PM 2.5 กับชาวไร่อ้อย (1) ทำความเข้าใจ ‘จำเลยสังคม’ ทำไมต้องเผา อนาคตไม่เผาได้หรือไม่
PM 2.5 กับชาวไร่อ้อย (1) ทำความเข้าใจ ‘จำเลยสังคม’ ทำไมต้องเผา อนาคตไม่เผาได้หรือไม่
admin666
Mon, 2025-12-01 - 20:46
“ชาวบ้านเนี่ยเข้าใจปัญหาครับ แต่คนเมืองหรือว่ารัฐบาลเข้าใจปัญหาของชาวไร่อ้อยหรือเปล่าว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง”
เกษตรกรชาวไร่อ้อยรายหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นกล่าว จากกรณีเกษตรกรชาวไร่อ้อยตกเป็นจำเลยสังคมจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่มาจากการเผาอ้อยในฤดูเก็บเกี่ยว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุของฝุ่นส่วนหนึ่งมาจากการเผาในภาคการเกษตร แต่ทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่ ‘ไร่อ้อย’ มากเสียยิ่งกว่าต้นตอจากแหล่งอื่นอย่างโรงงานอุตสาหกรรมหรือยวดยานพาหนะบนท้องถนน กลายเป็นว่าเกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากข้อจำกัดที่ต้องเผาและจากสังคมที่มองพวกเขาเป็นผู้ร้าย
ความเห็นชาวเน็ตต่อประเด็นการเผาอ้อย
ความเห็นชาวเน็ตต่อประเด็นการเผาอ้อย
เกษตรกรชาวไร่อ้อยนั้นทราบดีถึงคำครหา และต่างพยายามปรับเปลี่ยนวิถีชาวไร่อ้อยให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ แต่กระนั้นจากปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างที่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา การผลักภาระให้เกษตรกรลุยเดี่ยวก็อาจจะเกินกำลัง
อ้อย: พืชเศรษฐกิจของไทย ดาวรุ่งพุ่งแรงขนาดไหน
อ้อย เป็นทั้งพืชเศรษฐกิจของไทยและวัตถุดิบหลักในการผลิตน้ำตาลที่มีความต้องการบริโภคสูงทั่วโลก พื้นที่ปลูกอ้อยในไทยได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลอย่างมาก
นอกจากนี้ประเทศไทยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Hub) แห่งอาเซียน ภายในปี 2570 ส่งผลให้ความต้องการอ้อยเพิ่มขึ้นสูง ไม่เพียงเพื่อป้อนอุตสาหกรรมน้ำตาล แต่ยังเป็นวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมชีวภาพ (เช่น เอทานอล ไฟฟ้าชีวภาพ พลาสติกชีวภาพ เป็นต้น) ที่รัฐบาลกำลังผลักดันด้วย
ประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของโลก เป็นรองจากแค่บราซิลและอินเดีย น้ำตาลส่งออกของไทยมีสัดส่วนประมาณ 70% ของปริมาณน้ำตาลที่ไทยจำหน่ายทั้งหมด สร้างรายได้ให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ขึ้นทะเบียนกว่า 427,000 ราย โดยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 1 แสนล้านบาท
ปัจจุบัน พื้นที่ปลูกอ้อยในไทยปี 2567/2568 มีพื้นที่รวมกันแล้วทั้งสิ้น 11,161,324 ไร่ โดยภาคอีสานเป็นแหล่งปลูกอ้อยมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 4,999,222 ไร่ โรงงานน้ำตาลผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดแล้วกว่า 58 โรง และมีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล หากสถานการณ์เป็นไปตามยุทธศาสตร์อ้อยและน้ำตาล พ.ศ. 2558-2569 พื้นที่ไร่อ้อยในประเทศไทยจะเพิ่มเป็น 16 ล้านไร่ภายในปี 2569
“ถ้าพูดถึงว่าจะเปรียบเทียบกับรายได้ของการทำธุรกิจ มันสู้ทำธุรกิจไม่ได้ แต่ถามว่า
เปรียบเทียบกับพืชตัวอื่นก็ถือว่าอ้อยยังเป็นพืชที่ค่อนข้างจะมีอนาคต มีศักยภาพ เพราะเรามีพ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลทราย เรามีตัวแทน มีองค์กรที่ช่วยดูแลรักษาผลประโยชน์ให้กับชาวไร่อ้อย เป็นปากเป็นเสียงแทนเขา” ชัยวัฒน์ คำแก่นคูณ นายกสมาคมชาวไร่อ้อยน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น กล่าว
https://live.staticflickr.com/65535/54641099901_a925a48e52_b.jpg
[ชัยวัฒน์ คำแก่นคูณ นายกสมาคมชาวไร่อ้อยน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น]
ราคาอ้อยที่โรงงานรับซื้อไม่เท่ากันในแต่ละปี สำหรับฤดูการผลิต 2567/2568 ราคาอ้อยอยู่ที่ 1,160 บาท ต่อตัน ซึ่งถือว่าราคาตกต่ำ เทียบกับปีที่แล้วราคา 1,420 บาทต่อตัน ซึ่งถือเป็นราคาขั้นต้นที่ชาวไร่อ้อยจะไม่ขาดทุน
