Prachatai Feeds
banner
prachataifeeds.bsky.social
Prachatai Feeds
@prachataifeeds.bsky.social
พรรคประชาชนแถลงขอโทษเปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส. หลังเอี่ยวคดีฟอกเงิน
พรรคประชาชนแถลงขอโทษเปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส. หลังเอี่ยวคดีฟอกเงิน
พรรคประชาชนแถลงขอโทษเปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส. หลังเอี่ยวคดีฟอกเงิน auser15 Mon, 2025-12-29 - 10:48 พรรคประชาชนแถลงขอโทษประชาชน เหตุเปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส.เขตบางพลัด-บางกอกน้อย กทม. หลังถูกออกหมายจับเอี่ยวคดีฟอกเงิน 29 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการบริหารพรรคประชาชน ในฐานะผู้รับผิดชอบแคมเปญเลือกตั้งกรุงเทพฯ แถลงข่าวด่วน ระบุว่าเมื่อช่วง 07.00 น. ที่ผ่านมา ตนได้โทรศัพท์ไปสอบถามตารางการหาเสียงช่วงปีใหม่ของนายบุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ผู้สมัคร สส. เขตบางพลัด-บางกอกน้อย จึงได้ทราบว่าบุญฤทธิ์ถูกออกหมายจับเนื่องจากมีชื่อในบริษัทที่เชื่อมโยงกับการฟอกเงิน ตนต้องกราบขอโทษพี่น้องประชาชนอย่างสูง โดยเฉพาะชาวบางพลัดและบางกอกน้อย พรรคได้ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้สมัครทุกคนอย่างละเอียด แต่ในกรณีของนายบุญฤทธิ์ ไม่มีการออกหมายเรียก ออกมาเป็นหมายจับเลยในวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พรรคได้ตรวจประวัติผู้สมัครทุกคนเสร็จสิ้นไปแล้ว พรรคจึงไม่ทราบเรื่อง มาทราบเมื่อเช้าตอนที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้สมัครแล้ว ทันทีที่ทราบเรื่องเมื่อเช้าวันนี้ พรรคก็ได้ดำเนินการหารือกับกรรมการบริหารพรรค และแจ้งผู้สมัครว่าจะเปลี่ยนตัวผู้สมัคร เพื่อให้ผู้สมัครเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายต่อไป พร้อมยืนยันว่าทางพรรค ไม่มีการปกปิดหรือปกป้องใครทั้งสิ้น ซึ่งทางตัวผู้สมัครเองยอมรับการตัดสินใจของพรรค นายพิจารณ์ยืนยันว่าพรรคจะต้องเปลี่ยนตัวผู้สมัครใหม่ ซึ่งสามารถทำกระบวนการได้ทันก่อนหมดเขตรับสมัครในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ส่วนในคดีของบุญฤทธิ์ จากการสอบถามตัวผู้สมัครเอง ไม่ได้มีการรอขอให้ทางพรรคช่วยเหลือ มีเพียงการอธิบาย ว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ผู้สมัครได้เข้าไปเป็นกรรมการและไปเป็นผู้ถือหุ้นในธุรกิจส่งออกน้ำมันไปยังต่างประเทศ จึงเป็นต้นเหตุของข้อกล่าวหาในการฟอกเงินดังกล่าว ซึ่งก็ต้องให้ทางผู้สมัคร เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายเพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อไป ซึ่งพรรคจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พรรคประชาชนยืนยันเรื่อง “มีส้มไม่มีเทา” ไม่มีการปกป้องใครแม้เป็นผู้สมัครของตัวเอง โดยพิจารณ์ยืนยันว่าการที่ตำรวจออกหมายจับ ก็แสดงว่ามีพยานหลักฐานหนักแน่นพอสมควร ก็ต้องให้กระบวนการยุติธรรมทำงานไปตามปกติ พร้อมย้ำว่า อยากฝากไปถึงพี่น้องประชาชนทุกท่าน ว่าพรรคประชาชนพยายามออกแบบกระบวนการคัดสรรผู้สมัครให้รัดกุมมากขึ้นทุกการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้ผู้สมัครที่ดีที่สุด แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาด ต้องขอโทษประชาชนอีกครั้งที่ทำให้ท่านผิดหวัง แต่ “มีส้มไม่มีเทา” ไม่ใช่แค่สโลแกนหาเสียง เราพิสูจน์ด้วยการกระทำว่าเราไม่อ่อนข้อต่อทุนเทา การทุจริต คอรัปชั่นใดๆ ด้วยการจัดการเรื่องนี้อย่างโปร่งใสและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ในวันที่เราได้รับโอกาสให้เข้าไปบริหารประเทศ ประชาชนจะมั่นใจได้ว่าพรรคจะไม่ใช้อำนาจในทางมิชอบ ไม่ปกป้องเครือข่ายพวกพ้องที่กระทำผิดกฎหมาย นอกจากนี้ในเพจพรรคประชาชน ยังได้เผยแพร่แถลงการณ์ กราบขอโทษประชาชน กรณีต้องเปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส. เขตบางพลัด-บางกอกน้อย ระบุว่า พรรคประชาชนกราบขอโทษพี่น้องประชาชนอย่างสูง โดยเฉพาะชาวบางพลัดและบางกอกน้อย จากกรณีที่บุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ผู้สมัคร สส. พรรคประชาชน เขตบางพลัด-บางกอกน้อย ถูกออกหมายจับคดีฟอกเงิน ทำให้พรรคตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส. ในเขตนี้ ที่ผ่านมา พรรคได้ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้สมัครทุกคนอย่างละเอียด แต่ในกรณีของบุญฤทธิ์ ไม่มีการออกหมายเรียก ออกมาเป็นหมายจับเลยในวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พรรคได้ตรวจประวัติผู้สมัครทุกคนเสร็จสิ้นไปแล้ว พรรคจึงไม่ทราบเรื่อง มาทราบเมื่อเช้า เวลา 7.00 น. ที่ผ่านมา ในตอนที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้สมัครแล้ว ในทันทีที่ทราบเรื่อง พรรคก็ได้ดำเนินการแจ้งผู้สมัครและแถลงต่อประชาชนว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เรายืนยันว่าไม่มีการปกปิดหรือปกป้องใครทั้งสิ้น ในส่วนของการเปลี่ยนตัวผู้สมัครใหม่ พรรคประชาชนยืนยันว่าเราสามารถทำกระบวนการได้ทันก่อนหมดเขตรับสมัครในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่ามีผู้สมัครของพรรคลงในเขตนี้อย่างแน่นอน ส่วนคดีของบุญฤทธิ์ เจ้าตัวต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ตัวเองตามสิทธิ์ ซึ่งพรรคจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พรรคประชาชนยืนยันเรื่อง “มีส้มไม่มีเทา” ไม่มีการปกป้องใครแม้เป็นผู้สมัครของตัวเอง พรรคประชาชนขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนทุกท่าน ว่าเราพยายามออกแบบกระบวนการคัดสรรผู้สมัครให้รัดกุมมากขึ้นทุกการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้ผู้สมัครที่ดีที่สุด แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาด เรากราบขอโทษประชาชนอีกครั้งที่ทำให้ท่านผิดหวัง แต่ “มีส้มไม่มีเทา” ไม่ใช่แค่สโลแกนหาเสียง เราพิสูจน์ด้วยการกระทำว่าเราไม่อ่อนข้อต่อทุนเทา การทุจริต คอรัปชั่นใดๆ ด้วยการจัดการเรื่องนี้อย่างโปร่งใสและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ในวันที่เราได้รับโอกาสให้เข้าไปบริหารประเทศ ประชาชนจะมั่นใจได้ว่าพรรคจะไม่ใช้อำนาจในทางมิชอบ ไม่ปกป้องเครือข่ายพวกพ้องที่กระทำผิดกฎหมายอย่างแน่นอน * ข่าว * การเมือง * พรรคประชาชน * การเลือกตั้ง * การเลือกตั้ง 2569
dlvr.it
December 29, 2025 at 3:53 AM
'ทรัมป์' ยินดีไทย-กัมพูชาหยุดยิง
'ทรัมป์' ยินดีไทย-กัมพูชาหยุดยิง
'ทรัมป์' ยินดีไทย-กัมพูชาหยุดยิง auser15 Mon, 2025-12-29 - 10:34 'โดนัลด์ ทรัมป์' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์โซเชียลระบุยินดีไทย-กัมพูชาหยุดยิง ย้ำว่าสหรัฐฯ ยินดีที่ได้ช่วยเหลือ 29 ธันวาคม 2568 Thai PBS รายงานว่า  โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความผ่านทรูธ โซเชียล ระบุว่า ยินดีที่จะประกาศว่าการสู้รบที่ปะทุขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชาจะยุติลงในไม่ช้านี้ และพวกเขาจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมแสดงความยินดีกับผู้นำของทั้ง 2 ประเทศที่บรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็วและยุติธรรม และย้ำว่าสหรัฐฯ ยินดีที่ได้ช่วยเหลือ ทรัมป์ยังระบุด้วยว่า สงครามและความขัดแย้งทั้งหมดที่ตนได้เข้าไปจัดการและยุติลงในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีถึง 8 ศึก บางครั้งสหรัฐฯ อาจกลายเป็นสหประชาชาติที่แท้จริงไปแล้ว ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ มีขึ้นหลัง มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาแสดงความยินดีกับประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตามข้อผูกพันนี้โดยทันที และปฏิบัติตามเงื่อนไขในข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์อย่างครบถ้วน * ข่าว * ต่างประเทศ * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * โดนัลด์ ทรัมป์ * สหรัฐอเมริกา
dlvr.it
December 29, 2025 at 3:40 AM
กกต.แจงไทม์ไลน์เลือกตั้ง สส. พร้อมประชามติ
กกต.แจงไทม์ไลน์เลือกตั้ง สส. พร้อมประชามติ
