคม 2568 ระบุ ปัจจุบันมีผู้ถูกดำเนินคดีใน ม.112 อย่างน้อย 282 คน ในจำนวน 315 คดี (จำนวนนี้อย่างน้อย 168 คดี ถูกดำเนินคดีเนื่องจากประชาชนร้องทุกข์กล่าวโทษ) ทั้งนี้ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนพยายามผลักดัน “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พ.ศ....” เพื่อหวังนิรโทษกรรมคดีการเมืองของทุกฝั่งฝ่าย นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา จนกว่ากฎหมายจะถูกประกาศใช้ รวมถึงนิรโทษกรรมคดีม.112 ด้วย แต่เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา สส. ในสภาได้มีมติโหวตไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน แต่สภามีมติรับหลักการของ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสันติสุขฯ พรุ่งนี้ (7 ส.ค. 2568) เวลา 12.45 น. เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนจะเดินทางไปที่อาคารรัฐสภา เพื่อเข้ายื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข เรียกร้องให้พิจารณานิรโทษกรรมรวมทุกฐานความผิด   * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * อานนท์ นำภา * ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน * เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน * คดี ม.112
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
สถานทูตสหรัฐฯ เผย ‘รูบิโอ’ หารือ ‘มาริษ’ แล้ว พร้อมช่วยประสานเจรจาหยุดยิง
สถานทูตสหรัฐฯ เผย ‘รูบิโอ’ หารือ ‘มาริษ’ แล้ว พร้อมช่วยประสานเจรจาหยุดยิง auser15 Sun, 2025-07-27 - 21:00 สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยเผยแพร่ถ้อยแถลงจากการประชุมทางโทรศัพท์ระหว่างรัฐมนตรีรูบิโอและรัฐมนตรีมาริษ เรียกร้องหยุดยิงและพร้อมช่วยประสานการเจรจาหยุดยิงในความขัดแย้งทางทหารกับกัมพูชา เมื่อ 27 กรกฎาคม 2025 สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเผยแพร่ถ้อยแถลงจากการประชุมทางโทรศัพท์ระหว่างรัฐมนตรีรูบิโอและรัฐมนตรีมาริษ ความว่านายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้หารือกับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยลดความตึงเครียดในทันที และตกลงหยุดยิงกับกัมพูชาในกรณีข้อพิพาทชายแดนที่กำลังดำเนินอยู่ รัฐมนตรีรูบิโอเน้นย้ำถึงความปรารถนาต่อสันติภาพของประธานาธิบดีทรัมป์ ตลอดจนความสำคัญของการหยุดยิงโดยทันที สหรัฐอเมริกาพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการหารือในอนาคต เพื่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * สหรัฐอเมริกา
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
รวมสถานการณ์แนวชายแดน-ฝ่ายการเมือง กรณีเหตุปะทะไทย-กัมพูชา 24 ก.ค.68
รวมสถานการณ์แนวชายแดน-ฝ่ายการเมือง กรณีเหตุปะทะไทย-กัมพูชา 24 ก.ค.68 admin666 Thu, 2025-07-24 - 12:39 รวมสถานการณ์ปะทะไทย-กัมพูชาตามแนวชายแดน และความเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองและการต่างประเทศในการแก้ปัญหาสถานการณ์ปะทะที่กำลังเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (24 ก.ค.) เบื้องต้นฝ่ายไทยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 3 คนในจำนวนี้เป็นเด็กอายุ 5 ขวบ 1 คน ส่วนฝ่ายทหารไทยบาดเจ็บ 7 ราย ตามรายงานระบุว่าเกิดจากการใช้จรวดชนิด BM-21 ยิงใส่ ส่วนฝ่ายไทยใช้ F-16 ตอบโต้ทำลายหน่วยทหารฝ่ายกัมพูชาได้  24 ก.