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าฤดูหน้าราคาอ้อยอาจจะไม่ถึง 1,000 บาท หากเป็นเช่นนั้นเกษตรกรชาวไร่อ้อยอาจจะต้องเหนื่อยกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ต้องลดการเผาอ้อยตามนโยบายรัฐบาล เพราะนั่นหมายความว่าต้นทุนในการตัดอ้อย (แทนการเผา) จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคารับซื้อกลับลดลงสวนทางกัน
ด้าน รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ จากภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชี้ว่า ราคาอ้อยถูกควบคุมโดย พ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลทรายซึ่งมีการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยกับโรงงาน แต่ราคาอ้อยจะถูกคำนวณจากราคาน้ำตาลเท่านั้น ทำให้แม้บางโรงงานสามารถนำไปผลิตไฟฟ้าหรือนำไปเพิ่มมูลค่าอย่างอื่น ชาวไร่อ้อยก็ไม่ได้รับเงินส่วนนี้เพิ่มมาเป็นราคาค่าอ้อย
https://www.flickr.com/photos/prachatai/54641104201/sizes/o/
[รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ จากภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น]
ดนุพล สอนตาง เกษตรกรชาวไร่อ้อยในอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ระบุว่า อ้อย 1 ไร่ให้ผลผลิตประมาณ 10 – 20 ตัน หากต่ำกว่าไร่ละ 10 ตัน ก็จะถือว่าขาดทุน ส่วนต้นทุนตกไร่ละประมาณ 10,000 บาท ถ้าดูแลดีก็สามารถปลูกได้ครั้งเดียวและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลายรอบ แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของดินในพื้นที่ด้วย ทั้งยังมีต้นทุนในการบำรุงตออ้อยเพิ่มเข้ามาทุกปีประมาณ 3,000 บาทต่อไร่
https://www.flickr.com/photos/prachatai/54640245907/sizes/o/
[ดนุพล สอนตาง เกษตรกรชาวไร่อ้อยในอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น]
ไร่อ้อยคือต้นตอของ PM 2.5?
“เขา(เกษตรกรไร่อ้อย) ก็บอกกันว่า ก่อนตัดอ้อยบางทีมันก็มี PM 2.5 มาก่อนแหละ ค่า PM 2.5 ก็สูงกว่าก่อนหน้าตัดอ้อย พฤติการณ์นี้คือช่วงโรงงานยังไม่เปิดด้วยซ้ำ ช่วงโรงงานปิดหีบแล้ว PM 2.5 บางส่วนก็ยังอยู่” ดนุพลเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเองกับเกษตรกรชาวไร่อ้อยรายอื่น ๆ จากข้อครหาว่าเป็นต้นตอของฝุ่น PM 2.5 จากการเผาอ้อย
หากเป็นอ้อยต้นฝนก็จะเริ่มปลูกช่วงก่อนฤดูฝนและเก็บเกี่ยวอีกครั้งช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ส่วนอ้อยปลายฝนจะเริ่มปลูกช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน และเก็บเกี่ยวในช่วงเดียวกันของปีถัดไป
หากดูจากช่วงเก็บเกี่ยวของอ้อยสองชนิดแล้ว จะเห็นได้ว่าการเผาอ้อยมักเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนของทุกปี และการเผาจะดำเนินไปเรื่อย ๆอีก ประมาณ 3-4 เดือน จนถึงช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
แม้ฝุ่น PM 2.5 จะมาจากหลายแหล่งด้วยกัน เช่น ภาคการเกษตร ยานยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม ในช่วงหลังมานี้การเผาในภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการเผานาข้าว ไร่ข้าวโพด ไร่หมุนเวียน ไร่อ้อย หรือแม้กระทั่งฝุ่นควันจากการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีส่วนทำให้ปัญหาฝุ่นควันในประเทศไทยทวีความรุนแรงมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า แม้อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้กว่าปีละ 1 แสนล้านบาท แต่กระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อยนั้นก่อให้เกิดฝุ่นละอองในภาคการเกษตรกว่า 23% และก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ยปีละ 2.4 ล้านตัน
