kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
banner
kitnyctophile.bsky.social
kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
@kitnyctophile.bsky.social
non-binary 📚🎨🎧🐶🐱 support lgbtqian+, feminist, human rights. socialism. against dictatorship. #คำหน้านามตามเจตจำนง #ต่อต้านสงคราม
Pinned
"Conversion practices” cause lifelong harm—and it's still happening in Thailand. Survivors like Nikki are speaking out. Join us in calling for a total ban. 🏳️‍⚧️ Sign & share the petition now! #LGBT #HumanRights #BanConversionTherapy a.allout.org/s/WNB1E/
Ban “Conversion Practices” in Thailand Now
“Conversion practices” are still harming LGBT+ people in Thailand. Survivors like Nikki are bravely speaking out. It's time to act. Sign the petition to demand a national ban! #BanConversionTherapy #T...
a.allout.org
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
Physicians for Human Rights-Israel reveals torture, abuse carried out against Palestinians held in Israeli prisons.
‘It’s Israeli policy’: Report reveals abuse of Palestinians in prisons
Physicians for Human Rights-Israel reveals torture, abuse carried out against Palestinians held in Israeli prisons.
bit.ly
November 19, 2025 at 7:00 PM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
Sudan is the world's worst displacement crisis, with many refugees attempting to head to Europe.
What is Europe’s role in Sudan’s refugee crisis?
Sudan is the world's worst displacement crisis, with many refugees attempting to head to Europe.
bit.ly
November 19, 2025 at 9:00 PM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
Despite stark findings, World Health Organization says violence against women and girls is 'a deeply neglected crisis'.
Nearly one-third of women worldwide faced partner or sexual violence: WHO
Despite stark findings, World Health Organization says violence against women and girls is 'a deeply neglected crisis'.
bit.ly
November 19, 2025 at 9:30 PM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
#OtD 17 Nov 1866 American anarchist Voltairine de Cleyre was born. As well as advocating for workers' control of production, she attacked female beauty ideals, gender roles for children & marriage laws which allowed men to rape their wives. Posters here: shop.workingclasshistory.com/collections/...
November 17, 2025 at 9:40 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
#OtD 17 Nov 1982 50 members of the English Collective of Prostitutes occupied the Holy Cross Church in King's Cross, London, in protest against police harassment and racism. Lasting 12 days it did not achieve its aims but sparked further organising. More: shop.workingclasshistory.com/products/sex...
November 17, 2025 at 10:25 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
#OtD 17 Nov 1915 thousands of housewives and workers of Glasgow marched on the sheriff's court in support of 20,000 rent strikers, leading to the introduction of rent controls throughout the UK stories.workingclasshistory.com/article/8925...
November 17, 2025 at 5:26 PM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
#OtD 18 Nov 1967 Korean workers working for the US army in Vietnam rioted when dissatisfied with their food. Despite three being killed, workers attacked army police with bulldozers, trucks and hijacked boats and persisted for four days stories.workingclasshistory.com/article/9041...
November 18, 2025 at 12:10 PM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
South Korea's 'bihon' generation: How young women are reimagining life without marriage
It is an act of resistance & a declaration of independence, socially & economically, in a society where women face the widest gender pay gap among OECD nations, alongside deep-rooted discrimination & sex crimes.
Korea's 'bihon' generation: How young women are reimagining life without marriage - The Korea Times
The air was cold but the atmosphere buzzy as a crowd of 2,000 women streamed into a three‑story building in Seoul’s trendy Seongsu‑dong on the firs...
www.koreatimes.co.kr
November 12, 2025 at 3:48 PM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
1 in 10 Hong Kong women struggles to afford menstrual products as group urges ‘period poverty’ awareness
About 25 per cent of respondents changed their sanitary pads three times a day during their periods – half the frequency recommended for maintaining basic hygiene and reducing infection risks.
1 in 10 HK women struggles to afford menstrual products
One in 10 HK women struggles to afford menstrual products and has to reduce their usage to save money, according to a study, prompting a group to call for greater awareness of “period poverty” in the ...
hongkongfp.com
November 8, 2025 at 3:14 PM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
66% of domestic workers say buying menstrual products causes financial stress, Hong Kong NGO finds
More than a quarter of respondents reported they did not have enough access to period products.
66% HK domestic workers struggle to afford menstrual products, NGO finds
Around two-thirds of migrant domestic workers in Hong Kong say purchasing menstrual products places a financial strain on them, according to an NGO's survey on period poverty.
hongkongfp.com
November 16, 2025 at 11:19 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
ม็อบเพื่อโลกครั้งใหญ่ คนครึ่งแสนลงถนน ทวงความเป็นธรรมโลกร้อน
ม็อบเพื่อโลกครั้งใหญ่ คนครึ่งแสนลงถนน ทวงความเป็นธรรมโลกร้อน รายงาน และภาพประกอบ : ณิชา เวชพานิช  XmasUser Mon, 2025-11-17 - 06:38 เมื่อ 15 พ.ย. 68 ในขณะที่มีการจัดงานประชุมรับมือภาวะโลกร้อน ครั้งที่ 30 (COP30) ที่บราซิล ปีนี้เป็นปีที่สำคัญเนื่องจากนานาประเทศ รวมถึงไทย จะต้องมานำเสนอแผนลดโลกร้อนของตัวเองช่วง 10 ปีต่อจากนี้  ในเวลาเดียวกัน ห่างจากสถานที่จัดประชุมประมาณ 2 กม. ประชาชนนานาประเทศอีกครึ่งแสนได้ออกมาเดินรณรงค์บนท้องถนนเมืองเบเลง เพื่อส่งเสียงถึงผู้นำนานาชาติว่าพวกเขาพอแล้วกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อนแบบปลอมๆ แต่ต้องการการแก้ไขอย่างจริงจัง   16 พ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานวานนี้ (15 พ.ย.) ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ประชาชนราว 50,000 คนจากหลากหลายประเทศ ร่วมเดินเท้าลงถนน รณรงค์ส่งเสียงผู้นำ 197 ประเทศที่มาร่วมประชุมหาทางรับมือโลกร้อน ครั้งที่ 30 (COP30) โดยผู้เข้าร่วมเดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 4 กม. จากบริเวณภายในเมืองเบเลงถึงสนามกีฬา ซึ่งอยู่ห่างจากที่จัดประชุมราว 2 กม. โดยมี อันเดร โกเรอา โด ลาโก ประธานการจัดประชุม COP30 และเป็นตัวแทนรัฐบาลบราซิล พร้อมด้วยคณะ มารับหนังสือข้อเรียกร้องจากงานประชุมโลกร้อนภาคประชาชน ผู้เข้าร่วมการเดินขบวนมาจากหลากหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น ชาวเมืองเบเลง ชาวบราซิล ชาวต่างชาติ ชนเผ่าพื้นเมืองในอะแมซอน เครือข่ายชาวบ้านได้รับผลกระทบจากเขื่อนและเหมือง ชาวไร่ที่ไม่มีโฉนดที่ดิน นักสิ่งแวดล้อมจากหลากหลายประเทศ ชาวประมง กลุ่มเฟมินิสต์ คนเมืองเบเลง ชาวปาเลสไตน์ รวมถึงผู้ที่มาเป็นครอบครัว บรรยากาศการเดินขบวนของประชาชนนานาประเทศ เพื่อส่งข้อเรียกร้องถึงผู้นำที่เข้าร่วมประชุม COP30 สำหรับกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "งานประชุมโลกร้อนภาคประชาชน" (People’s Summit) ซึ่งจัดคู่ขนานไปกับงานประชุม COP30 ภายในงานประชุมเป็นการรวมตัวของประชาชน และอนุรักษ์จากทั่วโลก เพื่อแสดงจุดยืนกดดันและเรียกร้องผู้นำ และนับเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่ในรอบหลายปี โดยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาการประชุมโลกร้อนจัดในประเทศที่มีปัญหาด้านเสรีภาพการแสดงออก ทำให้ไม่มีการรวมตัวของภาคประชาชน  ขณะที่การประชุมโลกร้อน COP30 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-21 พ.ย.นี้ นับเป็นประชุมโลกร้อนครั้งสำคัญ เนื่องจากครบรอบ 10 ปีความตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงสำคัญที่รัฐบาลนานาประเทศได้ข้อสรุปสิ่งที่จะทำร่วมกันเพื่อลดโลกร้อน และปีนี้ยังเป็นปีที่รัฐบาลนานาชาตินำเสนอแผนลดโลกร้อนในช่วง 10 ปีข้างหน้าใหม่ อีกทั้ง จะมีการหารือเรื่องข้อสรุปกลไกการเงินโลกร้อนต่างๆ ทั้งกองทุนอนุรักษ์ป่าไม้เขตร้อน และกองทุนเพื่อเยียวยาผลกระทบจากโลกร้อน ไม่เอาแล้วทางออกลวง เราขอทางออกจริง เกศินี แก้วเจริญ ผู้ประสานงานมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDF) ที่ทำงานกับชาวประมงพื้นบ้านที่เพชรบุรี และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือหนึ่งในคนไทยที่มาร่วมเดินขบวนวันนี้ โดยเธอร่วมเดินกับกลุ่มเครือข่ายชาวประมงโลก (The World Forum of Fisher Peoples : WFFP) ซึ่งทำงานกับชาวประมงกว่า 20 ประเทศ  “เรามาประชุมภาคประชาชน เพราะมองว่าภาคประชาชนควรจะมีอำนาจหรือพื้นที่ในการตัดสินใจของตัวเอง เข้าไปตัดสินใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนเองมากกว่าการที่มาอยู่ใน COP ซึ่งอาจจะมีแต่นักลงทุนหรือบริษัทน้ำมัน ซึ่งไม่ได้มีความก้าวหน้าอะไรเลย”  "เรามองว่าเรื่องงานประชุมโลกร้อนเป็นประเด็นสำคัญ เพราะเรามีนโยบายระดับโลกบางอย่างที่ลงไปในพื้นที่แลัวส่งผลกระทบกับประมงพื้นบ้าน เช่น คาร์บอนเครดิต เป้าหมายอนุรักษ์ทะเล 30x30 อยากให้รัฐบาลไทยทำนโยบายให้ชัดเจน ตอนนี้ไทยมีแผนเกี่ยวกับโลกร้อนเยอะมากแล้ว แต่ยังไม่เห็นการปฏิบัติ อยากให้รัฐบาลไทยทำจริงจังมากกว่านี้" เกศินี กล่าว  เธอยังกังวลเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต -  หน่วยวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บได้จากการทำโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนไม่ได้เท่าที่ควร จึงซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซกับอีกประเทศผ่านกลไกนี้  ประเทศไทยมีการทำโครงการคาร์บอนเครดิตแพร่หลาย เช่น โครงการคาร์บอนเครดิตป่าชายเลนที่มีชุมชน บริษัทเอกชน และภาครัฐดำเนินโครงการ ด้วยกัน เกศินีย้ำว่าเมื่อมีโครงการที่ขึ้นชื่อว่าอนุรักษ์ใหม่ๆ แบบนี้เข้ามา ชาวบ้านมีสิทธิจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำ  นอกจากนี้ นักอนุรักษ์หลายคนยังมองว่า คาร์บอนเครดิตเป็น “ทางออกปลอม” ซึ่งเบี่ยนเบนผู้ก่อมลพิษจากการลดปล่อยก๊าซในธุรกิตของตนไปหวังพึ่งซื้อเครดิตจากแหล่งอื่น ซึ่งหบายโครงการมักจะกระทบชุมชน ทำให้ชาวบ้านถูกไล่ออกจากที่ป่า และหันมาส่งเสริม “ทางออกที่แท้จริง” แทน  ความเสียหายจากโลกร้อน