ค.2568 หลังจากเช้าวันนี้กองทัพบกรายงานเหตุปะทะกันที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อเวลา 8.20 น. โดยก่อนหน้าเกิดการปะทะเมื่อเวลา 7.35 น. ทางฝ่ายทหารได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) และถูกระบุว่าเป็นของทางกัมพูชาและมีทหารกัมพูชา 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือเข้ามาในแนวลวดหนาม และไทยได้ตะโกนเจรจาไปแล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้อง * ด่วน ทบ.รายงานเกิดเหตุปะทะในพื้นที่ปราสาทตาเมือน ไทย-กัมพูชากล่าวหาโต้กันอีกฝ่ายเริ่มก่อน สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้การรายงานข่าว ตามมีรายงานเพิ่มเติมจากเพจของกองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์เพิ่มเติมตั้งแต่ 9.15 น.ทางกัมพูชาใช้อาวุธแตกอากาศเข้ามาฝั่งไทยและ 9.20 น.รายงานว่า เกิดการปะทะตลอดหน้าแนวด้วยอาวุธปืนเล็กยาว มีทหารไทยบาดเจ็บ 1 นาย จากนั้นกองทัพภาคที่ 2 รายงานในพื้นที่อื่นด้วยได้แก่ * ศรีสะเกษ เมื่อ 9.47 น. กองทัพภาคที่ 2 รายงานต่อว่าทางกัมพูชาใช้จรวด BM-21 ยิงจากฐานที่เขาแหลมตกใส่ปราสาทโดนตวล * สุรินทร์ เมื่อ 9.55 น. กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า ทางกัมพูชายิงใส่ลงในพื้นที่ชุมชน บริเวณศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อ.กาบเชิง * สุรินทร์ เมื่อ 10.03 น. กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า ทางกัมพูชารุกเข้าพื้นที่บริเวณปราสาทตาควาย และทางกองทัพไทยได้อนุมัติยิงปืนใหญ่ เมื่อ 10.30 น. กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าเกิดเหตุปะทะใน 6 พื้นที่ จากนั้น 10.38 น. NBT Connext รายงานจากทางกองทัพบกโดย พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เมื่อช่วงเวลา 09.20 น. พบการปะทะเพิ่มเติมตลอดแนวพื้นที่ผามออีแดง ปราสาทเขาพระวิหาร พบฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากใช้อาวุธทุกชนิดและ BM21 ส่วนฝ่ายไทยเข้าปะทะตามแผนพร้อมตอบโต้ปืนใหญ่สนาม โฆษก ทบ.ระบุต่อว่า มีรายงานว่า ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการปะทะที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา จำนวน 2 นาย จากอาวุธยิงสนับสนุน ในพื้นที่บริเวณกลุ่มปราสาทตาเมือน จังหวัดสุรินทร์ เวลา10.51 น.กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าเครื่องบินขับไล่ F-16 ของกองทัพไทยจำนวน 6 ลำ เตรียมตอบโต้ พื้นที่ช่องอ่านม้า จ.อุบลราชธานี จากนั้น 10.58 น. ยิงโจมตีใส่กอง บก.พลน้อย.สสน.8 บก.พลน้อย.สสน.9 ทำให้ถูกทำลายลงแล้ว โดยรายงานของกองทัพภาคที่ 2 ไม่ได้ระบุในโพสต์ว่าเป็นพื้นที่ใด เมื่อ 11.30 น. กองทัพภาคที่ 2  โพสต์คลิปภาพความเสียหายที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้มีนักเรียนและประชาชนได้รับบาดเจ็บ โดยระบุว่าเป็นผลจากกระสุน BM-21 ของฝ่ายกัมพูชา 11.54 น. NBT Connext โพสต์คลิปที่ระบุว่าเป็นโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ทหารในพื้นที่หมอบหลบหลัง ทหารกัมพูชา ยิง BM-21 โจมตี เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ   ประมาณ 12.00 น. ศูนย์เฉพาะกิจฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)  โดย พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษก ศบ.