“หิมะดำ” คือชื่อเรียกติดปากของเถ้าจากการเผาอ้อย ที่ฟุ้งกระจายไปทั่วในอากาศจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ จากคำบอกเล่าของเกษตรกร หิมะดำไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริเวณพื้นที่ที่มีการเผา แต่ยังลอยข้ามตำบลข้ามอำเภอได้
https://live.staticflickr.com/65535/54641406855_9ebd7b4c8c_b.jpg
[อ้อยในไร่ที่แรงงานกำลังตัด ชี้ให้เห็นขนาดความสูงของลำอ้อยเมื่อเทียบกับตัวคน]
ด้านเกษตรกรชาวไร่อ้อยในอำเภอชุมแพเองยังยอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยว่าหลังจากรับช่วงทำไร่อ้อยต่อจากที่บ้านเมื่อหลายปีก่อน ตนก็เคยเผาไร่อ้อยเช่นกัน เนื่องจากประสบปัญหาแรงงานขาดแคลนและค่าจ้างสูง อีกทั้งไร่อ้อยที่ปลูกไว้มีลักษณะเป็นร่องแคบ ไม่สามารถใช้เครื่องจักรเข้าไปจัดการได้
การเผาในไร่อ้อยต่างจากการเผานาข้าวอยู่มาก ต้นข้าวอย่างมากสูงไม่เกิน 150 ซม. แต่อ้อยยืนต้นเมื่อโตเต็มที่นั้นจะมีความสูงชะลูดไม่ต่ำกว่า 2-3 เมตร อีกทั้งใบอ้อยยังเป็นเชื้อเพลิงชั้นเยี่ยม เมื่อเกิดไฟไหม้ เปลวไฟจะลุกท่วมต้นอ้อยขึ้นไปอีกเท่าตัว ส่งผลให้เกิดฝุ่นควันรุนแรงกว่าพืชชนิดอื่นๆ และหากควบคุมไฟในไร่ไม่ดี ไฟก็มีสิทธิลามไปยังไร่อ้อยที่อยู่ข้างเคียงได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ดีเกษตรกรหลายรายระบุว่าการเผาอ้อยในปัจจุบันลดลงมากแล้ว และอยากขอความเป็นธรรมจากสังคม ไม่อยากให้ชี้นิ้วมาที่พวกตนว่าเป็นต้นตอของปัญหาฝุ่นควันทั้งหมด
หากพิจารณาสถิติช่วงระยะหลังมานี้ จะพบว่ามีแนวโน้มอ้อยไฟไหม้ลดลง โดยในฤดูการผลิต 2567/2568 ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล (สอน.) ณ วันที่ 8 เดือนเมษายน พบว่าปริมาณอ้อยไฟไหม้อยู่ที่ 13 ล้านตัน ของอ้อยทั้งหมดที่เข้าโรงงานจำนวน 92 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนแค่ 14% เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์
หากเทียบกันปีต่อปี จะเห็นว่าปริมาณอ้อยไฟไหม้ของฤดูล่าสุดในปีการผลิต 2567/2568 มีสัดส่วนลดลงกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับปริมาณอ้อยไฟไหม้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนอ้อยไฟไหม้ประมาณ 30% ของจำนวนอ้อยทั้งหมดที่เข้าโรงงาน และน้อยกว่าจากสิบปีก่อนที่มีปริมาณอ้อยไฟไหม้สูงกว่า 60%
ปริมาณอ้อยที่เข้าโรงงานและสัดส่วนอ้อยไฟไหม้ ปีการผลิต 2558/59 - 2567/68
ปีการผลิต
ปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด (ตัน)
ปริมาณอ้อยไฟไหม้
2558/59
94,047,042
60,913,419
2559/60
92,950,815
59,654,559
2560/61
134,929,298
89,431,138
2561/62
130,970,003
80,031,209
2562/63
74,893,175
37,183,474
2563/64
66,658,812
17,610,220
2564/65
92,032,142
25,099, 123
2565/66
93,887,882
30,781,303
2566/67
82,167,065
24,355,947
2567/68
92,042,832
13,680,921
สัดส่วนอ้อยไฟไหม้ต่อปริมาณอ้อยเข้าโรงงานในรอบ 10 ปี
ข้อมูลจาก สอน.ยังเผยให้เห็นถึงจุดความร้อนสะสมจากพื้นที่ปลูกอ้อยตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2567 – 8 พฤษภาคม 2568 จากจุดความร้อนทั้งหมดทั่วประเทศ 68,114 จุด มีจำนวน 4,436 จุดที่อยู่ในพื้นที่ปลูกอ้อย คิดเป็นเพียงแค่ 7% จากทั้งหมด
กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเป้าลดสัดส่วนอ้อยไฟไหม้ในฤดูหีบปี 2567/2568 ลงเฉลี่ยมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายไม่เกิน 25% ซึ่งในปีนี้ถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
รัฐบาลมักมีการตั้งเป้าเก็บอ้อยสดให้ได้ทั้งหมดเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ในแต่ละปีการผลิต แต่ก็ยังไม่สามารถลดอ้อยเผาให้หมดไปได้ขนาดนั้น
“วันนี้เรากำลังเริ่มต้นมาถูกทาง แต่ต้องขอเวลา ไม่ใช่สั่งวันนี้ พรุ่งนี้ต้องได้ มันเป็นไปไม่ได้นะครับ เช่น คุณจะให้ปริมาณอ้อยไฟไหม้มันลดลงจนเหลือ 0 ก็เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยมันก็ต้องมีเพราะโดนภัยธรรมชาติ” นายกสมาคมฯกล่าว
เผาอ้อย: มักง่ายหรือเพราะจำเป็น?