ควรได้เงิดชดเชย ไทยเป็นประเทศได้รับผลกระทบจากสภาพอากาสเปลี่ยนแปลงอันดับต้นๆ ของโลก เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมตอนปลายนี้ ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนก็เช่นกัน นักสิ่งแวดล้อมไทย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ต่างเห็นตรงกันว่ารัฐบาลของตนจะต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แล้วนำเรื่องนี้ไปต่อรองกับประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อให้สนับสนุนเงินให้ประเทศแบบไทยนำมาใช้ปรับตัวรับมือโลกร้อนหรือชดเชยผู้คน อูลี อาร์ตา เซียเกียน วัยสามสิบปีจากองค์กรสิ่งแวดล้อมวอลฮี (WALHI) อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายสิ่งแวดล้อมนานาประเทศ Friends of the Earth เป็นคนหนึ่งที่มาร่วมล่องเรือประท้วงการประชุมโลกร้อนเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ท่ามกลางเรือนับสองร้อยลำที่ปากแม่น้ำเกาม่า ซึ่งรายล้อมเมืองเบเลง และเป็นทางน้ำที่นำไปสู่ลุ่มน้ำอะเมซอน ผืนป่าสำคัญของโลกที่เป็นสาเหตุที่ประชุมโลกร้อนปีนี้ "สำหรับเรา การที่ประชาชนมารวมตัวจัดงานโลกร้อนคู่ขนานเองนั้นสำคัญ เพราะเป็นวาทกรรมโต้กลับจากงาน COP หลัก ในงานประชุมโลกร้อนของผู้นำ หลายคนคุยกันเรื่องสภาพภูมิอากาศ แต่เรากลับไม่ได้ทางออกที่แท้จริง" อูลี กล่าว "เราคุยกันเรื่องความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage) แต่ประเทศซีกโลกเหนือกลับไม่ใส่เงินในกองทุนนี้มากพอ ประเทศของฉัน อินโดนีเซีย เป็นหมู่เกาะและมีพื้นที่ชายฝั่งใหม่ ผู้คนที่ชายฝั่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นแนวคิดนี้เลยสำคัญกับผู้คนที่อินโดนีเซียมาก แต่รัฐบาลแทบไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย" เกศินี เองก็เห็นไม่ต่างกัน เพราะเธอมองว่าชาวนาไทยกำลังเดือดร้อนผลผลิตน้อยเพราะโลกร้อน การปรับตัวหาวิธีปลูกข้าวใหม่ๆ จะต้องใช้เทคโนโลยี  “แต่เทคโนโลยีราคาแพงนะคะ เราต้องคุยกันเรื่องเงิน เงินต้องไม่เป็นมารูปแบบประเทศมหาอำนาจให้เงินกู้ยืมทำให้ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยติดหนี้ แต่จะต้องเป็นเงินให้เปล่า แล้วลงถึงชุมชน” เธอทิ้งท้าย  ประชุมโลกร้อนไม่ควรเป็นพื้นที่ล็อบบี้ ปัง เดลกร้า ชาวฟิลิปปินส์ จากเครือข่ายประชาชนเอเชียเรื่องหนี้และการพัฒนา (Asian Peoples’ Movement on Debt and Development: APMDD) เป็นชาวอาเซียนอีกรายหนึ่งที่ออกมาเรียกร้องร่วมประชาชนบนท้องถนนเมืองเบเลง ปัง เดลกร้า ในวันประชุมวันแรก (10 พ.ย.) ‘ปัง’ กับเครือข่ายไปประท้วงหน้า 'โซนเกษตร' (Agrizone) โซนที่จัดขึ้นพิเศษในการประชุมโลกร้อน เพื่อหารือบทบาทของภาคเกษตรและระบบผลิตอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุการตัดไม้ทำลายป่าหลักและปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักในโลก ไม่แพ้อุตสาหกรรมฟอสซิล โดยนักอนุรักษ์หลายคนมองว่าพื้นที่นี้กลับถูกนายทุนธุรกิจเกษตร “ล็อบบี” การเจรจาอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ออกนโยบายที่ทำให้ธุรกิจเสียผลประโยชน์ "โซนธุรกิจเกษตรนี่เป็นคำโกหกครั้งใหญ่ สร้างปัญหาต่อวิกฤตอาหารและสภาพภูมิอากาศที่พวกเรากำลังเผชิญในภูมิภาคบ้านเรา โดยเฉพาะหน้าไต้ฝุ่นตอนนี้ ในไม่ช้า วิกฤตสภาพภูมิอากาศจะทำลายล้างพวกเราทั้งหมด เราจะไม่มีข้าวที่พวกเราชอบกิน เราจะไม่มีหอม ไม่มีกระเทียม ทำอาหารที่พวกเราชอบ" ปัง กล่าว พร้อมย้ำทิ้งท้ายว่า "เพื่อนๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอยากได้การสนับสนุนจากคุณเพื่อชี้ให้เห็นความจริงว่า ทุนเกษตรและตัวแทนรัฐบาลที่สมคบคิดด้วยต่างหากที่เป็นตัวการก่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ได้โปรด ฟังการเคลื่อนไหวที่บ้านของคุณ ร่วมกับการเคลื่อนไหวที่บ้านคุณ สู้เพื่อสิทธิในที่ดิน น้ำและอาหารของคุณ  เราหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตมีความสุขในบ้าน แล้วเราจะรอดไปด้วยกัน" หลังจากนี้การประชุมโลกร้อน COP30 จะเดินทางเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ซึ่งหลายฝ่ายต่างก็จับตาดูกันว่า แต่ละประเทศจะได้ข้อสรุปแผนลดโลกร้อนอย่างไร * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * ต่างประเทศ * สิ่งแวดล้อม * เกศินี แก้วเจริญ * มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน * COP30 * ภาวะโลกร้อน * ความตกลงปารีส * เมืองเบเลง * บราซิล * อะแมซอน
dlvr.it
November 17, 2025 at 12:01 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
ประชาชนไม่ได้ร่วมร่าง รธน.ใหม่ เสี่ยงไม่ผ่านประชามติ สูตร 20 หยิบ 1 การันตีที่ให้ สว.
ประชาชนไม่ได้ร่วมร่าง รธน.ใหม่ เสี่ยงไม่ผ่านประชามติ สูตร 20 หยิบ 1 การันตีที่ให้ สว. ทีมข่าวการเมือง admin666 Mon, 2025-11-17 - 07:50 หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็นการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาร่วมกันพิจารณาถึงโมเดลการหาตัวคนมาเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่(กมธ.ยกร่างฯ) ที่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะออกมาจาก กมธ.ของสภาประชาชนจะไม่ได้เข้ามามีส่วนในการเลือกเลย แม้ว่าจะเป็นการให้สมาชิกรัฐสภามาคัดจากคนที่ประชาชนเลือกอีกที อีกทั้งสภาที่ปรึกษาฯ ที่เป็นส่วนที่จะให้ประชาชนเลือกตั้งโดยตรงได้เพราะว่าไม่ได้เข้าไปเป็นคนร่างโดยตรงเพียงแต่เป็นสภาที่ให้คำปรึกษาแก่ กมธ.ยกร่างก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นรูปแบบเป็น กมธ.รับฟังความเห็นซึ่งมีแนวโน้มว่าจะใช้สูตรให้สมาชิกรัฐสภาเลือกด้วยสูตรสมาชิกสภา 20 คนรวมกลุ่มกันเลือก กมธ.ได้ 1 คนเหมือน กมธ.ยกร่าง ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนในการประชุมในสัปดาห์นี้ ณัชปกร นามเมือง ตัวแทนจากกลุ่มรณรงค์รัฐธรรมนูญ หรือ CALL มองปัญหาของสถานการณ์ที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังจะไม่เหลือช่องทางให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกทั้งผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ และอาจรวมไปถึง กมธ.รับฟังความเห็นอยู่ตอนนี้ ที่ กมธ.ไปกังวลกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นความกลัวเกินกว่าเหตุ  ตัวแทนจาก CALL อธิบายที่เขามองเรื่องว่านี้เป็นความกลัวเกินกว่าเหตุของ กมธ. เพราะเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ระบุชัดว่า ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู็ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงแต่ ในกรณีที่เพ่ิงมีการลงมติกันไปคือ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นการเลือก 70 แล้วคัดออกเหลือ 35 ก็ไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรงอยู่แล้ว นอกจากนั้นสภาที่ปรึกษาก็ไม่ใช่ผู็ร่างรัฐธรรมนูญเพราะเขาเป็นแค่ผู้ที่รับฟังความเห็นกับการอธิบายตัวร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ถ้ายึดเฉพาะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเกณฑ์เป็นการกังวลเกินกว่าไปล่วงหน้า  แต่เมื่อถามณัชปกรให้ประเมินว่ายังมีเหตุปัจจัยอื่นหรือไม่ที่ กมธ.ไม่ให้มีการเลือกตั้งแม้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมให้มาจบที่สภาเป็นคนเลือกหรือกระทั่งสภาที่ปรึกษาที่ก็ไม่ได้มีอำนาจยกร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง เรื่องนี้ณัชปกรบอกว่าประเมินไม่ได้เช่นกันว่าเหตุผลคืออะไร  “การเลือกตั้งทางอ้อมไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยไม่เสนอ พรรคเพื่อไทยก็เสนอให้เลือกตั้งก่อน 300 แล้วคัดเหลือ 150 ถ้าบอกว่าไม่สู้เรื่องคูหาเพราะว่ากลัวจะถูกค้าน แต่คุณก็เสนอในวาระหนึ่งก็หลักการเดียวกัน”  นอกจากนั้นเขายังเห็นว่า ถ้าเป็นเรื่องกลัวร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปตกในวาระ 2 วาระ 3 คนที่น่าจะกลัวเรื่องนี้มากกว่าคือพรรคประชาชนไม่ใช่พรรคเพื่อไทย เพราะว่าถ้าเกิดร่างไม่ผ่านก็มีเหตุผลมากพอที่จะบอกว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ดำเนินการตาม MOA แต่ก็จะเป็นเหตุผลให้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ด้วย ณัชปกรตั้งข้อสังเกตว่า เพราะส่วนหนึ่งโมเดลของพรรคประชาชนชนะในส่วนที่เป็น กมธ.ยกร่างแล้ว และโมเดลที่ให้รัฐสภาเป็นคนตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญของภูมิใจไทยตกไปแล้ว เหตุใด กมธ.ของเพื่อไทยถึงไม่เอาสภาที่ปรึกษาฯ ที่มีอยู่ในร่างของพรรคประชาชนมาด้วยเพื่อให้ร่างสมบูรณ์ แต่กลายเป็นว่านอกจากจะไปเอาร่างของพรรคภูมิใจไทยมาเป็นข้อเสนอหลัก แล้วก็ยังไม่โหวตให้โมเดลเลือกตั้งสภาที่ปรึกษาฯ ด้วย “ในการลงมติ 256/2 จากที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอให้มีการเลือกตั้ง สสร.มาก่อนแล้วให้สภาคัดออกครึ่งหนึ่ง ก็เป็นหลักการเดียวกันกับมาตรา 256/2 ของพรรคประชาชน แล้วทำไมเพื่อไทยถึงงดออกเสียง?” ณัชปกรตั้งคำถาม ถ้าสภาเป็นคนตั้งทั้ง กมธ. ยกร่าง - กมธ.รับฟัง จะถ่วงดุลกันได้อย่างไร ณัชปกรมองว่าความสำคัญของสภาที่ปรึกษาฯ ที่มาจากการเลือกตั้งในโมเดลของพรรคประชาชนจะเป็นเหมือนเสียงที่ถ่วงดุลกับ กมธ.ยกร่าง แม้ว่าอำนาจที่แท้จริงของสภาที่ปรึกษาฯ จะไม่ใช่การไปแก้ไขเนื้อหา แต่เป็นการทำให้ประชาชนเข้าใจว่าร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ออกมาจาก กมธ.ยกร่างนั้นดีหรือไม่ดี แล้วประชาชนจะเป็นคนตัดสินใจผ่านกลไกออกเสียงประชามติว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ออกมาหรือไม่ และทำให้บรรยากาศในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ดี อีกทั้งสภาที่ปรึกษาฯ ก็จะต้องมีหน้าที่ไปรับฟังความเห็นเพราะได้รับความเห็นชอบจากประชาชนให้เข้ามาทำหน้าที่นี้ แล้วก็จะทำความเข้าใจกับประชาชนด้วยว่าร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะออกมานั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร ก่อนนำไปสู่การอภิปรายใน กมธ.ยกร่าง ตัวแทน CALL กล่าวต่อว่า ถ้าสภาที่ปรึกษาฯ ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมาจาก กมธ.ยกร่าง เพราะรับฟังเสียงจากประชาชนมาแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ โดยหลักการ กมธ.ยกร่างก็ต้องแก้ไขตาม แต่ถ้าไม่แก้ตามที่สภาที่ปรึกษาฯ ไปสะท้อนเสียงประชาชนไว้ก็คาดหมายได้เลยว่าร่างรัฐธรรมนูญก็จะไม่ผ่านประชามติด้วย  “พอสภาที่ปรึกษาไปรับฟังความเห็นของประชาชนมา ก็ต้องมาสะท้อนแล้วถ้ามีประเด็น สมมติร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้ถูกส่งไปที่สภา สภาก็จะต้องรับฟัง แต่ถ้าไม่รับฟังประชาชนก็อาจจะไปลงมติให้ร่างไม่ให้ผ่าน”  อย่างไรก็ตาม ณัชปกรบอกว่า เขายอมรับตรงๆ ว่าการสภาที่ปรึกษาฯ ไม่ได้มีอำนาจไปแก้ไขเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงเพราะไม่เช่นนั้นก็จะไปขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ทำให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญดีขึ้นเพราะว่าอย่างน้อยก็เป็นผู้ที่เข้ามาโดยประชาชนให้ความไว้วางใจในการทำหน้าที่ตรวจสอบย กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ  ทั้งนี้เขาอธิบายต่อว่า เมื่อเปลี่ยนจากสภาที่ปรึกษาฯ มาเป็น กมธ.รับฟังแล้วโดยการออกแบบก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวเพราะว่า เดิมสภาที่ปรึกษาฯ จะเป็นตัวแทนเชิงพื้นที่ของพี่น้องประชาชนจากทุกจังหวัดตามสัดส่วนประชาชกร แต่เมื่อกลายเป็น กมธ.