กกต.แจงไทม์ไลน์เลือกตั้ง สส. พร้อมประชามติ auser15 Mon, 2025-12-29 - 10:07 กกต.แจงไทม์ไลน์เลือกตั้ง สส. พร้อมประชามติ คาด 11 ก.พ.69 รู้ผลประชามติ และ 9 เม.ย.69 รู้ผลเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  เผยแพร่ข่าวเลขที่ 559/2568 ระบุว่า กกต. เห็นชอบแผนจัดการออกเสียงประชามติ ที่กำหนดเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้ง สส. ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ได้มีการเผยแพร่ไทม์ไลน์การจัดออกเสียงประชามติ โดยมีกิจกรรมทับซ้อนกับการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันที่คาดว่า นายกรัฐมนตรีจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงประชามติ และมีการลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียงนอกเขตออกเสียงและนอกราชอาณาจักร รวมถึงลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียง ณ ที่ออกเสียงสำหรับคนพิการหรือทุพพลภาพหรือผู้สูงอายุ ระหว่างวันที่ 3-5 มกราคม 2569 และในวันที่ 7 มกราคม 2569 ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขต จะประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัคร สส.เขต และบัญชีรายชื่อ และในวันที่ 8 มกราคม 2569 จะเป็นวันสุดท้ายของการส่งข้อมูลเรื่องที่จะจัดทำประชามติแจ้งเจ้าบ้าน ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนวันออกเสียงไม่น้อยกว่า 30 วัน รวมถึงเป็นวันสุดท้ายที่กำหนดออกเสียงนอกเขต และที่ออกเสียงสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพหรือผู้สูงอายุ วันที่ 13 มกราคม 2569 เป็นวันสุดท้ายที่ กกต.ประจำเขตเลือกตั้งจะประกาศกำหนดหน่วยเลือกตั้งและที่เลือกตั้ง และประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเป็นวันสุดท้ายที่มีการประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ และประกาศกำหนดหน่วยออกเสียงและที่ออกเสียง ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนการออกเสียงประชามติไม่น้อยกว่า 25 วัน ส่วนการแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิออกเสียงก่อนวันออกเสียง จะเปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 14 มกราคม ถึง 7 กุมภาพันธ์ 2569 และในวันที่ 17 มกราคม 2569 จะเป็นวันสุดท้ายที่ กกต.เผยแพร่ข้อมูลการออกเสียงผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันประกาศให้มีการออกเสียงประชามติ ขณะที่การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง เลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้ง และเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพหรือผู้สูงอายุ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 และกำหนดให้วันที่ 1-7 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง และ 4 กุมภาพันธ์ 2569 จะมีการประกาศจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรแยกตามประเทศ และจำนวนผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียงประชามตินอกราชอาณาจักรแยกตามประเทศ โดยมีการเลือกตั้ง สส. และออกเสียงประชามติพร้อมกันในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ขณะที่การออกเสียงนอกราชอาณาจักรนั้น วันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2569 กกต.เขตจะรายงานผลการรวมคะแนนออกเสียงประชามติให้ กกต.ทราบ ส่วนการนับคะแนนการออกเสียงประชามตินอกราชอาณาจักรและยื่นคัดค้านต่อ กกต. จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ 2569 ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการประกาศผลการออกเสียงประชามติได้ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2569 และในวันที่ 9 เมษายน 2569 จะเป็นวันสุดท้ายที่ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้ง สส. แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ * ข่าว * การเมือง * สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง * กกต. * การเลือกตั้ง * การเลือกตั้ง 2568 * ประชามติ
dlvr.it
December 29, 2025 at 3:13 AM
Thailand-Cambodia signs ceasefire agreement
Thailand-Cambodia signs ceasefire agreement
Thailand-Cambodia signs ceasefire agreement Thailand and Cambodia signed a joint statement at the General Border Committee (GBC) meeting in Chanthaburi agreeing to a ceasefire starting from noon on Saturday (27 December). According to the agreement, the 18 Cambodian soldiers held by the Thai authorities as prisoners of war will be returned to Cambodia once the ceasefire has been sustained for 72 hours. The meeting took place at the Ban Phakkad border checkpoint in Chanthaburi’s Pong Nam Ron district. Thai Defence Minister Gen Natthaphon Narkphanit and his Cambodian counterpart Gen Tea Seiha signed the statement, setting out de-escalation measures and mechanisms for their implementation and verification under the Kuala Lumpur agreement reached on 26 October 2025. Both countries agreed to the following de-escalation measures and mechanisms for the implementation and verification of these measures: I. De-escalation Measures    * Both sides agree to an immediate ceasefire after the time of signature of this Joint Statement with effect from 12:00 hours noon (local time) on 27 December 2025, involving all types of weapons, including attacks on civilians, civilian objects and infrastructures, and military objectives of either side, in all cases and all areas. Both sides must avoid unprovoked firing or advancement or movement of troops towards the other side's positions or troops. This agreement must not be violated under any circumstances.  * Both sides agree to maintain current troop deployments without further movement. There shall be no troop movements, including patrol towards the other side's position.  * Both sides agree that all arrangements under this Joint Statement are without prejudice to the border demarcation and international boundary between the two countries. Both sides agree to refer to the Joint Boundary Commission to resume, at the earliest, the survey and demarcation works, in accordance with existing agreements between the two countries to achieve lasting peace along the border. Both sides agree to utilize Joint Boundary Commission's existing mechanisms to ensure safety and security of the joint survey team on the ground, including its safety from landmines. Both sides agree that the Joint Boundary Commission will accord the first and foremost priority for the immediate survey and demarcation works in the affected border areas where the civilians resided. * Both sides agree to allow civilians residing in the affected border areas to return at the earliest, without obstruction and in safety and dignity, to their homes and normal livelihoods in areas within their own side.  * Both sides agree not to increase forces along the entire Cambodia Thailand border. Any reinforcement would heighten tensions and negatively affect long-term efforts to resolve the situation.  * Both sides agree not to undertake provocative actions that may escalate tensions. This includes military activities to enter the other side's air space and territory or positions as of ceasefire. Both sides agree to refrain from constructing or enhancing any military infrastructure or fortifications beyond their own side.  * Both sides agree not to use any kind of forces against civilians and civilian objects in all circumstances. Such actions would not only endanger communities in the border areas but also violate international law and tarnish the global image of the non-compliant side.  * Both sides agree to refrain from disseminating false information or fake news in order to de-escalate tensions, mitigate negative public sentiment, and foster an environment conducive to peaceful dialogue.  * Both sides reaffirm their obligations under the Convention on the Prohibition of the Use, Stockpiling, Production and Transfer of Anti-Personnel Mine and on Their Destruction (Ottawa Convention). Both sides will work together through the Joint Coordinating Task Force (JCTF) on Humanitarian Demining in accordance with the agreed Standard Operating Procedures (SOP) to make timely progress on demining efforts along the border. * Both sides agree to adhere to the Action Plan for Cooperation on the Prevention and Suppression of Transnational Crimes, including Cyber Scams and Human Trafficking, between the Cambodian National Police and the Royal Thai Police, and reaffirm the commitment to enhance cooperation aimed at preventing online scams, addressing the misuse of digital platforms, and promoting responsible and accurate information in a manner that contributes to trust, stability, and good neighbourly relations.  * In the spirit of the Kuala Lumpur Joint Declaration on 26 October 2025, the 18 Cambodian soldiers will be returned to Cambodia after the ceasefire has been fully maintained for 72 hours.  II. Mechanisms for the Implementation and Verification of De-escalation Measures  * Both sides recognize the important role of ASEAN Observer Team (AOT) and agree to strengthen the roles of the AOT. in consultation with both the ASEAN Chair and the AOT, in verifying and ensuring the effective implementation of all the measures in this Joint Statement.  * To ensure effective implementation, both sides agree to utilize the Thailand-Cambodia and Cambodia-Thailand Border Coordination Units to ensure that the ceasefire is sustained, manage situations on the ground, address incidents in a timely manner, and prevent miscalculation under the observation and verification of the ASEAN Observer Team.  * Both sides will maintain regular and direct lines of communication between their Ministers of Defence and Chiefs of Defence Forces for prompt response to urgent situations that cannot be addressed at the local level. If required, high-level representatives from both sides will meet to effectively resolve any issues on the ground. * The JCTF will notify respective local authorities of its own side as well as the JCTF of another side to be aware of and to facilitate the Humanitarian Demining operations in the agreed priority border areas according to the Action Plans agreed by both sides for smooth operation without any obstructions or misunderstanding.  * Official media teams from both sides will maintain regular and direct communication to ensure the effective prevention and management of misinformation and disinformation. They will also ensure transparency and accuracy of news and reports to enhance mutual trust.  eng editor 1 Sat, 2025-12-27 - 23:29 * News * Thai-Cambodian conflicts (Feed generated with FetchRSS)