การเผาอ้อยถือเป็นวิถีปฏิบัติที่มีมาอย่างยาวนานของเกษตรกรชาวไร่อ้อยตั้งแต่ก่อนเรื่อง PM 2.5 จะกลายเป็นประเด็นเดือดในสังคมไม่กี่ปีมานี้ การเผาในไร่อ้อยแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วงหลัก ๆ คือ การเผาก่อนตัดส่งโรงงาน และ การเผาหลังตัด แต่ปัญหาฝุ่นที่พูดถึงกันอยู่นี้มักจะหมายถึงการเผาในช่วงแรก เพราะก่อให้เกิดฝุ่นควันจำนวนมากในระหว่างการเผา
สังคมอาจมองว่าการเผาอ้อยคือความมักง่ายของเกษตรกร แต่จากการพูดคุย เกษตรกรสะท้อนว่า การเผาอ้อยนั้นยุ่งยากกว่าที่คิดมาก เพราะต้องใช้แรงงานจำนวนมากเพื่อควบคุมแนวไฟไม่ให้ลามไปบริเวณข้างๆ ทั้งยังมีความเสี่ยงต่อชีวิต ตามที่เห็นได้จากข่าวที่มีคนถูกไฟคลอกในไร่อ้อยทุกปี นอกจากนี้อ้อยไฟไหม้ยังถูกโรงงานหักเงิน เนื่องจากอ้อยไฟไหม้มีค่าความหวานและน้ำหนักที่ลดลง แต่เกษตรกรหลายรายไม่มีทางเลือกมากนัก
“ชาวบ้านเนี่ยเข้าใจปัญหาครับ แต่ขณะเดียวกัน คนเมืองหรือว่ารัฐบาลเข้าใจปัญหาของชาวไร่อ้อยหรือเปล่าว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง” โสภิต อิงสา เกษตรกรชาวไร่อ้อยในอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น กล่าว
โสภิต อิงสา เกษตรกรชาวไร่อ้อยในอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
เรื่องการขาดแคลนแรงงานในไร่อ้อยเป็นเรื่องที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แรงงานไร่อ้อยค่อนข้างหายากเพราะ เกษตรกรส่วนใหญ่ก็มีอาชีพของพวกเขาอยู่แล้ว โสภิตยังสะท้อนว่า แรงงานวัยหนุ่มสาวก็หันไปทำอย่างอื่น งานในไร่อ้อยที่ทั้งร้อนและหนัก ไม่ตอบโจทย์แรงงานในวัยนี้ สถานการณ์ดังกล่าวจึงส่งผลให้แรงงานไร่อ้อยส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นกลุ่มที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไปจนถึงกระทั่ง 70 ปี
เมื่อขาดแคลนแรงงาน วิธีที่สะดวกและเร็วที่สุดสำหรับชาวไร่อ้อยคือการเผาก่อนตัด
“อ้อยสด 1 ต้น ต้นทุนสูงต่างกันแล้วนะ ความเร็วในการตัดก็ต่าง พอเป็นอ้อยไฟไหม้ก็ไม่ต้องสางใบ แค่ตัดยอดนิดหน่อยแล้วก็จับวางเลย มันตัดง่ายกว่า ไม่ต้องกวาดใบด้วย ถ้าเป็นอ้อยสดที่ต้องกวาดใบ ค่าแรงจะเพิ่มขึ้นมาอีก” ดนุพลกล่าว
ทั้งนี้ ในการตัดอ้อยสดนั้นจะเก็บเกี่ยวอ้อยได้ 1.8 ตันต่อวัน ในขณะที่อ้อยไฟไหม้จะเก็บเกี่ยวได้วันละถึง 5 ตัน ในการตัดอ้อยไฟไหม้ แรงงานไร่อ้อยคนหนึ่งเล่าให้ประชาไทฟังว่าสามารถตัดได้พร้อมๆ กันหลายต้นเพราะไม่มีใบให้ต้องสางแล้ว ทำให้ได้ลำอ้อยจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ ในขณะที่อ้อยสดต้องตัดทีละลำ อีกทั้งตั้นทุนค่าจ้างแรงงานตัดอ้อยสดก็สูงกว่าเพราะแรงงานต้องจัดการสางใบที่ทั้งเหนียวและยาวออกให้ด้วย
แม้การใช้รถตัดอ้อยจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้ แต่เกษตรกรชาวไร่อ้อยในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นรายเล็ก ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเฉลี่ยแล้วพื้นที่ปลูกอ้อยอยู่ที่ 15.6 ไร่ต่อครัวเรือนเท่านั้น