รับฟังความเห็นฯ แล้วก็เหลือแค่ 35 ที่นั่ง ในความเห็นเขาอย่างน้อยก็ต้องมีตัวแทนจากจังหวัดละคน ก็เป็นความล้มเหลวที่หนึ่ง ตัวแทน CALL กล่าวว่า นอกจากนั้นตามที่มีการเปรยกันออกมาแล้วก็คือจะให้รัฐสภาเป็นคนคัดเลือก ก็ไปซ้ำซ้อนกับ กมธ.ยกร่างฯ เพราะว่ามีที่มาเดียวกันคือให้สมาชิกรัฐสภาเป็นคนเลือกเหมือนกันถ้าจะต้องมาทำหน้าที่ถ่วงดุลกันก็เป็นเรื่องแปลกมาก ก็เลยรู้สึกว่าสภาที่ปรึกษาฯ ที่ได้มาจากการเลือกตั้งเท่ากับมีที่มาต่างกัน ก็มีแนวโน้มที่จะถ่วงดุลกันได้เพราะความชอบธรรมเท่ากัน และเมื่อ กมธ.รับฟังความเห็นมีที่มาจากรัฐสภาก็จะกลายเป็นกลไกของรัฐสภา ไม่ใช่กลไกรับฟังความเห็นที่สะท้อนเสียงหรือความต้องการของประชาชนจริงๆ  ณัชปกรมองว่า หากที่มาของ กมธ.รับฟังความเห็นฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำให้เป็นกลไกที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร เพราะว่าคนที่เข้ามาเป็น กมธ.ก็ต้องได้รับการยอมรับในเรื่องการรับฟังความเห็น แต่เขาก็ยังไม่เห็นตัวคนว่าจะเป็นใครที่ได้รับการยอมรับแบบนั้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจนักว่าสุดท้ายแล้ว กมธ.รับฟังความเห็นจะมีที่มาจากอะไร หรือจะเป็นแบบเดียวกับ กมธ.ยกร่างหรือไม่ แต่จำนวนคนใน กมธ.รับฟังความเห็นที่ตอนนี้มีการเสนอมาจากกรวีย์ ปริศนานันทกุล กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ของพรรคภูมิใจไทยเสนอเข้ามาตอนนี้มีอยู่ 35 คนแต่ตอนนี้ตัวเลขที่แท้จริงเป็นอย่างไรยังไม่รู้ แต่ถึงอย่างไร กมธ.รับฟังความเห็นกับสภาที่ปรึกษาฯ ถูกออกแบบมาต่างกันเพราะคนที่จะมานั่งในสภาที่ปรึกษาฯ ต้องยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดแล้วเข้าไปใช้อำนาจต่อรองในการอภิปราย  “แต่ตอนนี้เป็นน้ำบ่อเดียวกันนะ ต่อให้ใช้สูตร 20 หยิบ 1 ก็จะมีสัดส่วนเท่ากันทั้ง กมธ.รับฟังความเห็นทั้ง กมธ.ยกร่างจะถ่วงดุลกันยังไง สมมติว่า 35 คนนี้ได้เป็นบอร์ดใหญ่แล้วไปตั้งอนุ กมธ.ทุกจังหวัดเลย ผมถามว่าอนุ กมธ.ทุกจังหวัดที่เกิดขึ้นนี้จะทำงานเพื่อใครระหว่าง กมธ.รับฟังความเห็นหรือประชาชนในพื้นที่ มันถึงเป็นปัญหาว่าการออกแบบมันมีปัญหา ถ้าเราเลือกตั้งมันจะเป็นจากล่างขึ้นบน แต่แบบนี้เป็นจากบนลงล่าง” หน้าตา รธน.จะเป็นอย่างไร? ทั้งนี้เมื่อถามว่าถ้าสถานการณ์เรื่อง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญกับ กมธ.รับฟังความเห็นเดินหน้าไปโดยไม่มีส่วนไหนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเลยแบบนี้ รัฐธรรมนูญใหม่ที่จะได้ออกมาน่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร  “อย่างดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ ผมมองว่าจะได้รัฐธรรมนูญแบบ 2540 ก็พอรับได้แม้จะมีช่องโหว่อยู่ แต่ก็ยังมีแนวโน้มที่จะออกมาแย่กว่านั้นเพราะตอนนี้ยังไม่เห็นการเตรียมโจทย์ การมีส่วนร่วม ข้อเสนอของนักวิชาการและเรายังไม่เห็นบรรยากาศที่ประชาชนเห็นปัญหาหรือโจทย์ร่วมกัน ทุกคนเห็นว่ารับธรรมนูญ 2560 มีปัญหา แต่ว่าบรรยากาศมันงงๆ ที่เกิดจากตลอดกระบวนการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ถูกทำให้ซับซ้อนวุ่นวาย เดี๋ยวต้องไปทำประชามติ มีคำถามนู่นนั่นนี่ เดี๋ยวไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ มันไม่ตรงไปตรงมา แล้วชนชั้นนำทำให้บรรยากาศซบเซาด้วย” ณัชปกรตอบ ณัชปกรอธิบาย โดยดูจากบทเรียนการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่นอกจากจะสำเร็จในแง่ของการมีส่วนร่วมของประชาชนแล้วยังมีโจทย์ที่ชัดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เสถียรภาพการเมือง และให้มีการเลือกตั้งแบบคู่ขนานคือมีการเลือกตั้ง สส.และ สว.เพื่อไม่ให้รัฐบาลแข็งแกร่งมากเกินไป และยังให้มีศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระขึ้นมาด้วย คือมีโจทย์ที่ตั้งมาชัดว่าต้องการแก้ปัญหาอะไร มีการทำข้อเสนอเบื้องต้นไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชนในการจะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ “มันเลยเป็นเครื่องมือแห่งความหวังทุกคนอยากเข้าไปมีส่วนร่วม รัฐธรรมนญู 40 มันจึงประสบความสำเร็จระดับหนึ่งและได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐญธรรมนูญฉบับประชาชน”  ทั้งนี้แม้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจัดทำกันอยู่ตอนนี้ก็มีกลไกคล้ายกับตอนจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ว่าก็มีส่วนที่ขาดหายไปเยอะเพราะว่า เพราะจากที่จะมี สสร.แบบแม่น้ำ 2 สาย แล้วค่อยให้ สสร.มาตั้ง กมธ.ยกร่าง แต่ตอนนี้เหลือแค่ กมธ.ยกร่างที่ให้สมาชิกรัฐสภาเป็นคนเลือกส่วนสภาที่ปรึกษาฯ ก็ไม่มีแล้ว ทำให้ตอนนี้การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนมีช่องทางจำกัดมากเพราะทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่รัฐสภา  นอกจากนั้น ณัชปกรยังไม่เห็นว่า การพูดคุยกันในสภาตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งโจทย์ว่าจะแก้ปัญหาการเมืองอะไรบ้าง เช่น จะแก้ปัญหาสิทธิเสรีภาพอย่างไร แก้ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง แก้ปัญหาเรื่องบทบาทองค์กรอิสระหรือศาลรัฐธรรมนูญอย่างไร ซึ่งรัฐธรรมนูญที่ออกมาอาจจะดีก็ได้ถ้าตั้งโจทย์ให้ชัดว่าจะเขียนอะไรลงไปในรัฐธรรมนูญบ้างให้สอดคล้องกับปัญหา อีกทั้งตอนนี้บรรยากาศที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องรัฐธรรมนูญต่างกับตอนปี 2540 อย่างมาก ความเสี่ยงที่จะไม่ผ่านประชามติ ณัชปกรเห็นว่าสุดท้ายแล้วยังพอจะปรับแก้ต่อได้ในการพิจารณาของสภาในวาระที่ 2 เพราะตอนนี้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ยังอยู่ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ เรื่องจะมีการเลือกตั้งหรือไม่นั้นหากกลับไปดูที่ร่างหลักที่พรรคประชาชนเป็นผู้เสนอ ถ้าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคประชาชาติ อาจรวมถึงพรรคอื่นๆ ด้วยที่เห็นตรงกันว่าจะต้องมีการเลือกตั้งก่อนเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งทางอ้อมแล้วร่วมกันโหวตก็อาจจะยังทัน แต่ถ้าพ้นวาระที่สองไปแล้วการจะปรับแก้ไขเนื้อหาคงไม่ทันแล้ว  “ถ้าจะปรับเนื้อหาอีกทีก็คงเป็นตอนที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ไม่ผ่านตอนให้ประชาชนทำประชามติก็จะไปแก้กันตอนนั้นเลย”  แต่เมื่อถามว่าถ้าจะต้องรอไปถึงตอนที่ให้ประชาชนมาโหวตว่ารับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่มีการเลือกตั้งนี้เลย ก็เท่ากับว่าจะต้องมีอยู่ในคำถามประชามติด้วยเลยหรือไม่ว่าอยากจะให้มีเลือกตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญเลยใช่หรือไม่ ณัชปกรตอบว่าใช่ แต่ตัวเขาเองคิดว่าไม่น่ามีคำถามนี้อยู่ในคำถามประชามติ แต่เดิมเขาเคยเสนอว่าหากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ออกมาแย่มาก ที่ผ่านมาเขามองว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ครั้งนี้เวลาพูดเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนเข้ามาอยู่ได้ 3 ขั้นตอน * ขั้นตอนแรกก็คือช่วงต้นน้ำ คือ ประชาชนได้เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ * ขั้นที่สองคือ ขั้นตอนยกร่างมีการรับฟังเสียงจากประชาชนหรือไม่ * ขั้นสุดท้ายคือประชาชนได้ออกเสียงประชามติว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ออกมาหรือไม่   เขาอธิบายต่อว่าในช่วงต้นน้ำก็ยังแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ สีเขียวคือได้เลือกตั้งโดยตรง สีเหลืองคือเลือกตั้งทางอ้อม และสีแดงคือแต่งตั้งผู้ร่างเข้ามา ในมุมของเขาคือตอนนี้ยังเป็นสีเหลืองตรงที่สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้เห็นชอบเลือกผู็ร่างเข้ามา ก็ยังมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้มากนักเพราะยังมีส่วนของ สว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง  “การะจสู้ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในช่วงต้นน้ำนี้ทำให้มันเป็นสีเขียวได้มั้ย หยั่งเสียงประชาชนหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมก่อนเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่า คนที่มาร่างมีนโยบายแบบนี้ มีอุดมการณ์แบบนี้ มันเกิดบรรยากาศถกเถียงกันว่าคนที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญเสนอโจทย์อะไรไว้ มีวิธีแก้ปัญหาของโจทย์นี้อย่างไร เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มาคุยกันเรื่องนี้ก่อนก็อาจจะทำให้โดยการออกแบบ กมธ.จะเป็นเหลืองก็ยังเข้าใกล้เขียวได้มากที่สุด” ส่วนช่วงการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นช่วงกลางน้ำ อาจจะบอกว่า กมธ. 35 คนมาจากการร่วมศูนย์ของรัฐสภาเป็นคนเลือก แต่ถ้าเลือกคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในกระบวนการรับฟังความเห็นมากพอแล้วให้ประชาชน ภาคประชาสังคม หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญได้ก็จะทำให้เข้าใกล้สีเขียวในมุมมองของเขามากขึ้นได้เช่นกัน แต่ตอนนี้มีอย่างเดียวที่ยังทำให้เป็นสีเขียวอยู่คือ ประชาชนยังมีอำนาจในการออกเสียงประชามติว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่ แต่ที่เหลือเป็นสีเหลืองหมดแล้วในความเห็นของเขา “แต่การทำประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญสุดท้ายทำให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ดีขึ้นได้หรือยังในข้อเสนอที่มีอยู่ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าทำได้ตอบคำถามตอนนี้กระบวนการต้นน้ำมันเป็นสีเหลืองอยู๋ คุณพยายามทำอะไรให้เข้าใกล้สีเขียวได้มากที่สุด กลางน้ำพยายามทำให้สีเหลืองเข้าใกล้สีเขียวได้มากที่สุดอย่างไร ถ้าตอบตรงนี้ชัดประชาชนก็อาจจะมีโอกาสรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ตอนออกเสียงประชามติ”  ณัฐปกรมองว่าหากเป็นสีแดงหมดตั้งแต่ต้นน้ำคือประชาชนไม่ได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมเลยตั้งแต่ต้นคือทั้งไม่ได้เลือกผู้ร่างฯ ทั้งไม่ถูกรับฟังเสียง เขาก็เห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปล่อยให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำกันอยู่นี้เดินหน้าไปถึงขั้นตอนการทำประชามติ เพราะเรารู้แน่ๆ ว่าประชาชนจะไปโหวตไม่รับ เขาไม่เห็นเหตุผลที่จะปล่อยให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น และมีคำถามตามมาว่าหากจะยังปล่อยให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาโดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมเลยแบบนี้ รัฐบาลอนุทินควรจะยังอยู่ต่อไปหรือเปล่า  20 หยิบ 1 การันตีที่นั่งให้ สว.เลือก 10 ที่นั่ง เมื่อถามว่าสิ่งที่่น่ากลัวที่สุดตอนนี้คือการที่ยังต้องใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ต่อไปเรื่อยใช่หรือไม่ เรื่องนี้ณัชปกรมองว่าน่ากลัวทั้งตอนที่ประชาชนมาออกเสียงประชามติว่าไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะยังต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญ 2560 ต่อ หรือในส่วนของคำถามที่สองหากกลไกการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำถูกกินรวมโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็เหมือนกลับไปสู่รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับใหม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นทางที่ลำบากทั้ง 2 กรณี  เมื่อถามต่อไปว่าเขามีความเห็นอย่างไรกับสูตร 20 หยิบ 1 ในสถานการณ์ตอนนี้เพราะสูตรที่ให้ สส.และสว.