dlvr.it
December 28, 2025 at 2:31 PM
Seeking paths towards healing: mental health in Myanmar’s war
Seeking paths towards healing: mental health in Myanmar’s war
Seeking paths towards healing: mental health in Myanmar’s war First published on Myanmar Now, 26 December 2025 In mid-2022, Ma Nyi, a mental health professional living in Thailand, took a phone call from her cousin, a battalion leader with an anti-junta resistance force in Karenni (Kayah) State.  “My guys are having mental problems,” he said. “We have to do something.”  Barely beyond their teens, the young recruits under his command were facing burnout and breakdown, he said. They had struggled through arduous military training and were now enduring the unforgiving realities of war, far from their former lives and loved ones. With Myanmar’s protracted civil war continuing to take an immense psychological toll on soldiers, civilians, and the displaced, mental health professionals described to Myanmar Now the effects they have observed on people’s emotional lives, and shared thoughts on where they hope to find pathways for healing.  Mental healthcare in Myanmar Even prior to the 2021 military coup, access to professional mental health support in Myanmar was extremely scarce. In a generally under-resourced healthcare system, mental health received less than one percent of the health budget, and an entrenched social stigma prevented many from seeking support. Ko Tamar, 38, spent five years as a psychiatrist at Yangon Mental Health Hospital. Following the 2021 coup, he traded his clinical practice for the revolution, joining the People’s Defence Forces (PDF) as a company leader. Even before the coup, he says, the state system was severely understaffed and underfunded, leaving mental healthcare one of the most neglected pillars of public health—particularly in ethnic and conflict-affected regions. Just two dedicated state-run psychiatric hospitals, in Yangon and Mandalay, and an estimated 200 psychiatrists served the country’s population of over 54 million. Even before the coup, local surveys suggested a massive “treatment gap,” with up to 95 percent of individuals with severe conditions like psychosis left without professional care. Ko Tamar attributed this neglect to a chronic lack of funding and persistent stigma.  Ma Nyi, who trained as a counsellor in Yangon, concurred about the difficulty of accessing psychological support in Myanmar before the coup, even for those who could afford it.  “If you have cancer, if you have heart disease, you can go abroad if you have the money and get treatment,” she said. “But mental health is not like that. You need language, you need cultural understanding. So a lot of people, I think, just suffer.” The coup catastrophically deepened the crisis. With Myanmar’s populace facing conflict, forced conscription, and economic collapse, psychiatrists and psychologists have been forced to choose between participating in the Civil Disobedience Movement (CDM)—the wave of protests and strikes organised in opposition to the 2021 military coup—and remaining “non-CDM” to avoid incurring punishment and keep offering their badly needed services.  This agonising dilemma has caused bitter division among mental health professionals, according to Ko Tamar. Yet, according to mental health professionals including Ko Tamar and Ma Nyi, the intensifying crisis has paradoxically caused the social stigma attached to suffering from mental health issues to lighten somewhat since the Covid-19 pandemic’s onset and the military coup.  Ko Tamar described the shift: “In the past, even the psychiatrists were stigmatised,” he said. “They used to call us ‘crazy doctors’. Now they are seeing us as a necessity, they see us as in demand. From that, we can see that society is changing a bit.” The change may stem from the prevalence of mental health struggles in Myanmar currently, as people see that emotional distress is a universal response to life under the junta, Ko Tamar suggested.  Underscoring the weight of the collective mental health burden in Myanmar, the medical journal The Lancet found in 2024 that one in three adults reported a probable mental disorder, with up to 80 percent of probable post-traumatic stress disorder (PTSD) attributable to “political stress”. Amid this widening crisis brought on by the coup and ensuing conflict, the organisation Jue Jue’s Safe Space began operating a suicide prevention hotline in 2022, now run by 200 volunteers. The founder, Jue Jue, emphasised the importance of viewing mental health challenges as more than just an individual issue.  “It's not that we’re weak and we’re suffering,” she said. “It's because we are impacted by this unjust system. It helps people to shift from being defeated to, okay, it's just a part of our environment that we live in.” Dr Tracy, a 27-year-old junior medical officer at a frontline hospital in Karenni State, is seeing this cultural shift reinforced by active education. Even in the most unstable and potentially hazardous settings, such as camps for internally displaced people, she says there are now active efforts to foster mental health literacy and encourage group counselling.  “People need to know that feeling depressed or mentally unwell is not shameful,” Dr Tracy said. “Going to see a doctor or mental health professional is not disgraceful.” Jue Jue, the founder of Jue Jue’s Safe Space, explains the programmes run by her mental health organisation at an event in early 2025 (Photo: Supplied) Trauma and psychological scars Ko Tamar describes the impact of living in the resistance forces on the minds of his soldiers. After battles, some under his command would experience PTSD.  “They’re not just afraid,” he said. “They have to relive their experience: the experience of a shell falling near you again and again. When a tree branch would fall on the rooftop they would be shocked and run sometimes.”  In her hospital in Karenni State, Dr Tracy sees similarly heightened distress and anxiety in her patients—both civilians and members of armed groups.  “As a hospital that has repeatedly suffered aerial bombing, we’re afraid even when planes circle overhead,” she said. “These situations are extremely stressful; anxiety levels rise.” For Dr Tracy, the trauma is compounded by the proximity of the conflict. Referring to the deaths of patients, a far more frequent occurrence than usual in war-torn areas, she said: “As we’ve lived in this area for some time, becoming familiar with people... those bad feelings affect us doubly, triply." She said she had seen a “tremendous increase in PTSD cases” in recent years. The providers have mental health needs of their own. Every four to six months, to prevent burnout, Dr Tracy’s hospital pauses new admissions for a full week to allow the medical team to recover their energy, seek support from experts as needed, and process the emotional toll of their work. Witnessing his peers in the PDF struggle with the weight of combat, Ko Tamar said he noticed a generational divide, with young soldiers generally showing each other more open understanding and support.  “From what I saw, people are quite considerate, especially the young people. The problem is with older soldiers,” he said. “They say things like: ‘Oh, I've been there, man. It's nothing.’ It's not a good thing. Their experience is not helping sometimes.” Marni Suu Reynolds, a researcher and PhD candidate at Chiang Mai University, emphasises the need for people to understand what trauma is and its effects. In a research paper for last year’s International Conference on Myanmar Studies, she explained that the impact is physical as well as emotional.  “From a neurological perspective, trauma impacts the brain’s survival mechanisms, causing it to deviate from its baseline state even after the threat has passed,” she wrote. Aside from PTSD, Ko Tamar describes the high prevalence of depression and anxiety among his troops, as well as adjustment disorder. “Myanmar people love their hometowns a lot, and now they have to move around. This nostalgic feeling becomes depression and anxiety, and they don’t know how to explain it,” he said. In this environment, the use of cannabis, methamphetamines, and alcohol—substances usually more likely to aggravate mental health problems than ease them—is sometimes the only available coping mechanism.  “When we cannot cope with the new challenges anymore, we tend to use those things,” Ko Tamar said.  Also dealing with conflict, displacement, and constant insecurity, Ko Tamar observed the strain of the war on civilians, especially vulnerable groups including children, the elderly, pregnant people, and those with chronic illnesses. Despite these immense pressures, he said, the resilience of many civilians was striking. “Some communities, they’re displaced, but they would come together and talk about solving issues. Building community doesn’t seem to be directly associated with mental health,” he said, “But it has an impactful influence.” The solidarity of religious or ethnic communities can be a particularly strong buffer against mental health struggles, he added. However, religion can play a dual role in mental health, according to a 2025 report by TheHILLS Myanmar organisation, titled “Mental Health, Gender, and Conflict in Chin State”. While prayer and religious practices are a profound comfort for many, fear of social judgement and gossip can result in isolation rather than social support in Chin Christian communities, the report noted.  Ko Tamar also identified silence around mental health struggles as a problem in Myanmar culture more generally.  “We donate a lot, but we don't [always] share much,” he said. “This is not good for your mental health, people need to talk more about their feelings. Basically, validating their feelings is the first step”. A participant’s sketch from the research report in Chin State, where respondents were asked to map their emotions onto the body. Burmese annotations identify “hopelessness,” “trembling,” and “heart palpitations,” illustrating how psychological trauma manifests as physical discomfort or pain (Photo: Supplied) Dealing with shame Responding to her cousin’s plea for psychological support for his PDF troops, Ma Nyi began providing one-on-one online counselling to four soldiers in mid-2022. The environment proved a significant barrier. With intermittent internet and a near-total lack of privacy in the jungle camps, meaningful sessions were nearly impossible to sustain. After three months, Ma Nyi realised the individual approach was faltering.  “They seemed okay for a short time,” she said, “but then relapses would happen.” Ma Nyi decided to change her approach. Recognising that many young recruits were struggling with a loss of hope and purpose—particularly while stationed away from the front lines—she began offering online group sessions in English and computer training.  The soldiers attended two-hour classes with her three times a week. Soon, they requested that one of these sessions be held without an agenda—a space just to talk.  “It was a kind of group therapy,” Ma Nyi said, though she noted that such labels can be counterproductive.  “The participants didn’t like the phrase ‘mental health’,” she noted. As trust deepened, members of the group began to contact Ma Nyi privately, revealing burdens of guilt and shame they had previously carried in isolation. One PDF member described the death of a younger comrade who had stepped on a landmine; he was now consumed by the belief that he was responsible, plagued by having allowed the younger man to go out to a shop alone just before the fatal accident. Another issue that surfaced, to Ma Nyi’s surprise, was the deep-seated shame young men felt regarding their use of pornography.  “I know that this is a common response in high-stress environments,” she said, adding: “I had to tell them, ‘You are not alone,’ because they don’t talk about it, even guys to guys.”  In one case, she said, the overwhelming shame connected to this issue had caused a patient to have suicidal thoughts. As word about the benefits of Ma Nyi’s group sessions spread, she was sought out for support by other leaders from the PDF and the KNDF (Karenni Nationalities Defence Force). She began delivering training to increase fundamental mental health awareness, teaching about physiological responses to stress in life-or-death situations and other essential knowledge. The training also imparted skills in psychological first aid—practical responses to help people emotionally in the immediate aftermath of a disaster, emergency, or other traumatic event.  Ma Nyi later established Calm Lab, responding to the need for mental health support combined with skills training for the future. The organisation’s programmes, focused on leadership and information technology, are aimed at helping participants become “workplace-ready”. This is particularly vital for those living with long-term battlefield injuries who wish to continue serving the revolution.  “They learn these skills to support their battalions in different ways,” she said. “Every battalion has fundraising campaigns; they need to create certificates and record donations.” New pathways to healing Although there are still major shortcomings in mental healthcare and awareness—particularly for vulnerable communities and populations in remote areas—a range of organisations has emerged to help close the gaps since 2021.  The National Unity Government’s telemedicine service, Telekyanmar (the Burmese translation of “telehealth”), has become a widely used resource for the public. Individuals can access the service via Facebook or Telegram. Alongside a dedicated mental health team, users can access a suicide prevention hotline through Telekyanmar.   