เกษตรกรส่วนใหญ่จึงมองว่าการใช้รถตัดนั้นไม่คุ้มค่า ทั้งข้อจำกัดเรื่องราคาสูงและขนาดพื้นที่ เพราะแปลงที่จะใช้รถตัดได้มักจะเป็นแปลงขนาดใหญ่ที่มีการเตรียมพื้นที่ไว้ให้รถตัดเข้าได้ เช่น ระยะห่างร่องอ้อยประมาณ 1.85 เมตรขึ้นไป
รายย่อยที่มีพื้นที่น้อยจึงต้องกลับมาพึ่งพาแรงงานคนเป็นหลัก แต่ก็จะวนลูปกลับไปที่ปัญหาขาดแคลนแรงงานอีกเช่นเคย การเผาจึงดูเหมือนจะเป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่ เพราะไม่อย่างนั้นก็อาจจะตัดอ้อยส่งขายไม่ทัน
“บางคนก็อาจจะงง เขาอาจจะนึกว่าเกษตรกรเผาเร่งรอบ เพราะอยากจะเร่งรอบเอง จะได้ปลูกได้เยอะๆ แต่ที่จริงโรงงานก็ไม่ค่อยรับอ้อยไฟไหม้ บางทีตัดอ้อยไฟไหม้ไปแต่ไปติดอยู่ 6-7 วัน กว่าที่จะได้เข้าโรงงาน น้ำหนักก็หายไป หรือบางทีอ้อยเน่า ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากเผา” ดนุพลกล่าวเสริมแง่มุมปัญหาการขายอ้อยไฟไหม้
นอกจากนี้ เวลาการปิดหีบของแต่ละโรงงานก็ไม่เท่ากัน ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยนี้ด้วย หากโรงงานประเมินว่าได้อ้อยน้อยหรืออ้อยหมดก็จะปิดหีบเร็ว แต่บางปีอาจเปิดหีบถึงเดือนเมษา จากปกติจะปิดหีบช่วงเดือนมีนาคม แล้วแต่สถานการณ์ในแต่ละปี และที่สำคัญ โรงงานน้ำตาลเป็นโรงงานที่ใช้ระบบเครื่องจักรไอน้ำ ต้องเดินเครื่องตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องให้มีอ้อยป้อนเข้าเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้นก็ขาดทุน จึงต้องมีการกำหนดวันเปิด-ปิดหีบ เกษตรกรไร่อ้อยจึงต้องรีบขายอ้อยในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น
อุบัติเหตุไฟไหม้ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยังมีอ้อยไฟไหม้อยู่ ไฟอาจจะมาจากข้างทางหรือมาจากก้นบุหรี่แล้วลามเข้าไร่อ้อยที่ติดไฟง่ายอยู่แล้ว เกษตรกรไร่อ้อยต้องแบกรับความเสี่ยง เกษตรกรบางรายจึงมีความกังวลว่าหากรัฐบาลมีนโยบายห้ามโรงงานรับซื้ออ้อยไฟไหม้ เกษตรกรรายนั้นอาจจะหมดตัวเอาได้
“บรรพบุรุษคนไทยเชื้อสายจีนหอบเสื่อผืนหมอนใบหนีความยากจนมาจากประเทศจีน แต่วันนี้พี่น้องชาวไร่อ้อยรายเล็กรายน้อยต้องหอบเสี่ยผืนหมอนใบไปนอนเฝ้าไร่อ้อยนะ เพราะว่าถ้าไร่อ้อยถูกเผาเนี่ย อาจจะไม่ได้ขาย และกว่าจะได้ขายอาจต้องใช้เวลา 9-10 วัน อ้อยจะเน่า อาจจะไม่ได้ขายเลย” นายกสมาคมฯกล่าวกับประชาไท ตามปกติเวลาอ้อยเข้าโรงงาน รถจะต้องไปจอดรอต่อคิวเข้า ซึ่งต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณอ้อยในแต่ละวัน ความพร้อมของโรงงาน เป็นต้น
ไม่เพียงแต่ข้อจำกัดข้างต้น แต่ในบางพื้นที่สภาพแวดล้อมก็ไม่เอื้ออำนวยให้ตัดอ้อยสด เช่น พื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งที่อยู่ของช้างป่า