รวมกลุ่มกัน 20 คนแล้วเลือกได้ 1 คนนี้ หากคำนวนคร่าวๆ สว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็อาจรวมกลุ่มกันเลือกทั้ง กมธ.ยกร่างฯ 10 คน และ กมธ.รับฟังความเห็นอีก 10 คน แม้ว่าประเด็นที่กำลังเป็นข่าวตอนนี้มีคำถามกันมากคือพรรคประชาชนจะได้ สส.ถึง 200 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประเด็นนี้ ณัชปกรเห็นว่า สูตร 20 หยิบ 1 นี้แม้ว่าจะมีข้อดีคือทำให้ได้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตามสัดส่วนสมาชิกในรัฐสภา แต่ก็มีปัญหาที่ไปการันตีที่นั่งให้ สว.ที่มีความไม่ชอบธรรมสูงอยู่ถึง 10 ที่ สิ่งที่เขากลัวก็คือว่า พรรคภูมิใจไทยจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่เพราะหากตัดส่วนของ สว.ออกไปแล้ว กมธ.ยกร่างก็จะเหลือแค่ 25 ที่สำหรับให้ สส.เป็นคนเลือก ถ้าพรรคใดได้เป็นรัฐบาลก็จะมีโอกาสได้เลือก กมธ.ยกร่างถึง 13-14 ที่  “ถ้าพรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลต่อ แล้วก็มีเสียงของ สว.อยู่แล้วก็จะทำให้ฝ่ายเขาเป็นเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะเป็นการสู้กับเสียง สว.ไปโดยปริยาย”  ณัชปกรเล่าว่าเขาเคยเสนอโมเดลหนึ่งไว้ตอน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ เปิดรับฟังความเห็นก็คือ การให้ความเห็นชอบผู้ที่จะเข้าไปเป็น กมธ.ยกร่างฯ ว่าควรจะใช้วิธีเดียวกับการออกกฎหมายระดับพระราชบัญญัติคือ ให้ สส.เป็นคนเลือกก่อน แล้วก็ส่งไป สว.พิจารณา หาก สว.วีโต้กลับมาถ้า สส.ยืนยันให้ความเห็นชอบก็ให้ผ่านรัฐสภาไปเลย ถ้าแบบนี้ก็จะทำให้เสียงของ สส.ที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นเสียงหลักในการเลือก กมธ.ยกร่างฯ แต่โมเดลที่เขาเสนอนี้ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ก็ไม่ได้รับไปซึ่งเขาเห็นว่าทุกข้อเสนอล้วนเป็นการต่อรองกันทางการเมืองทำให้ข้อเสนอนี้ไม่เกิดขึ้น แล้วก็ยังมีความกังวลว่าการให้ สส.เห็นชอบก่อนแล้วให้ สว.มาให้ความเห็นชอบอีกทีจะไม่ใช่การพิจารณาให้ความเป็นชอบด้วยกันของสมาชิกรัฐสภา  “ต้องยอมรับว่าการใช้วิธี 20 หยิบ 1 นี้ สว.เขามีฐานที่มั่นแน่ๆ แต่เขาก็คงไม่ได้ครบทั้งหมด 10 เสียงหรอก สว.ที่เป็นเสียงมากและเป็นสีน้ำเงินเขาก็มี 160 เสียง ก็ได้ประมาณ 8 ที่แต่ก็เปิดให้ สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ กลุ่มอิสระหรืออะไรก็ตามมี 1-2 ที่ แต่ก็ต้องมาดูฝั่ง สส.กันว่าแต่ละพรรคได้ สส.กันเท่าไร่แล้วพรรคที่เป็นรัฐบาลที่ใกล้ชิดกับภูมิใจไทยก็มีโอกาสจะเป็นเสียงข้างมากใน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ”  ทั้งนี้สุดท้ายณัชปกรมองว่าสุดท้ายแล้วหากสถานการณ์เลื่อนไหลไปจนถึงตอนรัฐบาลออกคำถามประชามติออกมาไม่ดี การร่วมมือกันระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทยจะเป็นกระสุนนัดสุดท้ายที่จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้ แต่สองพรรคนี้ต้องคุยกัน  * สัมภาษณ์ * การเมือง * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * รัฐธรรมนูญ 2560 * ณัชปกร นามเมือง
dlvr.it
November 17, 2025 at 1:04 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
หนังสือใหม่ ‘ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น’ วิเคราะห์ความคิดนักโทษการเมือง 2490-ปัจจุบัน
หนังสือใหม่ ‘ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น’ วิเคราะห์ความคิดนักโทษการเมือง 2490-ปัจจุบัน ทีมข่าวการเมือง  auser15 Tue, 2025-11-18 - 11:33 ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น ศาสตราจารย์ประจำคณะภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย ​มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน สัมพันธ์กับเมืองไทยมากว่า 30 ปี มีความสามารถในการอ่าน เขียนและพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ทำงานวิจัยด้านความรุนแรงของรัฐและการเมืองวัฒนธรรมของผู้เห็นต่างในประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475 จนถึงปัจจุบัน โดยมีบทความและหนังสือเกี่ยวกับ ‘ประวัติศาสตร์ชายขอบ’ มากมายทั้งภาษาไทยและอังกฤษ  ปัจจุบันเธอกำลังซุ่มเขียนงานชิ้นล่าสุดเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์การจองจำและประวัติศาสตร์ความคิดของนักโทษการเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ระหว่างเส้นทางดังกล่าว เธอได้รับเชิญมาร่วมบรรยายในชั้นเรียนวิชา ‘ประวัติศาสตร์นิพนธ์’ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ พลันที่ประกาศให้เป็นการบรรยายสาธารณะ ห้องเรียนก็อุ่นหนาฝาคั่งขึ้นด้วยนักศึกษาทั้งปริญญาตรี โท เอก จากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ  ไทเรลใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการบอกเล่า ‘เส้นทาง’ การทำงานและก่อร่างสร้างชิ้นงานประวัติศาสตร์ชุดใหญ่นี้ โดยกล่าวถึงแรงบันดาลใจว่ามาจากการอ่านจดหมายของ ‘นักโทษ’ อย่างอานนท์ นำภา โดยเมื่อ 2 ปีก่อนมีการเผยแพร่จดหมายจากเขาถึงลูกๆ จึงเริ่มแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ให้กว้างขวางขึ้น “จดหมายเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือสะท้อนความรุนแรงโดยรัฐ แต่มันมากกว่านั้น เขามีไอเดียต่างๆ ที่วาดภาพสังคมประชาธิปไตย ระหว่างบรรทัดก็อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าทำไมต้องห่างกันและทำยังไงจึงไม่ลืมกัน เข้าใจว่านี่เป็นการสื่อสารถึงคนอื่นด้วยว่า การต่อสู้จะยาวพอสมควรและจะรักษาตัวเองกันอย่างไร” ไทเรลเล่า จากนั้นเองเธอจึงเริ่มกลับไปอ่านงานเขียนนักโทษการเมืองในอดีต และมองเห็นประวัติศาสตร์เชิงความคิดและบทสะท้อนตัวตนและสังคมในขณะนั้นอย่างน่าสนใจ   ไทเรลเริ่มต้นด้วยการนิยาม ‘นักโทษการเมือง’ ว่าหมายถึงคนที่เป็นอันตรายต่อรัฐหรือผู้มีอำนาจ เพราะมีความคิดต่าง ดังนั้น จึงต้องเอาไปคุมขังไว้  หากถามว่านักโทษการเมืองอยู่ที่ไหนในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย คำตอบคืออยู่ในชายขอบของ 3 ส่วน คือ 1) ประวัติศาตร์การเมือง ซึ่งใช้การเขียนของนักโทษการเมืองเป็น ‘แหล่งข้อมูล’ เพื่อพูดเรื่องอื่น 2) ประวัติศาสตร์เชิงความคิดฝ่ายซ้าย เพราะฝ่ายซ้ายจำนวนมากก็เคยติดคุก และหลายกรณีประสบการณ์ในคุกสำคัญมากต่อการพัฒนาความคิดของนักคิดฝ่ายซ้ายด้วย 3) ประวัติศาสตร์แห่งการจองจำ เช่นหนังสือเรื่องรัฐราชทัณฑ์, ทัณฑะกาล  แล้วทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ ทำไมจำเป็นต้องสนใจประวัติศาสตร์ของการจองจำและความคิดของนักโทษการเมือง คำตอบของไทเรลคือ “เพราะประวัติศาสตร์ของนักโทษการเมือง คือประวัติศาตร์ของชาติ” “ประวัติศาสตร์ของคุกสะท้อนถึงภาพแย่ที่สุดที่คนในรัฐจะฝันถึงได้ ดังนั้นเมื่อมีคนที่เข้าไปเพราะคิดต่าง ก็จะทำให้เราเห็นความฝันอันแหลมคมและสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเช่นกัน” ไทเรลกล่าว “สิ่งที่เจอว่ายากคือ แต่ละยุค สิ่งที่สำคัญสำหรับนักโทษการเมืองนั้นไม่เหมือนกัน มันไม่ใช่เส้นตรง ไม่ใช่แม้แต่เส้นกราฟขึ้นลง แต่หารูปแบบได้ยาก ดังนั้นจึงไม่ได้กำลังเสนอว่า ความคิดนักโทษการเมืองตั้งแต่กบฏสันติภาพเป็นเส้นตรงในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะเอาเข้าจริงประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงอยู่แล้ว” ไทเรลกล่าว  อีกสาเหตุหนึ่งที่ไทเรลเสนอว่าเราควรสนใจเรื่องนี้ เพราะความคิดของนักโทษการเมืองเป็นความคิดที่ปรากฏตัวในสังคมไม่ได้ อะไรที่ก็ตามต้องเงียบ พูดไม่ได้ เป็นสิ่งน่าสนใจโดยตัวมันเอง เพราะสะท้อนถึงการใช้อำนาจของสังคม สะท้อนถึงสิ่งที่น่าตื่นต้น ความสร้างสรรค์ ความกล้า ฯลฯ  แล้วจะย้อนศึกษาไปถึงช่วงไหน ? จะแบ่งช่วงเวลาอย่างไร ?  นั่นก็เป็นโจทย์ยากอีกประการ ไทเรลเล่าว่า ตอนแรกจะเริ่มต้นในช่วงก่อน 2475 แต่เห็นว่ายาวเกินไปและทำให้เรื่องราวไม่ค่อยชัดเจน จึงตัดสินใจหดมาที่จุดตั้งต้น ‘รัฐประหาร 2490’ ซึ่งณัฐพล ใจจริง นักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งเคยเขียนไว้ว่า การรัฐประหารครั้งนี้เป็นการสิ้นสุด ‘ความหวัง 2475’ หรือพูดง่ายๆ ว่า อีกฝ่ายหนึ่งชนะเบ็ดเสร็จแล้ว  ในส่วนของแหล่งข้อมูลที่ใช้ศึกษาในเรื่องนี้นั้น ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน บอกว่า จริงๆ แล้วมีแหล่งข้อมูลเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วง ‘กบฏสันติภาพ’ มีงานเขียนของนักโทษ(ทางความคิด) ในคุกตีพิมพ์เป็นจำนวนมาก  “เยอะจนต้องเลือกที่จะไม่เขียนถึงใคร รู้สึกผิดเหมือนกัน แต่ถ้ามันเยอะเกินไป ก็จะเป็นข้อจำกัดในด้านการพิมพ์ด้วย”  มาถึงจุดนี้ ปริศนาก็เป็นอันคลี่คลายด้วยชื่อหนังสือ (เบื้องต้น) ของไทเรล ‘The Carceral Kingdom : Political Prisoners and History in Thailand  หนังสือเล่มนี้จะประกอบไปด้วย 6 บท แต่ละบทมีรายละเอียดดังนี้  บทที่ 1) กบฏสันติภาพ (2495-2500) เริ่มต้นที่กบฏสันติภาพ ซึ่งรัฐเริ่มกวาดจับกุมคนเห็นต่างในเดือนพฤศจิกายน 2495 ไทเรลนิยามว่าเป็น “การจับฝ่ายซ้ายหลายชนิด” ไม่เฉพาะคนเรียกร้องสันติภาพ มีทั้งนักสังคมนิยมคอมมิวนิสต์, นักอนาธิปไตย, ส่วนหนึ่งของขบวนการกู้ชาติ “ตั้งแต่อดีตมา รัฐแยกไม่ได้ แยกไม่ออกว่าคอมมิวนิสต์ต่างจากสังคมนิยมยังไง มี 104 คนที่ถูกจับและดำเนินคดี ซึ่งหลากหลายมาก และความคิดแตกต่างกันมาก  สิ่งที่เป็นประโยชน์มากคือ เอกสารเกี่ยวกับการสืบวนคดีกบฏสันติภาพและคำพิพากษา ที่ถูกเผยแพร่ในหนังสือคู่มือการสอบสวนโดยกรมตำรวจ คำพิพากษายาวมาก มี 54 คนถูกพิพากษาว่าผิดข้อหากบฏ ถูกจำคุกระหว่าง 13-20 ปี แต่ได้ออกในปี 2500 เพราะมีหลายคนในสังคมที่เรียกร้องให้ปล่อย และรัฐบอกตอนนั้นครบรอบ 2500 พุทธกาลจึงปล่อยนักโทษ” ไทเรลรวบยอดความคิดให้ว่า สิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับช่วงนี้คือ คนที่อยู่ในคุกเรียนรู้และใช้ชีวิตด้วยกัน มีการเขียนบันทึกกันพอควร โดยเธอเลือกงานเขียนของ 2 คนในบทนี้ คือ กุหลาบ สายประดิษฐ์​ และสุพจน์ ด่านตระกูล ในกรณีของสุพจน์เขาใช้เวลาในคุกเขียนการบรรยายจากเพื่อนร่วมคุกเป็นหนังสือชื่อ ‘ปทานานุกรุมการเมือง ฉบับชาวบ้าน’ อธิบายศัพท์การเมือง 42 คำ สุพจน์นับเป็นนักคิดฝ่ายซ้ายที่ไม่ค่อยมีคนเขียนถึง ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาใกล้ชิด พคท. แต่ก็ไม่ได้เป็นสมาชิก พคท.และมีแนวคิดเสรีนิยมมากที่สุดคนหนึ่ง ในงานดังกล่าวเขาแทบไม่พูดถึงประเทศไทย เขียนแบบสากลนิยม แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า เขากำลังคิดหลักการของสังคมที่ดีกว่า สังคมที่เป็นธรรม ทั้งนี้ สุพจน์อยู่ในคุก 5 ปีออกมาในปี 2500 ก็เขียนงานเกี่ยวกับขบวนการกู้ชาติเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์เป็นตอนๆ แล้วถูกจับอีกครั้งเพราะการเขียนดังกล่าว คดีอยู่ในศาลทหาร ต้องเป็นทนายตัวเอง จึงได้เขียนหนังสืออีกเล่ม  บทที่ 2) คดีคอมมิวนิสต์ตอนสงครามเย็นพีคๆ (2501-2514)  ไทเรลระบุว่า ช่วงเวลานี้เข้าถึงข้อมูลยากมาก เพราะเจ้าหน้าที่รัฐยุคนั้นมีสิทธิใช้ พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์จับกุมคนซึ่งส่วนใหญ่ส่งไปขังที่ลาดยาว แต่น่าสงสัยว่าจะมีการขังในจังหวัดต่างๆ ด้วย  ยุคนี้คนที่โดดเดนคือ จิต ภูมิศักดิ์ ซึ่งถูกจองจำเช่นกัน แต่เนื่องจากมีคนศึกษางานเขียนเขาจำนวนมากแล้ว ไทเรลจึงไม่เขียนถึง และเลือกเทพ โชตินุชิต  สส.ศรีษะเกษที่มีแนวคิดสังคมนิยม กับ ทองใบ ทองเปาด์ ทนายความชื่อดัง ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง ‘คอมมิวนิสต์ ลาดยาว’ ที่บอกเล่าว่ามีความพยายามสร้าง ‘คอมมูน’ ขึ้นในคุก บทที่ 3) หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519 (2519-2521)  ไทเรลระบุว่า เหตุการณ์นี้นับเป็นการจบลงของประชาธิปไตยเบ่งบาน และเป็นการใช้ความรุนแรงของรัฐอีกรูปแบบ เหตุการณ์ดังกล่าวมีคนถูกจับ 3,000 กว่าคน นอก กทม.