ทก. แถลงข่าวถึงสถานการณ์ตั้งแต่การวางทุ่นระเบิดที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี แล้วทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทยที่เดินลาดตระเวณเหยียบทุ่นระเบิดทำให้ข้อเท้าขวาขาด 1 นาย และมีเจ้าหน้าที่ทหารที่ได้รับบาดเจ็บแน่นหน้าออก 4 นาย โดยมีการส่งตัวรักษาแล้ว พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวถึง สถานการณ์เช้าวันนี้ตั้งแต่ 7.35 น. ฝ่ายกัมพูชาใช้โดรนบินตรวจการวางกำลังของไทยในบริเวณปราสาทตาเมือน จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาเคลื่อนกำลังมาที่แนวหน้าโดยมีทหารกัมพูชาที่ถือจรวด RPG มา จากนั้นสถานการณ์ได้ขยายพื้นที่ปะทะ 6 พื้นที่ได้แก่ พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก เขาพระวิหารบริเวณห้วยตามาเรีย ภูมะเขือ ช่องอานม้า และช่องจอม พลเรือตรี สุรสันต์ ขณะนี้ทางกัมพูชาได้ใช้จรวด BM-21 ขนาด 122 มม. ทำให้บ้านเรือนฝ่ายไทยเสียหายและมีประชาชนเสียชีวิต โฆษก ศบ.ทก. ระบุถึงผู้ได้รับบาดเจ็บว่า จากการปะทะทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการอพยพประชาชนในพื้นที่แล้ว เบื้องต้นมีรายงานว่ามีประชาชนได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 คนในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุ 5 ขวบ 1 คน ประชาชนเสียชีวิต 1 คน ในพื้นที่พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ส่วนการดำเนินการ พลเรือตรี สุรสันต์ ฝ่ายไทยได้ดำเนินการตั้งศูนย์บัญชาการทางทหารตาม พ.ร.บ.จัดเระเบียบกระทรวงกลาโหม โดยจะมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บังคับบัญชาในการใช้กำลังทางทหาร โฆษก ศบ.ทก.กล่าวถึงการดำเนินการปิดด่านชายแดนด้วยว่า เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันจึงยกระดับมาตราการชายแดนระดับ 4 ปิดทุกด่านเข้า-ออกตามแนวชายแดนกัมพูชา มาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ(กต.) กล่าวต่อว่า การควบคุมจุดผ่านแดนต่างๆ ที่ผ่านมา ศบ.ทก. ไมไ่ด้ปิดด่านเพียงแต่เพิ่มความเข้มงวดเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและความปลอดภัยของประชาชน แต่ด้วยสถานการณืปัจจุบันจำเป็นต้องปิดด่านเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน รวมถึงความปอลดภัยของประชาชนในพื้นที่ มาระตี ระบุว่า การดำเนินการด้านการต่างประเทศของทางกระทรวงเมื่อวานนนี้ กต. ได้บรยายสรุปแก่ทูตต่างประเทศและทูตทหารประเทศต่างๆ เรื่องกับระเบิดที่มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2568 ไทยได้รับการตอบรับอย่างดีจากประเทศต่างๆ โดยไทยได้ชี้แจงจุดยืนท่าทีและได้ดำเนินการประท้วงกัมพูชาโดยตรงและประทวงผ่านประธานในที่ประชุมซึ่งรัฐภาคีในอนุสัญญาออตตาว่าซึ่งได้รับทราบ โฆษก กต.กล่าวถึงใน ส่วนที่มีเจ้าหน้าที่ทหารไทย 5 นาย ได้รับบาดเจ็บเมื่อวานนี้ (23 ก.ค.) กต.ได้ประณามอย่างถึงที่สุด และ กต.