‘เนตร’ คนงานไร่อ้อยอายุ 60 ปีในจังหวัดขอนแก่นเล่าให้ฟังว่า ไร่อ้อยในบริเวณดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเผาก่อนตัด เนื่องจากความหนาของใบอ้อยที่คลุมพื้นที่อยู่จะทำให้คนงานมองไม่เห็นช้างป่าที่กระจายตัวลงมาจากภูเขาเพื่อหากิน จึงต้องเผาก่อนตัดเพื่อให้คนงานมองเห็นช้างได้ชัดเจนมากขึ้น
ในระหว่างที่คนงานกำลังตัดอ้อยสด สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาคือ ใบอ้อยที่ถูกตัดแล้วนำมาวางซ้อนกันเป็นกองพะเนิน สูงเกือบครึ่งหน้าแข้ง หากเดินไม่ระมัดระวังหรือไม่ใส่รองเท้าบูท อาจถูกใบอ้อยที่มีความคมบาดได้ อ้อย 1 ไร่ (10-15 ตัน) มีปริมาณซากใบอ้อยประมาณ 1.5-2.5 ตันเลยทีเดียว นี่คืออีกหนึ่งปัญหาที่สร้างความปวดหัวให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยไม่น้อย และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่หลายคนเลือก ‘เผา’ ไม่ใช่เพียงเพราะความคมของใบ แต่เป็นเพราะไม่รู้จะจัดการกับใบอ้อยจำนวนมากนี้อย่างไร เพราะก็ต้องเตรียมแปลงสำหรับฤดูหน้า
“อันนี้คืออยากให้สาธารณะเข้าใจคนทำไร่อ้อยด้วยครับ ประเภทว่าจะไม่ให้จุดเลยหรืออะไรเลย แล้วก็ไม่รู้จะให้ทำยังไงกับใบอ้อยที่มี” โสภิตกล่าว ใบอ้อยคืออีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการเผาไร่อ้อย
อ้อยที่ตัดส่งโรงงานนั้นต้องริดใบออก เป็นเพราะว่าเครื่องจักรของโรงงานไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้ได้กับอ้อยที่ยังมีใบหลงเหลืออยู่ ภาระในเรื่องการจัดการใบอ้อยจึงตกเป็นของเกษตรกรไร่อ้อย
ใบอ้อยมีลักษณะค่อนข้างแห้งและเหนียว ย่อยสลายยากหากไม่มีความชื้น ใบอ้อยจะแห้งอยู่อย่างนั้นไปอีก 4-5 เดือนเป็นอย่างน้อยจนกว่าจะมีฝน หากเกษตรกรต้องการปลูกใหม่ทั้งหมด การไถกลบใบอ้อยก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำได้เลย แต่หากต้องการไว้ตอเพื่อให้อ้อยขึ้นใหม่ในฤดูหน้า เกษตรกรหลายรายก็เลือกที่จะเผาใบอ้อย เพื่อตัดวงจรของเชื้อเพลิงที่อยู่ในแปลง เพราะหากเกิดไฟลามเข้าไร่ ตออ้อยที่เริ่มงอกใหม่ไปแล้วจะเสียหายได้ แม้แต่ใบอ้อยเองถ้าหากกวาดมาวางกองรวมกันอาจเกิดแก๊ส ทำให้เพลิงลุกไหม้ได้
สองข้างทางในอำเภอชุมแพและอำเภอน้ำพอง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกอ้อยส่งโรงงานเป็นจำนวนมาก กลับแทบไม่พบไร่ที่เป็นอ้อยไฟไหม้เลย ท่ามกลางสภาพที่เปลี่ยนไป เกษตรกรชาวไร่อ้อยหลายรายและนายกสมาคมฯ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอ้อยเผาลดลงเหลือน้อยมากแล้วหากเทียบกับอดีต เพราะชาวไร่อ้อยจำนวนมากในวันนี้ยอมแบกรับต้นทุนเพื่อการสนองนโยบายในการแก้ปัญหา PM 2.5 ของรัฐบาลแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกษตรกรยังคงรอคอยคือมาตรการที่จะมาช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านนี้
มาตราการรัฐตอบโจทย์สำหรับเกษตรกรแล้วหรือไม่?