ด้วย แต่มี 18 คนที่มีคดีในศาลทหาร และ 1 คนมีคดีในศาลพลเรือน คนอื่นที่ถูกจับปล่อยตัวแต่กลุ่มนี้ไม่ถูกปล่อยตัวและโดนตั้งข้อหาคอมมิวนิสต์-กบฏ-112 อยู่ในคุกจนกระทั่งเดือน ก.ย.2521 จึงมีนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมเพื่อปกป้องคนทำการสังหารหมู่มากกว่า หนังสือ ’เราคือผุ้บริสุทธิ์’ รวบรวมจดหมายของ 18 คนนี้ซึ่งทุกคนเขียนถึง ‘ความจริง’ และการสัมพันธ์ของความจริง โดยพื้นฐานคือ ประสบการณ์ของตัวเองในวันที่การสังหารหมู่เกิดขึ้น ประสบการณ์ในการช่วยเหลือสังคม 2 ปีก่อนหน้านั้น ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่แต่ละคนกำลังทำคือ การสร้างวิธีคิดแบบใหม่ รวมถึงวิธีเข้าใจความรู้และความจริง  บทที่ 4) คดีคอมมิวนิสต์สงครามเย็นท้ายๆ (2524-2539)  ไทเรลระบุว่า ช่วงเวลานี้หน่วยงานรัฐขัดแย้งกันเอง การจับคนในช่วงนั้นจึงประหลาด โดยยกกรณี ‘สุนี ไชยรส’ ที่เคยถูกจับข้อหาคอมมิวนิสต์ก่อน 6 ตุลา ตอนนั้นทำงานกับกรรมการผู้หญิง เมื่อถูกปล่อยตัวก็เข้าป่า, ปรีดา เปี่ยมพงศ์สานต์ ถูกจับช่วงท้ายและเป็นเรื่องใหญ่มาก โดนกล่าวหาว่าเป็นปัญญาชนที่นำทางและติดต่อคอมมิวนิสต์ใหญ่ในประเทศอื่น, สุรชัย แซ่ด่าน ซึ่งน่าคิดหลายเรื่อง, ชลธิรา สัตยนุรักษ์ ถูกจับกับสามี ทุกคนกลับเมืองแล้วหลังมีคำสั่ง 66/23 แต่ก็ยังถูกจับ รัฐก็ไม่ชัดว่ากำลังทำอะไร  บทที่ 5) คดีมาตรา 112 ยุคแรก (2550-2562)  ไทเรลระบุว่า เป็นยุคที่มีการใช้ ม.112 จำนวนมาก หลังไม่ได้ใช้มานาน มีหนังสือของภรณ์ทิพย์ มั่นคง เรื่อง ‘มันทำร้ายเราได้แค่นี้แหละ’ ที่ให้ภาพชีวิตประจำวันเป็นพื้นที่ของการต่อสู้ และสร้างภาพสังคมที่ดีกว่า แม้เล่าถึงชีวิตประจำวันในคุก แต่อีกแง่วิจารณ์การใช้อำนาจของรัฐเผด็จการที่ทุกคนเข้าถึงได้แน่นอน เป็นคู่มือสำหรับการรอดชีวิตภายใต้เผด็จการทั้งหลาย  บทที่ 6) คดี มาตรา 112 ยุคปัจจุบัน (2563-วันนี้)  ไทเรลอ้างอิงข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า มีคดีมาตรา 112 จำนวน 284 คดีในยุคนี้ และเลือกใช้เรื่องราวของอัญชัญ-ขนุน-เก็ท ที่มักเขียนจดหมายออกมาเรื่อยๆ ทั้งอานนท์ นำภา และทุกคนที่เขียนจดหมาย สิ่งที่เขากำลังทำ คือ กำลังวาดภาพของสังคมที่อยากเห็น และใช้รูปทรงจดหมายจากคุกเพื่อส่งต่อความคิดให้คนข้างนอกใช้เพื่อสร้างสังคมนั้น นอกจากนี้ไทเรลยังเจาะลึกเรื่องราวใน 2 บท คือ บทที่ 3 ความจริงหลัง 6 ตุลาฯ โดยกล่าวถึง อารมณ์ พงษ์พงัน ผู้นำกรรมกร ทำงานการประปานครหลวง เขาเขียนหนังสือเยอะมากโดยเฉพาะตอนที่อยู่ในคุก สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาอึดอัดใจกับข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์ คิดว่าไม่เป็นธรรม และตีความว่าในสังคมไทย รัฐไทยมีแต่ ‘คอมฯ กับไม่คอมฯ’ ไม่มีพื้นที่สำหรับความคิดเพื่อความยุติธรรมแบบอื่น และวิจารณ์การแบ่งขั้วแบบนี้ พร้อมนำเสนอว่าการแบ่งทรัพยากรที่เป็นธรรมเป็นอย่างไร เขียนทฤษฎีบทบาทกรรมกร ใช้ประสบการณ์ชีวิตของตัวเองเป็นฐานเขียนในรูปแบบงานวิชาการเลย แต่น่าเสียดายเขาเสียชีวิต 2 ปีหลังออกจากคุก  บทที่ 4 ปัญญาชนอินทรีย์และทฤษฎีรัฐหลังป่าแตก ไทเรลหยิบยกเรื่องราวของ ‘สุรชัย แซ่ด่าน’ โดยระบุว่า เขานับเป็น ‘ปัญญาชนอินทรีย์’ ตามนิยามของกรัมชี่ เขาเขียนหนังสือ ‘นักโทษประหารคนที่ 310’ และ ‘ผ่าคุก’ เป็นการเล่าชีวิตและทุกสิ่งที่เห็นในคุก ทั้งสองเล่มพบว่าเขาให้เกียรติกับประชาชนอย่างมาก เขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่งรัฐกับประชาชนผ่านเลนส์ของ ‘การทรยศ’ และสิ่งที่เขาเจอ เขาให้ประชาชนมีฐานะสูงในงานเขียน โดยเล่าถึงสิ่งที่เกิดในชีวิตของเขาเพื่อให้ผู้อ่านตัดสินใจเองว่าเขาทำถูกหรือทำผิด    * สัมภาษณ์ * การเมือง * ประวัติศาสตร์ * ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น
dlvr.it
November 18, 2025 at 4:43 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
On This Day - 18 พ.ย. 65 สลายการชุมนุม ‘ราษฎรหยุด APEC 2022’ ประชาชน-สื่อ ได้รับบาดเจ็บ ‘พายุ ดาวดิน’ สูญเสียดวงตาขวา
On This Day - 18 พ.ย. 65 สลายการชุมนุม ‘ราษฎรหยุด APEC 2022’ ประชาชน-สื่อ ได้รับบาดเจ็บ ‘พายุ ดาวดิน’ สูญเสียดวงตาขวา See Think Tue, 2025-11-18 - 12:33 18 พ.ย. 2565 กลุ่มราษฎรและเครือข่ายภาคประชาสังคมได้จัดกิจกรรม ‘ราษฎรหยุด APEC 2022’ บริเวณลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายเคลื่อนขบวนไปยังศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เพื่อยื่นคัดค้านการรับรองโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งอาจเป็นการเอื้อนายทุนให้เข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและที่ดินที่จะถูกแย่งชิงไปจากประชาชนในพื้นที่ ต่อรัฐบาลและผู้นำประเทศที่เข้าร่วมประชุม APEC 2022 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16–19 พ.ย. 2565  โดยมีข้อเรียกร้อง ดังนี้ * ต้องยกเลิกนโยบาย BCG รวมถึงระเบียบกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้ ที่พยายามนำเสนอให้ที่ประชุม APEC รับรอง * ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่มีความชอบธรรมที่จะลงนามข้อตกลงร่วมกับผู้นำกลุ่ม APEC และจะต้องยุติบทบาทในการเป็นประธานการประชุม APEC โดยทันที * ประยุทธ์ต้องยุบสภาและเปิดทางให้มีการเลือกตั้ง พร้อมกับจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง  เมื่อเริ่มเคลื่อนขบวน ผู้ชุมนุมได้ถูกสกัดกั้นโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อถึงบริเวณต้นถนนดินสอ ก่อนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีการวางกำลังพร้อมรถยนต์ปิดกั้นเส้นทาง ก่อนจะมีการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง ส่งผลให้มีผู้ชุมนุมถูกจับกุมและสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บหลายราย หนึ่งในกรณีสำคัญ คือ พายุ บุญโสภณ หรือ ‘พายุ ดาวดิน’ ผู้ชุมนุมที่ถูกกระสุนยางของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนยิงใส่ที่ตาขวาอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีเลือดออกจำนวนมาก และต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์ระบุว่า ดวงตาข้างขวาของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ทั้งลูกตา วุ้นตา เลนส์ตา และจอตา ถูกทำลายจนไม่สามารถรักษาได้ ส่งผลให้พายุต้องสูญเสียดวงตาข้างขวาถาวร นอกจากนี้ สื่อมวลชนที่เข้าไปทำหน้าที่รายงานสถานการณ์ในพื้นที่ชุมนุมก็เผชิญกับการจำกัดเสรีภาพในการปฏิบัติงาน โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนนำโล่ทึบเข้าปิดกั้นแนวกล้องไม่ให้สามารถถ่ายภาพหรือวิดีโอระหว่างการสลายการชุมนุมได้ ได้แก่ ช่างภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รับบาดเจ็บบริเวณเยื่อบุตาด้านใน, นักข่าวจาก The Isaan Record ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายจนหัวแตกและฟกช้ำตามตัว รวมถึงช่างภาพจาก The MATTER และ SPACEBAR ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนใช้ไม้ตีบริเวณแขน ขณะกำลังบันทึกภาพเหตุการณ์ ขณะที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีสื่อมวลชนบาดเจ็บขณะเกิดการปะทะในเหตุการณ์ครั้งนี้ ระบุว่า มีผู้สื่อข่าวและช่างภาพที่ได้รับบาดเจ็บ 4ราย ได้แก่ ผู้สื่อข่าวจาก The Matter และ ประชาไท, ช่างภาพจาก Top News และ Reuters เหตุการณ์เหล่านี้ สะท้อนการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน และตั้งคำถามต่อมาตรฐานการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ต่อทั้งผู้ชุมนุมและผู้สื่อข่าวในพื้นที่ที่ควรได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการรายงานข่าว รายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุ การชุมนุมของราษฎรหยุด APEC 2022 ที่เกิดขึ้นคู่ขนานกับการประชุม APEC 2022 ระหว่างวันที่ 15-19 พ.ย. 2565 มีคดีความเกิดขึ้นจากกิจกรรมชุมนุมทุกวัน ดังนี้ * 15 พ.ย. 2565 - กิจกรรม ‘ไซอิ๋วตะลุยเอเปค’ เดินถือป้ายประท้วงนโยบายจีนเดียวของรัฐบาลจีน ทำให้ ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และพวกรวม 12 คน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ต่อมาศาลแขวงปทุมวันพิพากษายกฟ้องข้อหาดังกล่าว แต่ลงโทษปรับในข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรฯ * 16 พ.ย. 2565 - กลุ่มนักกิจกรรมแต่งชุดหมีพูห์ชูป้ายประท้วงการประชุม APEC 2022 บริเวณหน้าโรงแรมเคมปินสกี้และเกิดเหตุชุลมุนกับเจ้าหน้าที่ ต่อมา ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์​ และ สายน้ำ-นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ เดินทางเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ในข้อหาต่อสู้ขัดขวาง ทำร้าย และฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน * 17 พ.ย. 2565 - การชุมนุม ‘WHAT HAPPENED IN THAILAND’ เดินขบวนจากแยกอโศกไปงาน APEC 2022 เพื่อยื่นจดหมายต่อผู้นำโลกเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีจากกิจกรรมนี้รวม 8 คน ใน 4 คดี โดย เก็ท-โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง และ ใบปอ-ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ ถูกดำเนินคดีในข้อหามาตรา 112 จากการอ่านแถลงการณ์ นำสู่การยื่นถอนประกันของทั้งสองคนในวันที่ 9 มกราคม 2565 * 18 พ.ย. 2565 - ผู้ชุมนุมราษฎรหยุด APEC 2022 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมและดำเนินคดีทั้งสิ้น 30 คน ใน 2 คดี ซึ่งเป็นการจับกุมในเหตุพื้นที่ชุมนุมทั้งสิ้น 26 คน ก่อนจะให้พายุไปรักษาตัว ทำให้มีผู้ร่วมชุมนุม 25 คน ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป, ไม่เลิกมั่วสุมตามที่เจ้าพนักงานสั่ง และ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ * โดย ​​19 ธ.ค. 2567 ศาลแขวงดุสิตนัดฟังพิพากษาในคดีของ 25 นักกิจกรรมและประชาชน (ไม่รวม พายุ บุญโสภณ) ซึ่งถูกฟ้องใน 3 ข้อกล่าวหา โดยให้ 24 คน มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษปรับคนละ 2,500 บาท และยกฟ้องจำเลย 1 คน ขณะที่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากการสลายการชุมนุม ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในข้อหาร่วมกันละเมิดเสรีภาพการชุมนุมและใช้ความรุนแรงต่อประชาชน พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 12 ล้านบาท นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวจาก Plus Seven และช่างภาพจาก The Matter ได้ยื่นฟ้องจำเลยคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน โดย 26 ก.ย. 2566 ศาลแพ่งพิพากษาให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ หมายเหตุ - ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการปริญญานิพนธ์วารสารสนเทศและสื่อใหม่ (็enior Projec่) ของนิสิตภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2567 โดยมีผู้จัดทำคือ โยษิตา สินบัว * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * on this day บันทึกกาลเมืองไทย * ม็อบราษฎรหยุดAPEC2022 * พายุ ดาวดิน
dlvr.it
November 18, 2025 at 5:46 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
'แอมเนสตี้-พายุ บุญโสภณ' เรียกร้องสอบสวนอิสระเหตุสลายการชุมนุม 'ราษฎรหยุด APEC 2022'