The online service’s mental health team leader Dr Monica told Myanmar Now she oversees 16 to 20 psychiatrists and around 30 general practitioners in her team, with support from more than 40 volunteers from diverse professional backgrounds, of whom many are current or former participants in the CDM. “The psychological well-being of Myanmar people has suffered greatly since the 2021 military coup,” Dr Monica said, noting that stress, depression, and anxiety are the most common signs of this hardship  “People from the areas facing unrest suffer most: loss of family members, loss of home, loss of jobs, loss of income,” she explained. “Of course, PDF and armed ethnic soldiers are no exception, and are at high risk for mental health problems.” Among the newly emerged initiatives is the Mental Health Federation, which Ko Tamar helped establish. This network of psychiatrists recruits both healthcare workers and laypeople, training them in psychological first aid and basic counselling to ensure that not every case requires a referral to a specialist. To date, the network has reached approximately 10,000 clients. “We're not teaching them any particular method or therapy,” said Ko Tamar. “We're just focusing on the first aid part: how to talk to people properly like a human being, how to be considerate, and how to validate.” On the other hand, Ma Nyi expressed concern that with many organisations now training people in mental health support, there is a risk of the profession becoming diluted. This could lead to potential ethical issues if people are providing counselling without proper training, she said. There is currently no system for state-issued accreditation to become a psychologist or counsellor in Myanmar, leaving the field unregulated. Most individuals with professional credentials in mental health have studied abroad. Artwork based on a photo taken during a Mental Health and Psychosocial Support (MHPSS) facilitation training for Myanmar journalists, medics and battalion leaders. (Photo: Supplied) Despite their differing backgrounds, all the mental health practitioners to whom Myanmar Now spoke for this article emphasised the need for a variety of approaches. There is no one-size-fits-all model for mental health, they said.  In terms of offering talk therapy, both Ko Tamar and Jue Jue said they favour approaches that incorporate elements of mindfulness, such as Acceptance and Commitment Therapy (ACT) and Dialectical Behavioural Therapy (DBT). They have found these frameworks to be particularly well-suited to patients from Myanmar. Researcher Marni Suu Reynolds highlighted the effectiveness of body-based somatic approaches to maintaining and improving mental health, adding that she had found art therapy to be an important gateway to conversations about emotions and mental health, especially when talk therapy feels inaccessible or alienating. “One-to-one counselling can be difficult, especially in Mae Sot because many people don’t have transportation,” Reynolds said. “We have to be very flexible; we have to realise that the western concept of therapy isn’t always going to be conducive.”  She added that the needs of those seeking support can vary significantly depending on their location, citing the differences between Mae Sot and Chiang Mai—two Thai locales with sizeable populations of displaced Myanmar nationals—to illustrate the range of conditions.  “All different approaches are needed. Sometimes that’s gardening, sometimes that’s therapy or group work, and sometimes that’s meditation. We have to have a multitude of approaches,” Marni told Myanmar Now, holding up the RISE Centre in Mae Sot as a model for this kind of holistic approach. Initiatives for psychological wellbeing don’t always need to be directly associated with mental health.  “One solution is sports,” Ko Tamar said. “I promote sports—volleyball, caneball, football. What sport gives you is this dopamine high, you feel good.” “It needs to go beyond just counselling,” Ma Nyi said, emphasising that physical security and nutrition are also vital components of mental well-being. While a wide range of strategies is needed to heal the psychological wounds of Myanmar’s war, the core of the effort remains rooted in solidarity and care. “In a situation where we only have each other, we need to be there for one another even more,” said Dr Tracy. “We need to exist for each other.” Myanmar’s future remains uncertain, but there is a growing sense that this shared struggle is forging a more compassionate society. “I don't know how long the people’s resilience will last,” Ko Tamar said. “It's crumbling slowly, but destruction is the start of building anew, so we can add new values, new norms, and a new culture.”Mental health resources: 1. Being with You: A community-based organisation providing psychological support and mental health awareness services. https://www.facebook.com/share/1JVMkdq1ty/ | [email protected] 2. Calm Lab: A youth-focused initiative combining mental health support with leadership and vocational skills training. https://calmlab.info 3. Mind Diary: An online clinic offering professional counseling and mental health consultation services.  https://www.facebook.com/share/1BtE36JTUk | [email protected] 4. Open-Heart Coup / Serenity Counseling Service:  Provides free Burmese-language emotional support groups and training in psychological first aid. https://www.facebook.com/serenitymentalhealthservice 5. Telekyanmar: A National Unity Government-supported telemedicine platform offering mental health consultations and a dedicated suicide prevention hotline. https://www.facebook.com/telehealthmm   eng editor 1 Sat, 2025-12-27 - 21:23 * Feature * Myanmar * Myanmar coup * mental health (Feed generated with FetchRSS)
dlvr.it
December 28, 2025 at 2:31 PM
Pink Tourism แผนฟื้นท่องเที่ยวเทย | หมายเหตุประเพทไทย EP.607
Pink Tourism แผนฟื้นท่องเที่ยวเทย | หมายเหตุประเพทไทย EP.607
Pink Tourism แผนฟื้นท่องเที่ยวเทย | หมายเหตุประเพทไทย EP.607 user8 Sun, 2025-12-28 - 19:24 หมายเหตุประเพทไทยสัมภาษณ์ เคท ครั้งพิบูลย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง 'Pink Tourism' หรือ 'LGBTQ Tourism' ในบริบทที่ประเทศไทยกำลังหาทางฟื้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ท่ามกลางการหายไปของนักท่องเที่ยวจีน การหันมาจับตลาด LGBTQ อย่างเปิดเผยของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การเปิดตัวเว็บไซต์ Go Thai Be Free หลังกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านสภาและมีผลใช้บังคับ รวมถึงการจัดไพรด์พาเหรดที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา คำถามสำคัญคือ Pink Tourism คืออะไร และไทยกำลังมองตลาดนี้ในฐานะ 'ส่งเสริมความหลากหลาย' หรือ 'โอกาสทางเศรษฐกิจ' กันแน่ โดยช่วงแรกของรายการ อธิบายความหมายของ Pink Tourism พร้อมเปรียบเทียบประสบการณ์ของไทยกับประเทศอื่นๆ ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้มาก่อน ทั้งในแง่รูปแบบ การตลาด และนโยบาย พร้อมชวนคิดต่อว่าไทยยังมีศักยภาพอะไรอีกบ้าง ตั้งแต่ซีรีส์ BL/GL โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว ไปจนถึงการออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรกับ LGBTQ อย่างแท้จริง ช่วงที่สองของรายการ ยังตั้งคำถามในประเด็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวเฉพาะทาง เช่น พิพิธภัณฑ์ด้านความหลากหลายทางเพศ หรือเทศกาลศิลปะของศิลปิน LGBTQ ไปจนถึงข้อถกเถียงสำคัญว่า Pink Tourism อาจกลายเป็นเพียงการทำให้ความหลากหลายกลายเป็นสินค้า โดยไม่ได้นำไปสู่ความเท่าเทียมอย่างแท้จริงหรือไม่ ใครได้ประโยชน์จากตลาดนี้ รายได้กระจุกอยู่กับทุนเมืองใหญ่หรือกระจายไปถึง LGBTQ ในชุมชนและคนรายได้น้อยหรือเปล่า พร้อมชวนคิดต่อว่า หากไทยจะเดินหน้า Pink Tourism อย่างจริงจัง ควรเดินไปในทิศทางไหน เพื่อไม่ให้ 'ความหลากหลาย' ถูกใช้เพียงเป็นฉากหน้าในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว * ข่าว * วัฒนธรรม
dlvr.it
December 28, 2025 at 12:35 PM
เปิดรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์พรรคการเมือง
เปิดรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์พรรคการเมือง
เปิดรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์พรรคการเมือง auser15 Sun, 2025-12-28 - 18:13 กกต.เผยรับสมัครปาร์ตี้ลิสต์วันแรก มีพรรคการเมืองส่งแคนดิเดตนายก 68 คน ผู้สมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ 1,502 คน - เปิดรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์พรรคการเมือง 28 ธันวาคม 2568 Thai PBS รายงานว่า นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.สรุปภาพรวมการรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร​แบบบัญชีรายชื่อ วันแรก​ที่พรรคการเมืองที่ลงเวลาก่อนเวลา 08.30 น. ​ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศกำหนดให้ วันที่ 28-30 ธ.ค.2568 เวลา 08.30-16.30 น. และ วันที่ 31 ธ.ค.2568 เวลา 08.30 – 16.00 น. เป็นวันและเวลารับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ ณ ห้องประชุมแกรนด์บอลรูม วายุภักษ์ ชั้น 4 และห้องประชุมวายุภักษ์ฮอลล์ ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร สำหรับวันนี้ ทาง​สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้สรุปผลการดำเนินการรับสมัครในช่วงเช้า (ลงเวลา 08.30 น.) ของวันที่ 28 ธ.ค.2568 ดังนี้ ​พรรคการเมืองที่ลงเวลา 08.30 น.มีพรรคการเมืองมายื่นสมัครจำนวน 52 พรรคและได้ดำเนินการจับสลากหมายเลขบัญชีรายชื่อครบทั้ง 52 พรรค ทั้งนี้ ช่วงเวลา 08.30-11.00 น. ไม่มีพรรคการเมืองมายื่นเพิ่มเติม ทำให้​การเสนอชื่อบุคคลเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี มีพรรคการเมืองที่มีมติจะเสนอรายชื่อบุคคลให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 32 พรรค รวมจำนวนผู้ที่พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 68 คน ​ การยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคการเมือง จำนวน 52 พรรค ได้เสนอรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รวมจำนวน 1,502 คน เรื่องที่เกี่ยวข้อง * ผลการจับฉลากหมายเลขปาร์ตี้ลิสต์ 52 พรรค    เปิดรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์พรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ (หมายเลข 6) 1. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค 2. นายชัชวาลล์ คงอุดม 3. นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี 4. นายนราพัฒน์ แก้วทอง 5. นายวิทยา แก้วภราดัย 6. พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา 7. นายสยาม บางกุลธรรม 8. นายสามารถ มะลูลีม 9. น.ต.ปุญณัฐส์ นำพา 10. นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ 11. นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร 12. นายขรรค์ชัย แก้วเนตร 13. นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ 14. นายติน ตันติเตชะ 15. นายอดิศร โพธิ์อ่อน 16. นายอะห์หมัด บอสตา 17. นายวัชรินทร์ เรืองฤทธิ์กูล 18. นายนพดล พรหมภาสิต 19. นายสมโภชน์ โชติชูช่วง 20. นางสาวภัทธปภา นิ่มเรือง 21. นายฐิฎฐิติวาสก์ เสนีย์ 22. นายศรายุทธ พุทธรักษา 23. นายสุโรจน์ จันทรพิทักษ์ 24. นายศิริ งามขำ 25. นายณัฐชา ลิขิตกิจวรกุล 26. นางสาวนารีรัตน์ ว่องไว 27. พล.ร.ต.วชิระ ประทีปะวณิช ร.น. 28. ว่าที่ร้อยตรีหญิงศุภานัน ตัณยะกุล 29. นางสาวสุดาพรรรณ นิธิยานนท์ 30. นางสาวนงลักษณ์ นกต่อ 31. นางสาวฐิตาภรณ์ สุขประชา 32. นางสาวรัตนาวรรณ สุขศาลา 33. นายสราวุธ ศุกรมย์ 34. นางสมจิตต์ รถทอง 35. นายเทพฤทธิ์ ฤทธิณรงค์ 36. นายวรชาติ อหันทริก 37. นายกิตติพัฒน์ มีสุวรรณ 38. นางสาวพนัชกร ตุลานนท์ 39. นายภูมินทร์ วรปัญญา 40. นางสาวพนัชปวัน สายสุวรรณ 41. นายบุญมั่น มณีนันทน์ 42. นางสาวณัฐสินี วันทมาตย์ 43. นายชยกร มาอินทร์ 44. นางนิษฐ์วดี พรเลิศเทียนชุบ 45. ร.อ.พีระภัฏ บุญเจริญ 46. พลตรีนิวัติ ก้อนทอง 47. นายนิธิโรจน์ พุทธิเรืองนนท์ 48. นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม 49. นางสายพิน สันทัด 50. นางวีณา วีรอิสกุล 51. นายเสกสรรค์ อุ่นอ่อน 52. นายสงกรานต์ สมัครเขตรการณ์ 53. นางสาวณัฐกฤตา สุวรรณรัตน์ 54. นายวสวัตติ์ กลิ่นขจร 55. พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เปลี่ยนขำ 56. นายสุขสวัสดิ์ เสมอมาศ 57. นายปิยวัฒน์ บุญมา 58. นายสีหศักดิ์ อดุลย์วิโรจน์ 59. นายนิคม ฤทธิ์ศรีบุญ 60. นายโปรย สมบัติ 61. นายอัศวิน นิลเต่า 62. นายอนันต์ จินะกาศ 63. นายวิเชษฐ์ ชูชื่น 64. นางสาววาเลน ชื่นโชคสันต์ 65. นางสาวกนิษฐรินทร์ พัชรภักดีโชติ 66. นายนรเกติ ยองประยูร 67. นางสาวพัฒน์นรี ชัยอารีย์กิจ 68. นายจิรัฏฐ์ ชัยอารีย์กิจ 69. นายกร บุญมาเลิศ 70. นายนิธิพัฒน์ ศรีสวัสดิ์ 71. นายนิติศาสตร์ มลาไวย์ 72. นายพิสิฐ ประเสริฐศรี 73. นายทองคำ ผัดคำ 74. นายปภาณ บุญลือพันธ์ 75. นายรักสยาม มานานุภาพ 76. นายเดชา พงษ์พานิชกุล 77. นายปฎิภาณ ปัญญาดี 78. นายวิชาญ หงส์นฤชัย 79. นายสมเกียรติ คงเจาะ 80. นายจรูญ พุทธซ้อน 81. นายประชา มุ่งรักษ์ชน 82. นายศักรินทร์ เกตุนุ้ย 83. นางสาวรัชต์ฉวี แก้วกิ่งจันทร์ 84. นายคยูรทร อ่อนแก้ว 85. นายจรูญฤทธิ์ สุวรรณรัตน์ 86. นายสมยศ ลักษณะสมบูรณ์ 87. นายธนภัทร จันทนา 88. นายธนวัฒก์ สมบัติรักษ์ 89. นายมหภาค ชูแจ้ง 90. นายจิรเมศร์ อุดมประยูรศักด์ 91. นายสมบัติ จันมาทนะ 92. นางสาวจุฬารัตน์ วัฒนะวิรุณ 93. ว่าที่ ร.ต. ธนิตศักดิ์ ดารามั่น 94. นายไต้หวัน คำสร้าง 95. นางปรารถนา สีม่วง 96. นายพชรพล จิตรีปลื้ม 97. นายจรัล บุญพนาศรี 98. นางสาวจิราภา มุขจร 99. นางสาวนูรนีซา มะยิ 100. นายสยามรัตน์ ตติยานนท์ พรรคเพื่อไทย (หมายเลข 9) 1. นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ 2. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ 3. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 4. นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร 5. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง 6. นายจาตุรนต์ ฉายแสง 7. นายชูศักดิ์ ศิรินิล 8. นายสุทิน คลังแสง 9. นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ 10. นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช 11. นายสุชาติ ตันเจริญ 12. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล 13. นายธงธรรม เวชยชัย 14. นางสาวณัฐธิดา เทพสุทิน 15. นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ 16. นายอดิศร เพียงเกษ 17. นางสาวขัตติยา สวัสดิผล 18. นายจักรภพ เพ็ญแข 19. นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ 20. นายมังกร ยนต์ตระกูล 21. นายศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ 22. นายดนุพร ปุณณกันต์ 23. นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ 24. นายก่อแก้ว พิกุลทอง 25. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ 26. นายเกษม อุประ 27. นางสาวละออง ติยะไพรัช 28. นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ 29. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด 30. นายนิคม บุญวิเศษ 31. นายรวิศ สอดส่อง 32. นางสาวศรัญยา ปาลีมาพันธ์ 33. นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ 34. นายวิชชา กลิ่นประทุม 35. นายสุรเกียรติ เทียนทอง 36. นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ 37. นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ 38. นายต่อศักดิ์ อัศวเหม 39. นายเชิดชัย ตันติศิรินทร์ 40. นายสิงหภณ ดีนาง 41. นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ 42. นายวิโชติ วัณโณ 43. นายสหัสชัย อนันตเมฆ 44. นางสาวอรวรรณ สมวงศ์ 45. นายเอกพร รักความสุข 46. นายกล่ำคาน ปาทาน 47. นายสยาม หัตถสงเคราะห์ 48. นายจรัล แก้วเป็ง 49. นายหนุนศักดิ์ เล็กอุทัย 50. นายปุณยวัจน์ เหลืองวิจิตร 51. นายประเมศฐ์ พิชญ์พันธ์เดชา 52. นายกฤช เอื้อวงศ์ 53. นายคุณปิณ ติรณศักดิ์กุล 54. นายสมคิด เชื้อคง 55. นายจรูญ แสนพิมพ์ 56. นางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา 57. นางญาณิกา เทียนทอง 58. นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช 59. พล.ต.ต.ธรรมนูญ มั่นคง 60. นายตติยภัทร์ ปิติศรษฐพันธุ์ 61. นายรวีภัทร์ จิรศักดิ์วัฒนา 62. นายเมธาพัฒน์ ศรีมนัส 63. นายจาตุรนต์ นกขมิ้น 64. นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ 65. นายฉัตริน จันทร์หอม 66. นายธนประเสริฐ จันทรักษารังษี 67. นายธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล 68. นางสาวนภาดา เพ็ชรจินดา 69. นางนลินี ทวีสิน 70. นายนิทัศน์ ศรีนนท์ 71. นายบรรจง ยางยืน 72. นางสาวปนันรัตน์ วิริยะกุลศานต์ 73. นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ 74. นายพีรวิชญ์ ขันติศุข 75. นายภูวเดช นพฤทธิ์ 76. นายวิเชียร ขาวขำ 77. นางสาวศลิษา เลิศชวัสรัชต์ 78. นางศุภรดา เลาหพงศ์ชนะ 79. นางณริยา บุญเสฐฐ 80. นางสาวสกาวใจ พูนสวัสดิ์ 81. นายสุรชัย เบ้าจรรยา 82. นายสุรภี รุ้งโรจน์ 83. นางอนงค์ ล่อใจ 84. นายอิสรา สุจารี 85. นายอุทัย ทัพอาสา 86. นายอุเมสนัส ปานเดย์ 87. นายผ่านภพ รักตพงศ์ไพศาล 88. นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง 89. นายพลนชชา จักรเพ็ชร 90. นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช 91. ร้อยเอกหญิงภัทร์ดารัสมี ทองสลวยกร 92. นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ 93. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล 94. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ 95. นางสาวธีราภา ไพโรจน์กุล 96. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ 97. นายชัย วัชรงค์ 98. นายจักรพงษ์ แสงมณี 99. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน 100. นายภูมิธรรม เวชยชัย พรรคเศรษฐกิจ (หมายเลข 11) 1. นายคริส โปตระนันทน์ 2. นายพีรพล กนกวลัย 3. นางสาวอังสณา เนียมวณิชกุล 4. พลตำรวจตรีไพบูลย์ มะระพฤษณ์วรรณ 5. นายพริษฐ์ รัตนกุลเสรีเริงฤทธิ์ 6. นายส่งศักดิ์ ฉัตรชูสกุล 7. นายณัชพล สุพัฒนะ 8. นพ.กอบชัย เปี่ยมเพชรกุล 9. นายศรัทธา คชพลายุกต์ 10. พลเอกรังษี กิติญาณทรัพย์ 11. นายวรินทร อัศนีวุฒิกร 12. นางนงเยาว์ วราโชติเศรษฐ์ 13. นายจิณณฉัตร อริยสวโรจน์ 14. นางปนัดดา ลีลาอุดมลิปิ 15. นายจุฬาบุตร คุ้มเจริญ 16. นายนรวิช อนากุล 17. ดร.