จะเดินหน้าประท้วงต่อไปเช่นกัน ส่วนการปะทะที่เกิดขึ้นตอนนี้โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่ม กต.จะปกป้องผลประโยชน์และอธิปไตยร่วมกับกองทัพไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศต่อไป สถานการณ์ฝ่ายการเมือง หลังเกิดการปะทะ เมื่อเวลา 9.35 น.ก่อนที่สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนจะมีการขยายพื้นที่ปะทะ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ในพื้นที่ว่า  ตนรับทราบรายงานเมื่อเวลา 8.00 น. ว่าเกิดเสียงปืนดังขึ้นและตนกำลังดูรายละเอียด ส่วนเจ้าหน้าที่ในพื้นที่กำลังทำงาน จึงขอให้สื่อมวลชนระวังในการรายงานข่าว ทั้งนี้ ภูมิธรรมระบุด้วยว่า วันนี้เวลา 14.00 น. จะเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 สามารถประเมินและปฏิบัติการได้ทันทีหรือต้องขออนุญาตมาทางรัฐบาล ต้องขอหารือในที่ประชุมก่อน ขณะเดียวกันที่มีรายงานว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ให้ประชาชนไปที่หลุมหลบภัยนั้น ต้องขอตรวจสอบก่อน อย่างไรก็ตามภูมิธรรมกล่าวถึงสถานการณ์ก่อนที่จะมีรายงานข่าวเพิ่มเติมของกองทัพภาคที่ 2 ว่า ยังไม่มีเหตุการณ์จุดอื่นเพิ่มและยังคงมีจุดเดียว ยืนยันว่าไม่ใช่การปะทะกัน โดยพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม เป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงเดิมที่เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ทุกฝ่ายยอมรับ และยืนยันกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า เมื่อปี 2568 ตนเองไปเซ็นสัญญาให้ทางกัมพูชาขึ้นมาอยู่บนนี้ ไม่เป็นความจริง ซึ่งต้องถือว่าเป็นการพูดที่ไม่เป็นประโยชน์ การปลุกปั่นแบบนี้จะสร้างปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงได้ เพราะเรื่องปราสาทตาเมือธมเป็นการปฏิบัติตามหลักการเดิม ตามที่เคยใช้อยู่แล้วตั้งแต่ในอดีตมาเป็นสิบๆ ปี ไม่เกี่ยวกับตนเองและไม่เกี่ยวกับใครที่อยู่ในปัจจุบันทั้งนั้น ขออย่าอาศัยตรงนี้ทำลายประเทศด้วยวิธีการเอาข่าวเท็จมาปั่น จากนั้น จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการ ศบ.ทก. แถลงยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงเข้าใส่ทหารไทย โดยใช้อาวุธหนักต่อเนื่องคือจรวด BM-21 เข้าใส่พลเรือนไทยที่ชุมชนบริเวณชายแดน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จิรายุระบุจำนวนผู้เสียชีวิตขณะนี้มี 1 ราย และมีเด็กอายุ 5 ขวบได้รับบาดเจ็บสาหัส พร้อมคนในครอบครัวอีก 2 คน ซึ่งฝ่ายปกครองและฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ได้อพยพประชาชนไปที่ปลอดภัยแล้ว ส่วนทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 7 นาย  * ข่าว * ความมั่นคง * ปราสาทตาเมือนธม * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * มาลี สุจาตา * กระทรวงกลาโหมกัมพูชา * กองทัพบก * ศบ.ทก. * สุรสันต์ คงสิริ * มาระตี นะลิตา อันดาโม * ศูนย์เฉพาะกิจฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
Thai govt calls on Cambodia to cease attacks against military and civilian targets and stop acts that violate Thai sovereignty, says Thai Foreign Ministry spokesperson Nikorndej Balankura. No ASEAN member has offered to mediate so far, he says.