ในช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา มีกรณีสร้างความฮือฮาในกลุ่มกลุ่มเกษตรกรชาวไร่อ้อย จากกรณีกระทรวงอุตสาหกรรมสั่งปิดโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี และโรงไฟฟ้าไทยอุดรธานี จากเหตุที่โรงงานเปิดรับอ้อยไฟไหม้ปริมาณมากเกิน 25% ตามที่รัฐกำหนด โดยโรงงานนี้รับซื้ออ้อยเผาเข้าหีบสะสมสูงที่สุดถึง 43.11% จากนโยบายของรัฐบาลที่ให้รับซื้ออ้อยสด 75% อ้อยไฟไหม้ 25%
เกษตรกรหลายรายมองว่า เป็นการออกข้อกำหนดอย่างกระทันหันและมัดมือชกเกินไป ส่งผลให้อ้อยจำนวนมากของเกษตรกรต้องตกค้างนานจนอ้อยเสียหายและไม่ได้ราคา ไม่ใช่เพียงแค่อ้อยไฟไหม้เท่านั้น แต่อ้อยสดก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะรถขนอ้อยต้องไปติดอยู่หน้าโรงงานหลายวัน เกษตรกรระบุว่า การที่ออกข้อกำหนดให้โรงงานไม่รับซื้ออ้อยเผา เป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่าการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ในส่วนของมาตราการอื่น ๆ รัฐบาลเริ่มมีมาตรการสนับสนุนอ้อยสดเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองในภาคเกษตรตั้งแต่ปี 2562 นั่นส่งผลให้ปริมาณอ้อยไฟไหม้ลดลงต่อเนื่องอย่างมีนัยยะสำคัญ สัดส่วนอ้อยไฟไหม้ในปี 2562 ลดลงมาเหลือไม่เกิน 50% เริ่มแรกมีการประกาศให้โรงงานรับซื้ออ้อยไฟไหม้ไม่เกิน 20%
แต่ต่อมาในปี 2567 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ปรับอัตรารับซื้ออ้อยไฟไหม้ไม่เกิน 25% ของอ้อยทั้งหมด
นอกจากนี้ยังอนุมัติอัตราการหักเงินชาวไร่อ้อยที่ส่งอ้อยไฟไหม้ โดยเริ่มต้นที่ 30 บาท และหากมีปริมาณอ้อยไฟไหม้มากว่า 25% ชาวไร่อาจถูกหักได้มากถึง 130 บาท
“ผมก็อยากจะให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับมาตรการ PM2.5 ที่นอกเหนือจากการมาลงโทษชาวไร่อ้อย เพราะว่าคนเหล่านี้น่าสงสารนะ คุณมาลงโทษเขา กว่าเขาจะได้ขายอ้อยแต่ละลำ มันยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน” ชัยวัฒน์กล่าว
ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีมาตราการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ตัดอ้อยสด 120 บาทต่อตัน มาตราการนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ฤดูการผลิต 2563/2564 แต่นโยบายนี้ยังมีช่องโหว่คือ มีแค่เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและมีโควตากับโรงงานน้ำตาลเท่านั้นที่จะได้รับเงินจำนวนนี้
นายกสมาคมไร่อ้อยน้ำพองยังระบุเพิ่มเติมว่า เกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือดังกล่าวก็ต่อเมื่ออ้อย 1 ตันนั้นเป็นอ้อยสดทั้งหมด หากมีอ้อยไฟไหม้แม้เพียง 1 ลำ ก็จะไม่ได้รับสิทธิในเงินช่วยเหลือ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่ค่อนข้าง ‘ตึงมาก’ สำหรับเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของนโยบายนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา ตั้งแต่ฤดูการผลิต 2566/2567 เกษตรกรชาวไร่อ้อยก็ยังคงรอคอยเงินช่วยเหลือก้อนนี้จากรัฐบาลอยู่ การจ่ายเงินยังไม่ได้เป็นกิจลักษณะเท่าใดนัก ขณะนี้ทางสมาคมไร่อ้อยทั่วประเทศก็พยายามผลักดันและทวงถามอยู่เรื่อย ๆ
เงิน 120 บาทอาจจะเป็นเงินไม่มาก ทางสมาคมชาวไร่อ้อยน้ำพองกล่าวเพิ่มเติมว่า เงินจำนวนนี้ไม่ถึงขนาดช่วยให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นมากมาย แต่ก็ช่วยให้ชาวไร่อ้อยขาดทุนน้อยลงไปบ้าง ทั้งนี้ต้นทุนการตัดอ้อยก็อยู่ที่การบริหารจัดการภายในไร่อ้อยของเกษตรกรแต่ละราย แต่อย่างน้อยเงินส่วนนี้ก็เสมือนเป็นส่วนช่วยให้เกษตรกรมีกำลังใจในการตัดอ้อยสดต่อไป