'แอมเนสตี้-พายุ บุญโสภณ' เรียกร้องสอบสวนอิสระเหตุสลายการชุมนุม 'ราษฎรหยุด APEC 2022' auser15 Tue, 2025-11-18 - 13:23 ครบรอบ 3 ปีเหตุสลายการชุมนุม 'ราษฎรหยุด APEC 2022' แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมด้วย 'พายุ บุญโสภณ' นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยางในระยะประชิดจนสูญเสียการมองเห็นถาวร เรียกร้องให้มีการสอบสวนอิสระเหตุสลายการชุมนุม 18 พฤศจิกายน 2568 เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีเหตุสลายการชุมนุม “ราษฎรหยุด APEC 2022” แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมด้วย พายุ บุญโสภณ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยางในระยะประชิดจนสูญเสียการมองเห็นถาวร ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.ท. รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้มีการสอบสวนที่อิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่า ประเทศไทยต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้กำลังสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงเกินความจำเป็นและไม่ได้สัดส่วนนั้น จะไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป รัฐจำเป็นต้องสอบสวนอิสระและมีประสิทธิภาพ เอาผิดเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดสิทธิ และจัดให้มีการเยียวยาและการรับรองความเป็นผู้เสียหายและหรือหยื่อจากการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างครบถ้วน พร้อมเร่งปฏิรูประบบการใช้กำลังและอาวุธควบคุมฝูงชนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อป้องกันไม่ให้ความรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐต้องดำเนินการทันที ไม่ปล่อยให้ผู้เสียหายรอคอยความยุติธรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่เป็นอยู่ การใช้กำลังและอาวุธควบคุมฝูงชนต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเท่านั้น — การยิงกระสุนยางใส่ใบหน้าเป็นการละเมิดร้ายแรง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 กลุ่มราษฎรหยุดAPEC2022 ประกอบด้วย ชาวบ้านจากเครือข่ายภาคประชาสังคม นักศึกษา และประชาชนจำนวนมาก ได้รวมตัวชุมนุมประท้วงโดยสงบเพื่อสะท้อนข้อกังวลต่อผลกระทบจากนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) และเรียกร้องให้รัฐบาลรับฟังเสียงของประชาชน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนกลับปิดกั้นเส้นทางและใช้กำลังสลายการชุมนุมโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า มีการผลักดัน ทำร้ายร่างกาย และยิงกระสุนยางใส่ฝูงชนอย่างไม่ได้สัดส่วน หนึ่งในกระสุนยางถูกยิงเข้าดวงตาขวาของพายุ บุญโสภณในระยะประชิด ส่งผลให้เขาสูญเสียการมองเห็นถาวร แม้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้วกว่า 3 ปี แต่การสอบสวนกลับไร้ความคืบหน้า และยังไม่มีมาตรการเยียวยาที่ชัดเจนต่อผู้เสียหาย แนวปฏิบัติของสหประชาชาติระบุชัดว่า การใช้กำลังต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย ต้องสอดคล้องกับหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน ห้ามยิงกระสุนยางใส่ศีรษะหรือใบหน้า เจ้าหน้าที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และต้องเคารพศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของผู้ชุมนุมโดยสงบเป็นอันดับแรก พายุ บุญโสภณ ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยาง เปิดเผยว่า ความเจ็บปวดที่สุดไม่ใช่เพียงบาดแผลทางร่างกาย แต่คือการที่ความจริงยังไม่ถูกเปิดเผย เหตุการณ์วันนั้นไม่ได้เป็นเพียงการสลายการชุมนุมประท้วงโดยสงบ แต่คือการทำร้ายศักดิ์ศรีของประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิมนุษยชนของตน แต่สิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือ ทางการไทยกำลังเลือกหลับตาไม่มองความจริงทั้งสองข้าง “ผมไม่อยากให้กรณีของผมกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าโศกนาฏกรรมส่วนบุคคล แต่อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นของการยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เพื่อให้คำว่าสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความหมายที่แท้จริงสำหรับทุกคน” พายุย้ำว่าการเดินทางมาในวันนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อไม่ให้มีใครต้องสูญเสียชีวิต ร่างกาย หรือเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะลุกขึ้นมาใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงโดยสงบอีกต่อไป ด้านเพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล ได้ระบุเพิ่มเติมว่า “ในกรณีของพายุนั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวเชิงโครงสร้างที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องเร่งแก้ไขอย่างเป็นระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรับผิดรับชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในสังกัดและการใช้กำลังควบคุมฝูงชนที่เกินความจำเป็น ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายมีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาว่าเหตุการณ์นี้เข้าข่ายการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีหรือไม่ รวมถึงต้องรับรองสถานะผู้เสียหายและกำหนดมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม นอกจากนี้ หน่วยงานที่กำกับดูแลสิทธิในการชุมนุมโดยสงบยังต้องทบทวนมาตรการและแนวทางการควบคุมฝูงชนเพื่อให้การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามหลักการสากลอย่างแท้จริง เพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของประชาชนที่ใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ไม่ใช่สร้างความเสี่ยงหรือความรุนแรงเพิ่มเติม” ตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รัฐต้องจัดให้มีการเยียวยาที่ครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการชดเชย (compensation) การฟื้นฟู (rehabilitation) การคืนสภาพเดิม (restitution) การค้นหาความจริงและยอมรับความรับผิดชอบ (truth-seeking และ satisfaction) และการรับประกันไม่ให้เกิดซ้ำ (guarantees of non-repetition) การเยียวยาเหล่านี้ต้องโปร่งใส ทันเวลา และคำนึงถึงศักดิ์ศรีของผู้เสียหายเป็นหลัก เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่ารัฐไทยต้องดำเนินการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน ทั้งการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมโดยสงบและการใช้กำลังให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ การกำกับดูแลอาวุธควบคุมฝูงชนทุกประเภทอย่างเข้มงวด การปรับปรุงขั้นตอนปฏิบัติและการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้เน้นการลดความตึงเครียด (de-escalation) และการคุ้มครองผู้ชุมนุม การสร้างกลไกตรวจสอบอิสระเพื่อสอบสวนการใช้กำลังที่เกินกว่าเหตุ รวมถึงการกำหนดความรับผิดของผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติอย่างชัดเจน ทั้งหมดนี้เป็นการปฏิรูปที่จำเป็นเพื่อยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด และป้องกันไม่ให้การละเมิดสิทธิซ้ำรอยเดิมเกิดขึ้นอีก ซึ่งเพชรรัตน์ได้เสริมอีกว่า “คณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติได้แสดงความกังวลและอ้างถึงกรณีพายุโดยตรง พร้อมเสนอให้ไทยปฏิรูปกฎหมายและแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ และดำเนินการสอบสวนโดยพลันและเป็นธรรมต่อกรณี พายุ บุญโสภณ รวมทั้งให้มีการเยียวยาผู้เสียหายอย่างรอบด้าน” แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 อย่างอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งนำเจ้าหน้าที่ที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จัดการเยียวยาอย่างเหมาะสมครบถ้วน ทบทวนกฎหมายและแนวปฏิบัติด้านการควบคุมฝูงชน และการชุมนุม และปรับปรุงการฝึกอบรมการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลนอกจากนี้ แอมเนสตี้เรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายออกวินิจฉัยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พรบ.ป้องกันการทรมานฯ หรือไม่ และดำเนินการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่หากพบว่ามีการละเมิดเกิดขึ้น รวมถึงการเยียวยาต่อ พายุ บุญโสภณ และผู้ได้รับผลกระทบ จากการชุมนุมราษฎรหยุด APEC 2022 อย่างเหมาะสม นอกจากนั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยยังเรียกร้องไปยังกระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ และแก้ไขกฎหมายให้คำนิยาม “การทรมาน” สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงครอบคลุมกรณีการใช้กำลังต่อบุคคลที่ไม่ได้ถูกควบคุมตัวด้วย ดวงดาว เกียรติพิศาลสกุล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า กรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับกรณีการใช้ความรุนแรงระหว่างการชุมนุมที่เกิดขึ้นกับ พายุ บุญโสภณ โดยเรื่องดังกล่าวจะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของอนุกรรมการกลั่นกรองข้อเท็จจริง ก่อนเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาต่อไป พร้อมย้ำว่ากรมฯ มีการอบรมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การควบคุมฝูงชนเป็นไปอย่างเรียบร้อยและไม่ใช้ความรุนแรง โดยทุกขั้นตอนจะดำเนินการตามระเบียบที่กำหนดไว้ ด้าน นิธิวดี พรหมอาจ หัวหน้ากลุ่มเลขานุการคณะกรรมการและอนุกรรมการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ระบุว่า แม้กระทรวงยุติธรรมจะไม่สามารถก้าวล่วงอำนาจศาลได้ แต่ถ้าหากให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพติดตามความคืบหน้าของคดี ทางกรมฯ ก็ยินดีที่จะดูแลเรื่องนี้ให้ ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพย้ำว่า พร้อมให้การช่วยเหลือในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลทั่วไป โดยมีทั้งกฎหมายที่ให้การช่วยเหลือด้านการเงิน และมาตรการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน ซึ่งใช้กับกรณีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐโดยตรง ในปีนี้ พายุ บุญโสภณ เป็นหนึ่งในบุคคลซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คัดเลือกให้เป็นกรณีรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “Write For Rights” หรือ  “เขียน เปลี่ยน โลก” เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกร่วมกันเขียนจดหมายเรียกร้องความยุติธรรมไปถึงผู้มีอำนาจ และผลักดันให้ทางการไทยยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในการสลายการชุมนุมโดยสงบ เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยยืนยันว่าจะเดินหน้ารณรงค์ร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อให้สิทธิมนุษยชนได้รับการเคารพ คุ้มครอง เติมเต็มและเกิดขึ้นจริงในชีวิตของทุกคน * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * พายุ บุญโสภณ * แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล * ราษฎรหยุด APEC 2022 * การชุมนุม * การสลายการชุมนุม * กระบวนการยุติธรรม
dlvr.it
November 18, 2025 at 6:26 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด เรียกร้อง สว.เร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด
เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด เรียกร้อง สว.เร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด auser15 Tue, 2025-11-18 - 16:55 เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาเร่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. ชี้อากาศคือพื้นฐานของการมีชีวิต การนิ่งเฉยคือการทำลายโอกาสการมีชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย รวมถึงเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงมี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 เพจ Thai Climate Justice for All รายงานว่า เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาเร่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. ระบุว่าพวกเราเครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด (Youth for Clean Air Network) เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เติบโตมาท่ามกลางสภาวะมลพิษทางอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นในทุก ๆ ปี ในขณะที่ การแก้ไขปัญหานั้น ล่าช้า และเต็มไปด้วยความเฉยชาของผู้ มีอำนาจมาเป็นเวลาหลายปี จน “อากาศสะอาด” กลายเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องร้องขอ ทั้งที่ “อากาศสะอาด” ควรเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่พลเมืองไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อให้ได้มา “สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี” ซึ่งรวมถึง “สิทธิในอากาศสะอาด” ไม่ควรเป็นอภิสิทธิ์ที่มีเพียงคนบางกลุ่มที่เข้าถึงได้ แต่ควรเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ประชาชนชาวไทยทุกคนสมควรได้รับและภาครัฐมีหน้าที่เคารพ  ปกป้อง และทำให้สิทธินี้เกิดขึ้นจริง อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 คนไทย 12.3 ล้านคนยังคงได้รับผลกระทบจากโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ และสถิติจากองค์การอนามัยโลก (World  Health Organization หรือ WHO) ปี 2565 ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตจาก PM2.5 ในไทยประมาณ 70,000 คน/ปี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เด็กเล็กและเยาวชนต้องหยุดเรียน กระทบต่อระบบการศึกษาในภาพรวม นอกจากนั้น ยังส่งผลกระทบต่อคนหลากหลายกลุ่มโดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานกลางแจ้งผู้ที่ต้องเผชิญอากาศพิษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ให้เห็นว่าสิทธิในอากาศสะอาดของประชาชนไทยยังคงถูกละเมิดอย่างร้ายแรงและต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะตราพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่สำคัญ มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศของไทยอันเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพ และปกป้องสิทธิในอากาศสะอาดของประชาชนทุกคน ทว่ากฎหมายฉบับนี้มีความเสี่ยงว่าจะถูกประวิงเวลาไม่ให้สามารถพิจารณาได้แล้วเสร็จก่อนการยุบสภาในเดือนมกราคม 2568  ซึ่งส่งผลให้กฏหมายฉบับสำคัญเช่นนี้ตกไปทันที และในขณะเดียวกันนั้น กลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบธุรกิจอ้างว่าเป็นกำลังหลักทางเศรษฐกิจของชาติ กลับเลือกอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับกฎหมายฉบับนี้ ถ้ากลุ่มธุรกิจหนึ่งสามารถอยู่รอดได้ในขณะที่คนทั้งประเทศหายใจด้วยอากาศพิษ แล้วลูกหลานของเราจะมีอนาคตที่สดใสได้เช่นไร กำไรที่ท่านได้นั้นไม่ใช่ ความยั่งยืนที่แท้จริง แต่เป็นความเห็นแก่ตัวในนามของผลประโยชน์ระยะสั้นของตนเอง โดยผลักผลกระทบและภาระให้ประชาชน รวมถึงสรรพชีวิตทั้งหมดการที่พวกเราต้องออกมาเรียกร้องกฎหมายอากาศสะอาดในวันนี้ ไม่ใช่การเริ่มต้น แต่คือผลผลิตของการต่อสู้อันยาวนานของประชาชนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ที่ต้องทนเห็นความพยายามในการออกกฎหมายถูกหยุดตามสถานการณ์บ้านเมืองจนล่าช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าลืมว่า ขณะที่กระบวนการทางการเมืองพยายามหยุดนิ่ง แต่ประชาชนยังคงหายใจด้วยอากาศพิษอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุด และตัวเลขผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรก็ไม่ได้รอให้การเมืองพร้อมเสียก่อน ทั้งหมดนี้ คือ หลักฐานว่าความเฉยชาและการประวิงเวลาของผู ้มีอำนาจ คือการปล่อยให้ประชาชนตายไปตามยถากรรม พวกเราในฐานะตัวแทนเยาวชนเชื่อว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ควรถูกสร้างบนปอดของประชาชน  เราคาดหวังว่าการตัดสินใจของภาครัฐจะสะท้อนถึงความสำคัญของสุขภาพประชาชนเหนือผลประโยชน์อื่นใดทั้งทางเศรษฐกิจหรือการเมือง พวกเรา เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด  (Youth for Clean Air Network) ต้องการมาตรการที่สามารถปกป้องสุขภาพของประชาชนอย่างแท้จริง เราไม่ต้องการการเติบโตเศรษฐกิจที่ต้องแลกมากับความกลัวว่า การหายใจในทุก ๆ วันจะกลับมาทำลายสุขภาพและชีวิตของเรา ลูกหลานของเรา และทำลายธรรมชาติที่ดูแลเรา ถึงเวลาที่ สมาชิกวุฒิสภาทุกท่านต้องรับรู้ว่าคุณภาพอากาศที่ดี กับชีวิตของคนไทยทุกคนเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ เพราะอากาศคือพื้นฐานของการมีชีวิต และการนิ่งเฉยนั้นคือการทำลายโอกาสการมีชีวิต ที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน รวมถึงเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงมี * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด * Youth for Clean Air Network * พ.ร.บ.อากาศสะอาด * PM2.5
dlvr.it
November 18, 2025 at 9:58 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
FTA ไทย-อียู คุ้มหรือไม่? ภาษีเหล้าหายหมื่นล้าน ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพพุ่ง ผู้ผลิตรายย่อยพังยับ
FTA ไทย-อียู คุ้มหรือไม่? ภาษีเหล้าหายหมื่นล้าน ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพพุ่ง ผู้ผลิตรายย่อยพังยับ Pazzle Wed, 2025-11-19 - 08:09 อุตสาหกรรมเหล้าอียูหวังใช้เอฟทีเอตีตลาดไทย ทำรายได้ภาษีลดลงปีละหมื่นล้าน แต่ค่าใช้จ่ายสุขภาพสูงขึ้น คนดื่มมากขึ้น นักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตรายย่อยพัง รัฐบาลต้องหาแนวทางป้องกันผ่านบทเรียนต่างประเทศก่อนจะสายเกินไป หนึ่งในข้อเรียกร้องสำคัญของสหภาพยุโรปหรืออียูในการเจรจาเอฟทีเอกับไทยรอบนี้คือการเปิดเสรีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่อียูต้องครอบครองให้ได้เนื่องจากอียูและสหราชอาณาจักรเป็นผู้ส่งออกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้หรือร้อยละ 51 วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) จึงกล่าวว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่อียูจะได้ประโยชน์ ต้องยอมรับในอุตสาหกรรมนี้อียูมีความแข็งแกร่งมาก มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ซึ่งมีความเรื่องราวและความเป็นมายาวนาน ทั้งในมิติประวัติศาสตร์ ศาสนา สภาพภูมิอากาศ สายพันธุ์องุ่นที่นำมาผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเทคโนโลยีการผลิตที่สั่งสมมานับพันปี “เฉพาะเหล้าอย่างเดียว 30,000 แบรนด์ และเบียร์ 100,000 แบรนด์ มีแบรนด์ไวน์ 70,000 แบรนด์” วิฑูรย์กล่าว “และที่เป็นแบรนด์ระดับโลกขายได้ทั่วโลก นอกจากแบรนด์ท้องถิ่น อีก 500-800 แบรนด์ ฉะนั้นใครเจออียูเข้าไปก็สู้ไม่ไหว ก็เลยต้องมีมาตรการจำกัดทั้งในเชิงการค้าและผลกระทบที่เกิดขึ้น” เหล่านี้คือข้อมูลที่เปิดออกมาในเวทีสาธารณะ ‘ผลกระทบและข้อเสนอภาคประชาชนต่อการเจรจาการค้า FTA Thai-EU’ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องประชุมโรงแรมแมนดาริน สามย่าน กรุงเทพมหานคร ซึ่งผลกระทบต่อสังคมไทยไม่ได้มีเพียงเท่านี้ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ (แฟ้มภาพ) ไทยได้ประโยชน์อะไรจากการลดภาษีเหล้าเป็นศูนย์ เมื่อดูข้อมูลการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยในปี 2565 จะพบว่า เรานำเข้าจากอียูและสหราชอาณาจักรสูงถึงร้อยละ 53 ของปริมาณนำเข้าทั้งหมด หากการเจรจาเอฟทีเอ อียูเป็นฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการนั่นคือการลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นศูนย์ จะทำให้รายได้หายไป 2 ส่วนประกอบด้วยส่วนที่เป็นเงินบำรุงร้อยละ 17.5 ที่เป็นส่วนหนึ่งของภาษีสรรพสามิต เงินส่วนนี้เป็นเงินที่นำส่งให้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยหรือไทยพีบีเอส เงินอุดหนุนด้านกีฬา เงินสำหรับผู้สูงวัย และเงินบำรุงท้องถิ่น เป็นต้น อีกส่วนคือเงินรายได้จากภาษีศุลกากรที่มาจากการนำเข้า ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 54-60 ของราคานำเข้า เมื่อตัดรายได้ที่รัฐควรจะได้สองส่วนนี้ออกไปจะส่งผลให้ราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าจากอียูลดลงทันทีร้อยละ 24 “กรณีเหล้านำเข้ายี่ห้อ Black Label ขายในราคาปัจจุบัน 1,729 บาท เมื่อจะทำเอฟทีเอ ภาษีเป็นศูนย์ ราคาจะถูกลงทันทีเลย 24 เปอร์เซ็นต์จาก 1,700 บาท เหลือแค่ 1,300 บาท ราคาน่าจูงใจขึ้นมาก หรือกรณีเบียร์ยี่ห้อสีเขียวราคาขายปลีกปัจจุบันอยู่ที่ 64 บาท ถ้าภายใต้เอฟทีเอจะเหลือแค่ 51.6 บาท” ขณะที่ภาษีนำเข้าไวน์ถูกลดลงเหลือศูนย์ไปแล้วตั้งแต่สมัยเศรษฐา ทวีสินเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ด้วยเหตุผลว่าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้กระทรวงการคลังต้องส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีว่านโยบายนี้จะทำให้อำนาจต่อรองในการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูลดลง เท่ากับช่วยลดภาระของอียูในการเจรจาลงไปโดยปริยาย นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตไวน์ภายในประเทศและสินค้าทดแทนที่มีราคาใกล้เคียงกัน เพิ่มปริมาณการดื่ม และรัฐต้องสูญเสียรายได้เฉพาะภาษีจากไวน์ประมาณ 429 ล้านบาทต่อปี รายได้ลด แต่ค่าใช้จ่ายสุขภาพเพิ่ม หากมองในมุมผู้บริโภคก็ต้องยอมรับว่า ผู้บริโภคจะรับประโยชน์จากในแง่การเข้าถึงผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าที่มีคุณภาพดี มีความหลากหลายกว่า 200,000 ชนิด ในราคาที่ถูกลง แต่ราคาที่สังคมไทยต้องจ่ายก็มีมากไม่แพ้กัน ประการแรกคือการสูญเสียรายได้จากภาษีศุลกากรดั่งที่กล่าวไปข้างต้น ตามมาด้วยผลกระทบต่อผู้ผลิตสุรา คราฟท์เบียร์ และไวน์ท้องถิ่น การเพิ่มขึ้นของนักดื่มหน้าใหม่โดยเฉพาะเยาวชนคนหนุ่มสาว ปริมาณการดื่มต่อคนที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องด้านสุขภาพ ปัญหาครอบครัว และอุบัติเหตุบนท้องถนน วิฑูรย์เปิดเผยผลการศึกษาว่าหากไทยยอมรับข้อเสนอของอียูโดยไม่มีเกราะป้องกันใดๆ สิ่งที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะถูกลงร้อยละ 20-25 การนำเข้าจากอียูจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 100-300 ขณะที่การนำเข้ารวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 30-100 เมื่อราคาถูกลงย่อมทำให้ปริมาณการดื่มเพิ่มขึ้นพร้อมกับนักดื่มหน้าใหม่ รายได้จากภาษีหายไป 10,500 ล้านบาทต่อปี สวนทางกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่จะเพิ่มขึ้น “แต่ว่าหมื่นล้านบาทของภาษีเหล้าที่หายไป มันไม่ได้สูญเสียแค่ภาษี มันมาพร้อมปัญหาสุขภาพที่เพิ่มขึ้น แต่เงินที่จะใช้จัดการปัญหาสุขภาพน้อยลง เขาเรียกว่า double losses หรือภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า fiscal health paradox คือขัดแย้งกันเอง คุณเจอ 2 เด้ง” บทเรียนจากต่างประเทศ นำเข้าเพิ่มขึ้น ดื่มมากขึ้น