Reposted by BenchaMFP
ศาล รธน.นัด 10 ก.ย. ชี้ขาด กรณีต้องทำประชามติแก้ รธน.กี่ครั้ง
ศาล รธน.นัด 10 ก.ย. ชี้ขาด กรณีต้องทำประชามติแก้ รธน.กี่ครั้ง auser15 Tue, 2025-07-22 - 16:13 ศาลรัฐรรมนูญนัด 10 ก.ย. 2568 ชี้ขาด กรณีต้องทำประชามติแก้รัฐรรมนูญกี่ครั้ง 22 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐรรมนูญพิจารณาคำร้องที่ ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของ รัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210วรรคหนึ่ง (2) กรณีคราวประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ วันจันทร์ ที่ 17 มี.ค. 2568 พิจารณาญัตติด่วนที่นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้เสนอให้รัฐสภาพิจารณามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหา เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) โดยผลการลงมติในญัตติดังกล่าวว่า ที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นด้วยให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจ ของรัฐสภาตามญัตติ ต่อมาเมื่อวันที่ 21มี.ค.68 ประธานรัฐสภา ผู้ร้อง จึงส่งเรื่องดังกล่าว ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ศาลรัฐธรรมนูญ ให้พยานผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นเป็นหนังสือตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด เพื่อประกอบ การพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และเห็นว่าคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐาน เพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณา ของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง จึงนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันพุธที่ 10 ก.ย. 2568 เวลา 09.30 น. * ข่าว * การเมือง * ศาลรัฐรรมนูญ * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
dlvr.it
Reposted by BenchaMFP
สภาฯ เตรียมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2569 วาระ 2-3 วันที่ 13-15 ส.ค. นี้
สภาฯ เตรียมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2569 วาระ 2-3 วันที่ 13-15 ส.ค. นี้ auser15 Tue, 2025-07-22 - 16:18 อนุ กมธ.งบประมาณฯ เตรียมส่งผลพิจารณา 29-30 ก.ค. ขณะที่สภาผู้แทนราษฎร เตรียมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2569 วาระ 2-3 วันที่ 13-15 ส.ค. นี้ 22 กรกฎาคม 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา  รายงานว่า นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สภาผู้แทนราษฎร แถลงความคืบหน้าการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ว่า ได้พิจารณางบประมาณไปแล้ว รวม 224 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 15.36 โดยมีหน่วยงานที่ผ่านการพิจารณาแล้ว 420 หน่วยงาน งบกลาง 12 รายการ 9 แผนบูรณาการ กองทุน 34 กองทุน โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พิจารณาในมาตรา 28 จังหวัดและกลุ่มจังหวัด 94 หน่วยงานมาตรา 18 กระทรวงพลังงาน 5 หน่วยงาน มาตรา 31 หน่วยงานของศาล 3 หน่วยงาน มาตรา 32 หน่วยงานขององค์กรอิสระและองค์กรอัยการ 6 หน่วยงาน 2 กองทุน ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือ ทบวง และหน่วยงานภายใต้การควบคุมดูแลของนายกรัฐมนตรี รวม 4 หน่วยงาน นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาในมาตรา 35 สภากาชาดไทย มาตรา 30 หน่วยงานของรัฐสภา สามหน่วยงานหนึ่งกองทุน และมาตรา 25 กระทรวงสาธารณสุข 10 หน่วยงาน 2 กองทุน  ส่วนในสัปดาห์นี้ได้เริ่มพิจารณามาตรา 23 กระทรวงวัฒนธรรม 9 หน่วยงาน 4 กองทุน และมาตรา 33 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นการชี้แจงผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร และเทศบาลเมือง รวม 330 หน่วยงาน สำหรับแผนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ต่อจากนี้ ในวันที่ 29 - 30 กรกฎาคม คณะอนุกรรมาธิการฯ ทั้ง 8 คณะ จะมีการรายงานผลการพิจารณา พร้อมพิจารณารายการปรับลด และรายการอุทธรณ์ จากนั้นในวันที่ 31 กรกฎาคม จะพิจารณารายงานเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณ และจะพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ และนัด สส. เสนอคำแปรญัตติ ในวันที่ 1 สิงหาคม จากนั้น สภาผู้แทนราษฎร จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ในวาระ 2-3 ในวันที่ 13-15 สิงหาคม นี้ * ข่าว * การเมือง * งบประมาณรายจ่ายประจำปี * งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569
dlvr.it