แม้ว่าล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2568 ครม.จะออกมาตรช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดในปีการผลิต 2567/68 วงเงินกว่า 5,175 ล้านบาท โดยจ่าย 69 บาทต่อตัน อย่างไรก็ดี เกษตรกรก็ยังไม่ได้คำตอบเรื่องเงินอุดหนุนที่ยังค้างจ่ายในสองปีที่ผ่านมา
ในปีที่ผ่านมารัฐบาลยังได้หาทางออกให้กับปัญหาการเผาใบอ้อยโดยการสนับสนุนให้เกษตรกรขายใบอ้อยให้โรงงานเพื่อนำไปผลิตไฟฟ้าชีวมวล ราคารับซื้อใบอ้อยอยู่ที่ตันละ 750-1,000 บาท แต่เกษตรกรชาวไร่อ้อยก็สะท้อนกลับมาว่าในความเป็นจริงแล้วนโยบายนี้ยังไม่มีความสม่ำเสมอทั่วกัน เพราะไม่ใช่ทุกโรงงานที่ยินดีจะรับซื้อใบอ้อยจากเกษตรกร
ใบอ้อยที่กระจัดกระจายอยู่ตามไร่ต้องถูกรวบรวมและนำมาอัดก้อนขนาดใหญ่ ก่อนขนส่งใส่รถบรรทุกไปที่โรงงานน้ำตาล เพื่อให้โรงงานน้ำไปผลิตไฟฟ้าชีวมวลต่อไป ทุกกระบวนการที่เกิดขึ้น ตั้งแต่กวาดใบอ้อยจนถึงการขนส่งล้วนเป็นต้นทุนที่ตกอยู่กับเกษตรกรทั้งสิ้น ต้นทุนเหล่านี้จะถูกหักออกจากราคาขายใบอ้อย สุดท้ายเกษตรกรก็ไม่ได้รับเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้ไม่มีแรงจูงใจมากพอให้อยากขายใบอ้อย
‘โรงงานน้ำตาล’ ตัวแสดงที่ถูกลืมในสมการ
หลายครั้งที่บทสนทนาเรื่องนี้มีเพียงแค่การตอบโต้กันไปมาระหว่าง ‘คนเมือง’ กับ ‘ชาวไร่อ้อย’ ฝ่ายหนึ่งตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะที่อีกฝ่ายก็พยายามสะท้อนถึงข้อจำกัดที่ตนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ตัวแสดงที่สำคัญอีกตัวหนึ่งเลือนหายไป นั่นคือ ‘โรงงานน้ำตาล’ ที่ในเวลานี้เหมือนมีแค่หน้าที่รอรับซื้อเพียงเท่านั้น เกษตรกรกลายเป็นคนกลุ่มเดียวที่รับจบในทุกปัญหาที่เกิดขึ้น
หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าโรงงานคือฟันเฟืองสำคัญที่จะเข้ามาสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ไปได้
“เรื่องนี้ควรเป็นโรงงานที่ทำ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะตัดแล้วเอาใบไปด้วยเลย ไม่ต้องสาง ซึ่งอินเดียเขาก็ทำแบบนี้ เพราะว่าพวกเศษชานอ้อยก็เอาเข้าโรงงานอยู่แล้ว พวกใบเขาก็มีคนไปขายโรงงานไฟฟ้าอยู่แล้ว ถ้าเอาไปแบบนั้นเขาน่าจะจัดการได้เพราะโรงงานเป็นทุนใหญ่” ดนุพลกล่าวถึงประเด็นเรื่องใบอ้อยที่หลงเหลืออยู่ในไร่อ้อยหลังจากตัดอ้อยส่งโรงงานน้ำตาล
เจ้าของไร่มองว่านอกจากลำอ้อยแล้วก็ควรรับเอาใบไปทั้งหมดด้วย ส่วนในแง่การคำนวณน้ำหนัก คำนวณความสูญเสียควรเป็นหน้าที่ของโรงงาน
นายกสมาคมชาวไร่อ้อยน้ำพองกล่าวว่า โดยปกติเกษตรกรรายย่อยเข้าไม่ถึงเครื่องจักร อย่างเครื่องตัดอ้อยก็มีมูลค่าถึง 10-12 ล้านบาท โรงงานจึงควรจะเป็นคนที่เข้ามาสนับสนุนในส่วนนี้ และหลายโรงก็มีเครื่องจักรที่ว่าอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ควรทำต่อไปคือการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ชาวไร่อ้อยในการเตรียมแปลงปลูกเพื่อให้เหมาะสมที่เครื่องจักรจะเข้าไปจัดการได้ หลังจากนั้นโรงงานก็ควรจัดโซนนิ่งรวมแปลงไร่อ้อยของรายเล็กหลาย รายและเข้าไปรับจ้างตัดอ้อยให้เกษตรกรในอัตราที่เป็นธรรม
เพราะท้ายที่สุดแล้วอ้อยทั้งหมดที่เกษตรกรปลูกก็ตกเป็นของโรงงานอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องไปแก่งแย่งกับโรงงานอื่นอีก
“โรงงานต้องถือว่าเกษตรกรก็คือลูกไร่ของคุณ เราก็เหมือนกับคนในครอบครัวเดียวกัน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” นายกสมาคมฯกล่าว
ในวันนี้คำถามจึงไม่ควรมีแค่เพียงว่า ‘ทำไมเกษตรกรจึงยังเผาอ้อยอยู่’ แต่อาจต้องขยับไปคำถามที่ว่า ‘ใครควรเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของเกษตรกรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในลดฝุ่น PM2.5’’
* รายงานพิเศษ
* สิ่งแวดล้อม
* ไร่อ้อย
* โรงงานน้ำตาล
* เผาไร่อ้อย
* PM2.5
* มลพิษ