แต่ผู้ผลิตในประเทศพัง ข้อวิตกต่อปัญหาเหล่านี้มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากต่างประเทศที่มีข้อตกลงเอฟทีเอกับอียูและลดภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นศูนย์ ยกตัวอย่างเช่น “เปรูทำข้อตกลงกับอียูว่าจะลดภาษีเป็นศูนย์ภายใน 7-10 ปี หลังจากนั้นปี 2013-2023 การนำเข้าพุ่งพรวดเลย เพิ่มมากที่สุดก็คือเหล้า 4.6 เท่าตัว ปริมาณการดื่มเหล้าเพิ่มขึ้นชัดเจนจาก 5.2 ลิตรต่อคนในปี 2010 เป็น 5.7 ลิตรต่อคนในปี 2019 แล้วสุราประจำชาติของเขาที่เรียกว่า PISCO ก็แทบขายไม่ได้เลย นั่นขนาดมีสุราประจำชาติแล้วนะ ของเรายังเป็นท้องถิ่นอยู่เลย ยังไม่เกิดเลย นี่พัง” เช่นเดียวกับประเทศเอกวาดอร์ หลังจากลดภาษีเบียร์และไวน์เป็นศูนย์ตั้งแต่ปีแรก การนำเข้าจากอียูก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 9.8 เท่า Aguardiente เหล้าท้องถิ่นสูญเสียตลาดให้กับจินและว็อดก้านำเข้า ขณะที่จำนวนผู้ดื่มไม่เพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มผู้หญิงในเมือง แต่ก็มีการเปลี่ยพฤติกรรมการดื่มมาดื่มเครื่องดื่มนำเข้าแทน กรณีประเทศโคลอมเบียก็เดินตามรอยผลกระทบเช่นเดียวกับเปรูและเอกวาดอร์ ส่งผลให้รัฐบาลเอกวาดอร์จำเป็นต้องออกมาตราบรรเทาปัญหาด้วยเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 เก็บค่าใบอนุญาตการขาย และให้อำนาจแต่ละจังหวัดสามารถออกใบอนุญาตระดับจังหวัด “พอออกมาตรการเหล่านี้ปั๊บ จากที่สูงก็ลงมาเลย ประเทศไทยควรเรียนรู้อย่างยิ่ง แต่ที่คุณจะเจอแน่ๆ คืออียูจะฟ้อง WTO (องค์การการค้าโลก) ว่าขัดกับข้อตกลง ขัดระเบียบการค้า แต่ใช้เวลาในการฟ้องคดีประมาณ 10 ปี ยังเพิ่งต่อรองกันว่าจะลดเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นฟ้องไม่ต้องกลัว มันใช้เวลาในกระบวนการไต่สวน” วิฑูรย์ยังยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีสถานะทางเศรษฐกิจสูงกว่าไทย แต่ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกับตัวอย่างประเทศอื่นๆ คือปริมาณการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงปี 2018-2022 เพิ่มร้อยละ 13.3 ต่อปี แต่ด้วยอิทธิพลของวัฒนธรรมองค์กร เทรนด์สมัยใหม่ กฎหมายที่เข้มงวดจึงทำให้การดื่มโดยรวมลดลงเล็กน้อย สร้างเกราะป้องกันก่อนสายเกินไป เมื่อเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นแบบนี้แล้ว คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่าประเทศไทยควรทำอย่างไรเพื่อรับมือสถานการณ์ข้างหน้า วิฑูรย์เสนอว่า “สิ่งที่เราทำได้ก็คือ อันที่ 1 ต่อรองให้นานที่สุด ถ้าทำได้ก็คือไม่เอาได้ไหม แต่ถ้าไม่ได้ต้องต่อรองอย่าให้เป็นศูนย์ตั้งแต่ปีแรก คือคุณมีเป้าอยู่ที่ 10 ปีเป็นต้นและหวังว่าภายใน 10 ปีจะจัดการปัญหาผลกระทบได้” ข้อเสนอต่อมาคือใช้วิธีการเดียวกับรัฐบาลเวียดนามที่ขึ้นภาษีสรรพสามิตแทนภาษีศุลกากรและควรเพิ่มก่อนที่ข้อตกลงจะมีผลผูกพัน โดยเวียดนามเพิ่มภาษีสรรพสามิตในบางรายการจากร้อยละ 35 เป็นร้อยละ 90 จากปี 2021-2033 ซึ่งช่วยทดแทนรายได้ที่สูญเสียไปจากภาษีศุลกากรโดยไม่ผิดข้อตกลงใดๆ นอกจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิต เกาหลีใต้ยังใช้มาตรการลดความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือด (Blood alcohol concentration: BAC) เป็นการควบคุมการดื่มให้ลดลงเหลือร้อยละ 0.03 เพื่อลดอุบัติเหตุ ขณะที่ญี่ปุ่นใช้วิธีรณรงค์ด้วยการตั้งเป้าลดการดื่มลงร้อยละ 20 ภายในปี 2025 “นี่คือสิ่งที่เราสามารถทำได้ ที่เราเห็นว่าภาษีเราที่เก็บตอนนี้ 60 เปอร์เซ็นต์ จริงๆ น้อยกว่าอีกหลายประเทศในอียูด้วยซ้ำ ตอนนี้ภาษีต่อราคาขายของไทยแทบจะต่ำสุดใน 4 ประเทศที่ทำการศึกษา เพราะฉะนั้นการเพิ่มภาษีก็ดี ไม่ได้เกิดผลกระทบเลย มาตรการนี้เกิดขึ้นแล้วในยุโรป เพียงแต่เรียกภาษีแตกต่างกันแค่นั้นเอง”   * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * สังคม * วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ * มูลนิธิชีววิถี * อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ * การลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ * fiscal health paradox * FTA ไทย-อียู
dlvr.it
November 19, 2025 at 1:21 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
'จดหมายจากไผ่' ถูกตัดสิทธิเยี่ยมญาติ หลังประท้วงผู้คุม กักโรคนานไม่ย้ายแดนให้
'จดหมายจากไผ่' ถูกตัดสิทธิเยี่ยมญาติ หลังประท้วงผู้คุม กักโรคนานไม่ย้ายแดนให้ Pazzle Wed, 2025-11-19 - 19:15 “จดหมายจากไผ่” ระบุ ถูกตัดสิทธิเยี่ยมญาติใกล้ชิดในวันที่ 27 พ.ย. นี้ คาดว่าสาเหตุมาจากการประท้วงผู้คุมในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ไม่ย้ายแดนเมื่อกักโรคครบ 5 วัน โดยให้ไผ่อยู่ในห้องกังโรคนานกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ในการประท้วงผู้คุมไผ่ได้ใช้กาแฟผสมน้ำเขียนใส่ผนังหนังกักตัว ด้วยข้อเรียกร้องของการต่อสู้เมื่อปี 63 “ปฏิรูปสถาบัน Reform the Monarchy” ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา ไผ่และครูใหญ่ อรรถพล 2 ผู้ต้องขังคดี ม.112 ได้ถูกย้ายจากเรือนจำภูเขียวมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ   19 พ.ย. 2568 เฟซบุ๊กของไผ่-จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักกิจกรรมกลุ่มทะลุฟ้า วัย 34 ปี ซึ่งขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยผลของคดี ม.112 ได้โพสต์ “จดหมายจากไผ่” ระบุว่า ไผ่ถูกตัดสิทธิเยี่ยมญาติใกล้ชิดในวันที่ 27 พ.ย. นี้ คาดว่าสาเหตุมาจากการประท้วงผู้คุมในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ให้ไผ่อยู่ในห้องกังโรคนานกว่าผู้ต้องขังรายอื่น จดหมายจากไผ่ ผมใช้กาแฟผสมน้ำ ปั้นแล้วเขียนใส่ผนัง เพื่อประท้วงการกักขังโรคที่นานจนเกินไป เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา ผมและครูใหญ่ย้ายจากเรือนจำภูเขียวมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และได้เข้าไปกักตัวห้อง 13 แดน 2 ซึ่งโดยปกติเราจะต้องถูกกักโรค 5 วันแล้วจึงจะได้จำแนกลงมาใช้ชีวิตข้างล่าง แต่เมื่อครบ 5 วันตามกำหนดเพื่อนผู้ต้องขังในห้องอื่นๆถูกจำแนกตัวไปยังแดนต่างๆ แล้ว ผมยังต้องกักโรคอยู่ เหมือนถูกกลั่นแกล้งจากผู้คุม ผมจึงประท้วงโดยใช้ข้อเรียกร้องของการต่อสู้เมื่อปี 63 “ปฏิรูปสถาบัน Reform the Monarchy” มาเขียนบนผนัง วันต่อมา นายนิภัทรชล หินสุข ได้ให้ผู้ช่วยงานเรือนจำมาใส่กุญแจมือไขว้หลัง ให้มาประกบผมซ้ายขวา แล้วพาผมลงไปสอบถามที่หน้าแดน 2 ในช่วงบ่ายมีเจ้าหน้าที่ ชื่อนายสันติ ป้องนพ ขึ้นมาที่ห้องกักโรคที่ผมอยู่ เพื่อถ่ายรูปและยังขู่ว่า จะไม่ให้ไปอยู่กับอานนท์และเพื่อนคู่คดีที่แดน 4 จะให้ไปอยู่ที่แดน 8 วันพุธที่ 1 ตุลาคม 68 คณะกรรมการจำแนกได้ให้ผมกับครูใหญ่ไปอยู่แดน 8 ตามที่นายสันติได้ขู่ไว้จริง หลังจากนั้นก็มีคณะกรรมการตรวจสอบวินัยมาสอบถามข้อเท็จจริงจากผม และเรื่องราวก็เงียบไป จนกระทั่งได้ทราบจากญาติว่าการจองเยี่ยมญาติใกล้ชิด ในวันที่ 27 พ.ย. ช่วงบ่ายของผมถูกตัดสิทธิ์ โดยที่ผมไม่ได้รับแจ้งผลของคณะกรรมการสอบวินัยด้วยซ้ำ “ผมโดนตัดสิทธิ์ที่จะได้พบปะญาติพี่น้องในวันเยี่ยมญาติใกล้ชิด” ทั้งนี้เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2568 ไผ่ และครูใหญ่ - อรรถพล บัวพัฒน์ 2 นักกิจกรรมภาคอีสาน ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาจำคุกในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในการชุมนุมหน้าโรงเรียนภูเขียวและ สภ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเรียกร้องให้ตำรวจ สภ.ภูเขียว ขอโทษ กรณีไปคุกคามนักเรียนที่บ้าน ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ศาลจังหวัดภูเขียวอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลจังหวัดภูเขียวพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 112 จำคุกคนละ 3 ปี  เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 จตุภัทร์กึ่งหนึ่ง เนื่องจากเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก และได้กระทำผิดซ้ำภายใน 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 2 อรรถพล มีกำหนด 2 ปี ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต พิพากษายกฟ้อง ภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษา ไผ่และครูใหญ่ได้ยื่นขอประกันตัวรวม 3 ครั้งแล้ว แต่ศาลฎีกาไม่อนุญาต โดยอ้างเหตุว่า “หากปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 อาจจะหลบหนี”   * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา * อรรถพล บัวพัฒน์ * คดี ม.112 * เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
dlvr.it
November 19, 2025 at 12:23 PM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
หูฉลามเอฟต้าก็ภาษี 0%
www.fisheries.go.th/strategy-tra...
November 10, 2025 at 9:47 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
อีกข้อคือแปลกใจที่ประมงไทยระดับอุตสาหกรรมเงียบมากในเรื่องนี้ ทั้งที่ถ้าปลาไทยขายในไทยสู้ปลานอกไม่ได้ มันก็ไม่ได้กระทบแค่ปลาเลี้ยงซักหน่อย, แทนที่จะปกป้องผลประโยชน์ตลาดปลาไทย ดันไปให้ความสำคัญเรื่องผ่อนปรนอวนตาถี่ก่อน
November 10, 2025 at 9:46 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
ตอนรู้นี่โห ไม่ได้เลย ผู้เพาะเลี้ยงไทยตอนนี้ก็ลำบากมากๆ แล้ว เจออย่างนี้เข้าไปอีก แล้วยังปลาหมอคางดำอีก ทำไงวะ (ส่วนธุรกิจแปรรูปเพื่อส่งออกไม่ค่อยกระทบ เพราะลดหย่อนได้) ห่วงโซ่อาหารคนไทยพังไปแล้วเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่ความเสียหายเป็นตัวเงิน แต่คือคน คือ know how ด้วย
November 10, 2025 at 9:46 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
สินค้าประมงที่ไทยนำเข้าจากเอฟต้า อันดับที่ 1 49.17% คือ ปลาแซลมอนแอตแลนติกสด แช่เย็น ปริมาณเฉลี่ยต่อปี 11,789.55 ตัน มูลค่าเฉลี่ยต่อปี 3,447.83 ล้านบาท

และไทยนำเข้าสินค้าประมงจากเอฟต้ามากกว่าส่งออก ทำให้ขาดดุลเฉลี่ยต่อปี 3,264.55 ล้านบาท
November 10, 2025 at 9:46 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
ล่าสุด ต้นปี 2568 นี้มีการเซ็นสัญญา EFTA กับกลุ่มเอฟต้า 4 ประเทศ ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าสินค้าเกษตรกว่า 8,000 อย่าง และมีราวๆ 100 กว่ารายการที่เป็นสินค้าประมงประเภทปลาบริโภค
(ภาพด้านบนจาก ชิน ศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย)
November 10, 2025 at 9:46 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
ความรู้ใหม่ของชั้นวันนี้: เสรีการค้า FTA ทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าประมงหลายอย่างเป็น 0% ...เพาะเลี้ยงไทยคือเจ็บซ้ำซาก ทั้งทุนกินรวบอาหารสัตว์ FTA แล้วยังปลาหมอคางดำ
คืองี้ ปลาหลายอย่างที่เคยเป็นของหรูหราราคาแพง แต่หลังๆ ถูกลง สาเหตุหนึ่งเพราะเสรีการค้าหรือเก็บภาษีต่ำ 0-5% โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากเกษตรกร เช่น 2549 เปิดให้จีน, ปลากะพงมาเลเซีย, แซลมอน, ซาบะ, ฯลฯ (ต่อ)
November 10, 2025 at 9:46 AM
Reposted by kit°🏳️‍🌈🏳️‍⚧️(they/them)
Gaming icon Rebecca Heineman has died after her battle with cancer. She was an out transgender woman, and is remembered across the gaming industry for her pioneering leadership, and across the LGBTQ community for her steadfast advocacy.

Read more about her life and legacy: glaad.org/remembering-...
November 19, 2025 at 9:48 PM