ธีร์ลดา ธีราวรชรเศรษฐ์ 18. นายปวัน เลิศพยับ 19. นายชาติพรรณ โชติช่วง 20. นายภูริพงศ์ จงสกุล 21. พลเอกชัยชนะ นาคเกิด 22. นายไพศาล เชิดชุ 23. ว่าที่ร้อยตรีธวีพงษ์ สิทธิธัญกิจ 24. นายพัฒนพัฒน์ คุ้มวิเชียร 25. นายศักดินา รักอุดมการณ์ 26. นายอิทธิศักดิ์ สันต์ธัญดิฐ 27. นางรัชนี ยิ่งฉายรักษ์ 28. พลตรีฉัตรมงคล เกิดปั้น 29. นายสวาท สุทธิอาคาร 30. นายเขมธนวัฒน์ ชูชาติสกุล 31. นายจิรวัฒน์ สมบูรณ์สาร 32. นายสไว ทัศนีย์ภาพ 33. นาวาโท ดร.สุปัญญา จันทร์เพ็ญศรี 34. นายคงธัช เตชะวิเชียร 35. นายสกนธ์ อาภาภรณ์กุล 36. นายฐณวัฒน์ เขื่อนวงค์วิน 37. นางสาวผ่องศรี ชาญตระกูลทวี 38. นายสรรเสริญ บุญเกษม 39. นายกฤษติเดช จันทร์งาม 40. นายสิทธิโชค คล้อยแสงอาทิตย์ 41. นายไพฑูรย์ หอมกลุ่น 42. นายกาญจนพฤก มาสดใส 43. นายกานนท์ แสนเภา 44. นายณัฐวัชร จันทโรธรณ์ 45. ดาบตำรวจชิษณุชา สะมะเหตุ 46. นายพิพัฒน์ วินโก 47. นายศุภชัย วันอัน 48. นายอานนท์ กระบอกโท 49. นายวุฒิไกร ศรีจันไชย 50. นายพิชิตชัย รัชตามพร 51. นายณัฐกฤช อยู่มั่นธรรมา 52. นางสาวพรลภัส ตั้งจตุรงค์ไพศาล 53. พันเอกพปริญไชย เสวกวี 54. นายประชา โพธิ์ศรี 55. พันตำรวจเอกพิทักษ์ เอียดแก้ว 56. พลเอกสาละวิน อุทรักษ์ 57. นายจักรกฤษณ์ ยั่งยืน 58. นายศุภณัฐ วุฒิพันธ์ 59. นายกฤษณทัสค์ ทำไหมธาราสีห์ 60. นายธนารัชต์ สมคเน 61. นายสมนึก สุชัยธนาวนิช 62. ดร.ประกาสิต เลิศมุกดา 63. นายธนโชติ แสงวิมาน พรรคประชาธิปัตย์ (หมายเลข 27) 1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  2. นายชวน หลีกภัย 3. นายกรณ์ จาติกาวณิช 4. นางการดี เลียวไพโรจน์ 5. นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ 6. นายอัมพร พินะสา 7. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย 8. นายชัยชนะ เดชเดโช 9. นายสกลธี ภัททิยกุล 10. นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี 11. นายอิสรา สุนทรัวัฒน์ 12. นายสงกรานต์ จิตสุทธิภากร  13. นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด 14. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ 15. นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ 16. นายสาธิต ปิตุเตชะ  17. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ 18. นายราเมศ รัตนะเชวง  19. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ  20. นางกันตวรรณ ตันเถียร  21. นายเจะอามิง โตะตาหยง 22. นายสามารถ ราชพลสิทธิ์  23. นายสุทัศน์ เงินหมื่น 24. นายชนินทร์ รุ่งแสง 25. นางสาวรังสิมา รอดรัศมี  26. นายธนิตพล ไชยนันทน์ 27. นายสามารถ ลอยฟ้า 28. นายอรรถพล สังขวาสี  29. นายไชยยศ จิรเมธากร  30. นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท 31. นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล 32. นายเจือ ราชสีห์  33. นายไพเจน มากสุวรรณ์ 34. นายศุภชัย ศรีหล้า 35. นางสาวพิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล 36. นายประชา ยอดวานิช 37. นายสัมพันธ์ ตั้งเบญจผล 38. นายชายพงษ์ นิยมกิจ 39. นายสุรบถ หลีกภัย 40. น.ส.ณัฏฐา ปิ่นนัดดา วสันตสิงห์ 41. นายเกษมสุข บุญเจริญ 42. นายชลภัฏ จาตุรงคกุล 43. นายสุทธิ ปัญญาสกุลวงศ์ 44. นายธนน เวชกรกานนท์ 45. นางมณทิพย์ ศรีรัตนา 46. พล.ต.ท.วรายุทธ สุขวัฒน์ 47. นายจิรวัฒน์ จังหวัด 48. นางสาวปทิตตา ไชยปาน 49. นางฮูวัยดีย๊ะ พิศสุวรรณ อุเซ็ง 50. นายรุจชรินทร์ ทองใหญ่ 51. นางขนิษฐา นิภาเกษม 52. นายสมศักดิ์ โมรีชาติ 53. นางสาวชมพูนุท นาครทรรพ 54. นายดนุช ตันเทอดทิตย์ 55. นายวิวัฒน์ กิตติพรพานิช 56. พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ 57. นายณัฐวุฒิ ภารพบ 58. นายภูริทัต รัตนพาหุ 59. นางสาวกุลชยา เต็มชวาลา 60. นางสาวเปี่ยมสุข เมนะเศวต 61. พ.ต.อ.รัฐศักดิ์ รักสลาม 62. นางนฤมล รัตนาภิบาล 63. นางสาวศณิศา จิรเสวีนุประพันธ์ 64. นายวิชิต กลิ่นทอง 65. นายสิทธิชัย จรานุพันธ์ 66. นางสุรภา ประยงค์ระวิกูล 67. พ.อ.ธนิต พฤกษ์พนาเวศ 68. รศ.ดร.ยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ 69. นายภาธิน เสือดาว 70. นายนภัทร โภคาสัมฤทธิ์ 71. นายมนตรี รักษาดี 72. นายพุฒิสิทธิ์ ตั้งสิริหิรัญกุล 73. นายวรพจน์ ธาราศิริสกุล 74. นายศักร์สฤษฎิ์ ศรีประศาสตร์ 75. นายฉัตรชัย พะลัง 76. ว่าที่ ร.ต.กฤษฎา ขมัน 77. นายศุภสิทธิ์ ลิ้มตระกูล 78. นายอนันต์ ฤกษ์ดี 79. นายสัมมา คีตสิน 80. นางปิยะพร เอี่ยมฐิติวัฒน์ 81. นายกันติพจน์ สิริภักดิสกุล 82. นายรัฐชทรัพย์ นิชิด้า 83. นางสาวสาวิตรี พฤกษ์อังคาร 84. นายขจรพงษ์ พูลสวัสดิ์ 85. นายวิศรุต วิญญูเอกสิทธิ์ 86. นายนัฐพงษ์ เตี่ยมังกรพันธุ์ 87. นายสวินธ์ จูฑะโยธิน 88. นายณัฏฐกิตติ์ เขตตระการ 89. นายจาตุรนต์ บุญมา 90. นายสาคร เกี่ยวข้อง 91. นายธีระ สลักเพชร 92. นายอรรถพร พลบุตร 93. นายประกอบ รัตนพันธ์ 94. นายสุกิจ ก้องธรนินทร์ 95. นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ 96. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง 97. นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ 98. นายอลงกรณ์ พลบุตร พรรคประชาชาติ (หมายเลข 33) 1. พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง 2. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา 3. นายรุ่งเรือง พิทยศิริ 4. นายฟาฮัด มะทา 5. พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล 6. นายวรวีร์ มะกูดี 7. นายวิทยา พานิชพงศ์ 8. นายธนาธิป พรหมชื่น 9. นายนพรัตน์ กาญจนวโรดม 10. นายธงชาติ รัตนวิชา 11. นายชัยนูรดีน นิมา 12. นายอับดุลเราะมัน มอลอ 13. นายฐาคณิษฐ์ พรทองประเสริฐ 14. นายมนตรี บุญจรัส 15. นายอับดุลมูไฮมีน สาและ 16. นายอิมรอน เส็นหลีหมีน 17. นางสาวณมลพรรษ วิริยะโรจน์ 18. นายสูฮัยมี ลือแบซา 19. นางสาวรอมือละห์ แชเยะ 20. นางสาวบุษราคัม แก้วเกิด 21. นางสาวตฤน ล่อใจ 22. นายประดิษฐ์ พราหมณ์จินดา 23. นางสาวธนัญญรัชช์ เศรษฐาธิรัชฎิ์ 24. นายไชยพล เดชตระกูล 25. พล.ต.ต.สุรศักดิ์ รมยานนท์ 26. นายอภินันท์ พัฒนศิริ 27. นายอรรถภพ ว่องธนวณิช 28. นายปิยะ หมานอีน 29. นายองอาจ สุขเอมโอษฐ์ 30. นายอานัต ช่างเรือ 31. นายสรธรรม จินดา 32. นายมนูญ บือราเฮง 33. นายสมศักดิ์ ผู่เจริญ 34. นายพิเชษฐ์ ดารากัย 35. นายชาญฤทธิ์ ปราณประเสริฐ 36. นายณัฐพงศ์ สุวรรณศิลป์ 37. นายพิสุทธิ์ อังจันทร์เพ็ญ พรรคภูมิใจไทย (หมายเลข 37) 1. นายอนุทิน ชาญวีรกูล 2. นายไชยชนก ชิดชอบ 3. นายวราวุธ ศิลปอาชา 4. นายสันติ พร้อมพัฒน์ 5. นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ 6. นายชลัฐ รัชกิจประการ 7. นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 8. นางสาวศุภมาส อิศรภักดี 9. นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ 10. นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล 11. นางนันทนา สงฆ์ประชา 12. นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ 13. นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ 14. นางสาวศศิธร กิตติธรกุล 15. นายศุภชัย ใจสมุทร 16. นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ 17. นายเกรียงยศ สุดลาภา 18. นายธนกร วังบุญคงชนะ 19. นางสาวรินทร์ลิตา อดิษะ 20. นายนิกร จำนง 21. นายปิติ ปิตุเตชะ 22. นายพิบูลย์ รัชกิจประการ 23. นายพงศกร อรรณนพพร 24. นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู 25. นางพูนสุข โพธิ์สุ 26. นางสาวรัชดา ธนาดิเรก 27. นายยุทธพล อังกินันทน์ 28. นายอนุชา บูรพชัยศรี 29. นายไกรรัศมี วิศิษฏ์วงศ์ 30. นายปารเมศ โพธารากุล 31. นายอารี ไกรนรา 32. นายพีรพร สุวรรณฉวี 33. นายพินิจ จันทรสุรินทร์ 34. นายกนก วงษ์ตระหง่าน 35. นายเอกภพ เพียรวิเศษ 36. นายสวาป เผ่าประทาน 37. นางสาวสัตตบุษย์ บุญเรือง 38. นายธนกฤต ชาติอนุลักษณ์ 39. นางสาววีราภรณ์ เกียรติชัยพัฒน 40. นายมงคลพัฒน์ สรรณ์ไตรภพ 41. นายอรุณ พรหมคุณ 42. นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ 43. นางสาวสุวณา ปิยะพิสุทธิ 44. นายสรวิศ ธานีโต 45. น.พ.มารุต มัสยวาณิช 46. นายปกรณ์ มุ่งเจริญพร 47. นายพนม จันทร์ศรีทอง 48. นางสาวจิณตภา ฐิติพิทยา 49. นางพัทธนันท์ สมใจ 50. นายจำลอง ช่วยรอด 51. นางสาวณัฐกฤตา วิบูลย์วุฒิวงศ์ 52. นายสมฤกษ์ บัวใหญ่ 53. นายอาทิตย์ ฉัตรชัยพลรัตน์ 54. นางสาวณิชกานต์ สิงขจร 55. นายสัญญา คงสมบัติ 56. ส.ต.สุพิน บุญเลิศ 57. นางกษมา จิรภัคเสถียร 58. นายพิพัฒน์ชัย ภัครัชตานนท์ 59. นายชูเกียรติ น้ำเงิน 60. นายนาวิน สังฆมาตร 61. นายสุรศักดิ์ เลิศรุจิกุล 62. นายเชิง รักหาญ 63. นายวีระยุทธ งามจิตร 64. นายจักรวัฒน์ ฐิติพิทยา 65. นายราเซนทร์ มาลัยวงศ์ 66. นายขจรศักดิ์ สีทองหลาง 67. นายบุญอยู่ รอดพะดี 68. นายวันชนะ แถมยิ้ม 69. นายยูฮัน บูละ 70. นางสาวธนัชดา ตันจรารักษ์ 71. นางจิณณา สืบสายไทย 72. นายขวัญชัย สกุลทอง 73. ว่าที่ ร.ต.กมล วิภาดาพิสุทธิ 74. นายจักรกฤษณ์ การะเกต 75. นายโกวิทย์ นาพิมพ์ 76. นายกิตติศักดิ์ นาอ่อน 77. นางสาวพัชรนันท์ โกศลสมบัตินนท์ 78. นายพิเชฏฐ์ ชัยศรี 79. นายบุญเกิด ทรงรัมย์ 80. นางสาวณัฐสุดา เจริญพันธ์ 81. นายเชน หมั่นเขตรกิจ 82. นางสาวปิยพร ไพบูลย์ จอมเทพมาลา 83. นายสมนึก นาห้วยทราย 84. นายธรรมรงศักดิ์ รักงาม 85. นายธานี เกสทอง 86. นายสวัสดิ์ อุทัยแสน 87. นายณัฐพล จรัสสุริยพงศ์ 88. นายมานพ เกตุเมฆ 89. นายพีระเพชร ศิริกุล 90. นายเกียรติ เหลืองขจรวิทย์ 91. นายรังสิกร ทิมาตฤกะ 92. นายพิกิฏ ศีรชนะ 93. นายสิรภพ ดวงสอดศรี 94. นายธนิศร์ ศรีประเทศ 95. นายทรงศักดิ์ ทองศรี 96. นายนภินทร ศรีสรรพางค์ 97. นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ 98. นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล พรรคกล้าธรรม (หมายเลข 42) 1. ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า 2. ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ 3. นาง ปวีณา หงสกุล 4. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ 5. นาย วิกรม เตชะธีราวัฒน์ 6. ดร.เจนจิรา รัตนเพียร 7. นาย นัจมุดดีน อูมา 8. นาย ฉัตรชัย นิติภักดิ์ 9. พ.อ.ยุทธพงศ์ พิพิธภักดี 10. พลเอก เดชนิธิศ เหลืองงามขำ 11. นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ 12. นาย นิกร ซัจเดว์ 13. นาย ชาญวิทย์ มุนิกานนท์ 14. นาย บุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ 15. นาย มุข สุไลมาน 16. นาย มนตรี ปาน้อยนนท์ 17. นาย ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ 18. นาย เอกราษฎร์ ช่างเหลา 19. นาย สุธี พงษ์เพียรชอบ 20. ดร.ไพโรจน์ ตันบรรจง 21. นาย เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ 22. นาย กฤดิทัช แสนธนโยธิน 23. พล.ต.อ.วีรชน บุญทวี 24. พลเรือเอก สุทิน หลายเจริญ 25. นาง มุกดา พงษ์สมบัติ 26. นาง อนุรักษ์ บุญศล 27. นาย ศักดา คงเพชร 28. นางสาว ณภาภัช อัญชสาณิชมน 29. นาย สุชาติ อุสาหะ 30. นาย ทักษิณ แก้วสามดวง 31. นาย ธนุ วงษ์จินดา 32. นาย ณัฐกิตติ์ ของทิพย์ 33. นาย ธนสาร ธรรมสอน 34. นาย ศุภวิชญ์ จันทร์เสถียร 35. นาย ณัฐวัฒน์ ชั้นอินทร์งาม 36. นาย ไพรัตน์ ตันบรรจง 37. พล.ต.ต.กริช กิติลือ 38. นาย กฤตตฤน สุขบริบูรณ์ 39. พลเรือโท นิรัตน์ ทากุดเรือ 40. พ.ต.อ.ดุลยมาน แยนา 41. พ.ต.อ.ปัตตะ มะดาวา 42. พ.ต.อ.ชัยพฤกษ์ ผาติวรากร 43. พลเอก สุรวัช บุตรวงษ์ 44. นาย องอาจ เกษเมธีการุณ 45. นาย โปรดปราน โต๊ะราหนี 46. นางสาว นัชธนัญญ์ ทรัพย์ญาณกรณ์ 47. นาย ณัฎฐ์พงษ์ ยงใจยุทธ 48. นาย มูฮัมหมัด อาลาวี บือแน 49. นางสาว พิชชาภัสร์ อมาตย์วรานนท์ 50. นาย ฮานาพี หมีนเส็น 51. นาย ศุภวัฒน์ เมธาวัชรินทร์ 52. นาย ชินกร ก้าววิทยาคม 53. นาง ธัญญรัตน์ ไชย์ศิริคุณากร 54. นางสาว ชานิสรา ภูวิจิตร 55. นาย เจริญ แซ่เต็ง 56. นาย องค์กร อมรสิรินันท์ 57. นาย อาลี คาน 58. นาย มูฮัมมัดรอซาร์กี แวบือซา 59. นาย ณัฐพงษ์ เนียมสม 60. นาย รอเซ็ต เบ็นแหละแหนะ 61. นาย มูหามัดรอซากี เจ๊ะอุเซ็ง 62. นาย ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ 63. นาย โชคภิวัสร์ เลิศสุรสีห์ 64. นาย ชำนาญ เหล่าทอง 65. นาย ทินพัฒน์ เรืองฤทธิ์ 66. นาย ปรีชา วรกุล 67. นาย วัชรางกูล แสนเสริม 68. นาย สุภณ พงศ์อักษร 69. นาย เอกรินทร์ นิลสวัสดิ์ 70. นาย โยธิน วรารัศมี 71. นาย ชัยโรจน์ โชติกิตติวาณิชย์ 72. นาย พีรพล สุทธิมัย 73. นาย ชนกานต์ เหยียดชัยภูมิ 74. นาย บุรวิช เรืองแก้ว 75. นาย อัครกฤษณ์ นุ่นจันทร์ 76. นาย สมโภชน์ สุทธิปัญญา 77. นาย เกียรติศักดิ์ อุดขา 78. นาย ธนพล บุญมาลี 79. นาย สุรชัย กุลทรงคุณากร 80. นาย ชวิศ ควันธรรม 81. นาย สุทน สุวรรณโณ 82. นาย อุทัยรัชต์ ปรีชา 83. นาย สุนันท์ อึ้งทรงธรรม 84. นาย ทวีเกียรติ ใจดี 85. นางสาว ศิริรัตน์ สิริโชควงศ์สกุล 86. นาย สุวัตร มีบุตร 87. นาวาเอก ปฎิยุทธ์ บุญปาลิต 88. นาย อัครวัต เวชสถิตย์ 89. นาย เทพฤทธิ์ สีน้ำเงิน 90. ดร.นนชัย ศานติบุตร 91. นาย สาคร พรมภักดี 92. พลตำรวจตรี วัชรวิชย์ ณรงค์พันธุ์ 93. นาย ภูหลวง เสิศรัฐการ 94. นาย ประยูร พูลจันทร์ 95. นาย อัศวโรจน์ เถาว์กลอย กูจิ 96. นาย อธิวัฒน์ จันทรา 97. นาย สุนทร รักษ์รงค์ 98. นาย เลิศบุตร บูรณะคุณาภรณ์ 99. นาย ณัฐนนท์ เอี่ยมพูลทรัพย์ 100. นาย พิชาณัฐ เกษมธนาภิรักษ์ พรรคพลังประชารัฐ (หมายเลข 43) 1. นายภัครธรณ์ เทียนไชย 2. พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ 3. พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย 4. พลเอก สุนัย ประภูชะเนย์ 5. นายสนั่น พงษ์อักษร 6. นายบุรินทร์ สุขพิศาล 7. นายสมโภชน์ แพงแก้ว 8. พ.ต.อ.ศุภกฤษ เดือนแจ้งรัมย์ 9. นายอาทิตย์ เล่าสกุล 10. นายพุทธชาติ ช่วยราม 11. นายกฤษณพล เกรียงไกรฤทธิ์ 12. นายกิตติศักดิ์ ครุฑประเสริฐ 13. นายจุมภฏ ชูศักดิ์เจริญ 14. นายฉัตรชัย ธนาวุฒิ 15. นางสาว ณัติชฎาภรค์ สิทธิโชติยิ่งยศ 16. นายดาโต๊ะสรี สุธิพันธ์ ศรีริกานนท์ 17. นายดำรงค์ รุ่งเรือง 18. นายเดชทัต บุนนาค 19. นายทวีศักดิ์ ปิยะวิสุทธิกุล 20. นายปรพล อดิเรกสาร 21. นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ 22. นายประเสริฐ กรุดเงิน 23. นางพรกมล บุนนาค 24. นายพัฒนจักษ์ แพทย์รัฏณี 25. นายพิพัฒน์ จำปาทอง 26. นางภคปภา ศิริณายุกุล 27. นางสาว ภคอร พลพรกลาง 28. นายมานิตย์ จินดามงคล 29. นายรักพงษ์ แซ่ตั้ง 30. นายวสันต์ แก้วงาม 31. นายวันชัย โคตรแก้ว 32. นายศรสุทธา กลั่นมาลี 33. นางสาว อิสยาภรณ์ วงษานุทัศน์ 34. นายอุดมเกียรติ อภินันทิกุลปานมี 35. นายเอกราช พรหมลัมภัก พรรคประชาชน (หมายเลข 46) 1. ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ 2. ศิริกัญญา ตันสกุล 3. วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร 4. เซีย จำปาทอง 5. อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ 6. ณัฐยา บุญภักดี 7. ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ 8. รังสิมันต์ โรม 9. พริษฐ์ วัชรสินธุ 10. สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ 11. สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล 12. ธีระ สุธีวรางกูร 13. ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล 14. ณัฐวุฒิ บัวประทุม 15. กิตติพงษ์ ปิยะวรรณโณ 16. วาโย อัศวรุ่งเรือง 17. วิสุทธิ์ ตันตินันท์ 18. ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร 19. พูนศักดิ์ จันทร์จําปี 20. ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ 21. ศุภโชติ ไชยสัจ 22. ประมวล สุธีจารุวัฒน 23. เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล 24. กิตติชัย เตชะกุลวณิชย์ 25. ภคมน หนุนอนันต์ 26. สรศักดิ์ สมรไกรสรกิจ 27. ปิยรัฐ จงเทพ 28. รักชนก ศรีนอก 29. รอมฎอน ปันจอร์ 30. เอกภพ สิทธิวรรณธนะ 31. ธีระศักดิ์ จิระตราชู 32. ธนพร วิจันทร์ 33. กรุณพล เทียนสุวรรณ 34. ณรงเดช อุฬารกุล 35. ชุติมา คชพันธ์ 36. ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ 37. นพณัฐ มีรักษา 38. รัชนาท วานิชสมบัติ 39. นิธิกร บุญยกุลเจริญ 40. ชลธิชา แจ้งเร็ว 41. วรวุฒิ บุตรมาตร 42. ศนิวาร บัวบาน 43. อํานาจ ชุณหะนันทน์ 44. แทนศร พรปัญญาภัทร 45. ภูริทัต จันทร์แก้ว 46. ปารมี ไวจงเจริญ 47. ธีระชาติ ก่อตระกูล 48. ฐิติพงศ์ พิมลเวชกุล 49. ฆนัท นาคถนอมทรัพย์ 50. ธีรวัตร์ ปัญญาณ์ธรรมกุล 51. ธิวัชร์ ดำแก้ว 52. จริยา เสนพงศ์ 53. นิธิ ละเอียดดี 54. พีรัช สงเคราะห์ 55. ธนู แนบเนียร 56. อรรถพล ศรีชิษณุวรานนท์ 57. วัลลภ ตรีฤกษ์งาม 58. รักชาติ สุวรรณ์ 59. ปรเมศวร์ ศิริรัตน์ 60. วิชิต เมธาอนันต์กุล 61. ถนัดธรรม แก้ว 62. ฐิติยาภรณ์ ศุภรัตนสิทธิ 63. วิจักขณ์ฤทธิ์ จิวจินดา 64. อัศวิน สุทธิวิเชียรโชติ 65. คณาสิต พ่วงอำไพ 66. ศุภลักษณ์ บํารุงกิจ 67. ปรินทร์ จิระภัทรศิลป 68. ทวีพล ตั้งใจรักการดี 69. นรชัย อนันต์ศักดากุล 70. คณิศร ขุริรัง 71. ไมตรี สมณะ 72. ธนากร กลิ่นผกา 73. เบญจมาภรณ์ ศรีละบุตร 74. ตามหทัย ชนะบูรณาศักดิ์ 75. ทรงธรรม สุขสว่าง 76. มัจดี โต๊ะตาหยง 77. ชาญณรงค์ วงศ์ลา 78. กษิเดช แดงเดช 79. ธีร์ อิสระดำรงกุล 80. นพดล สมยานนทนากุล 81. ณัฐดนัย วัดเกี้ยวพงศ์ 82. ธีรพงศ์ ชื่นชอบ 83. สมเมธ ยุวะสุต 84. ปัญจมพงศ์ เสริมสวัสดิ์ศรี 85. ภัณฑิรา มั่นสัมฤทธิ์ 86. บูรพา เล็กล้วนงาม 87. กฤษฎา บุญทศ 88. เทพพร จำปานวน 89. ชัยสักก์ สุนทรวิภาต 90. วริสา มีเจริญ 91. กฤษฎา อุดมเวช 92. ภีศเดช สัมมานันท์ 93. พอล ศุภศิษย์ นิ่มสุวรรณ 94. คมเดช หลิมรัตน์ 95. อังสนา โรมินทร์ คราวซ์ 96. วรภพ วิริยะโรจน์ 97. นิติพล ผิวเหมาะ 98. คำพอง เทพาคำ 99. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคไทยสร้างไทย (หมายเลข 48) 1. นายอุดมเดช รัตนเสถียร 2. ดร. ประวัฒน์ อุตตะโมช 3. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ 4. นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น 5. นายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ 6. นายปริเยศ อังกูรกิตติ 7. นายภัชริ นิจสิริภัช 8. นายศรัณยู คงสวัสดิ์เกียรติ 9. นายวัชรพงศ์ อึงศรีสวัสดิ์ 10. นายวรวุฒิ โตวิรัตน์ 11. ดร.พิศุทธิ์ จำเริญรวย 12. นายวิจักร อากัปกริยา 13. นายโรจนินทร์ ศิริเบญญาภิรมย์ 14. นายกฤษฎา เฉลิมสุข 15. นายศุชัยวุธ ชาวสวนกล้วย 16. นายปิยะณัฐ อันทะไชย 17. ดร.ณรงค์ รุ่งธนวงศ์ 18. นายทิวากร สุระชน 19. นายเวชยันต์ ช้างรักษา 20. นายณัฐวัฒน์ พอใช้ได้ 21. ดร. ศักดิ์ณรงค์ ศิริพร ณ ราชสีมา 22. นายนิเวช มิ่งมิตรโอฬาร 23. นายอดิลัน อาลีอิสเฮาะ 24. นายสุนทร ภู่ไพบูลย์ 25. นายนัฎฐ์ประชา เกื้อสกุล 26. นายทูลสวัสดิ์ ยอดมณีบรรพต 27. นางสาวรินรดา สหพัฒนโชติ 28. นายทรงกริช รัตนวรรณี 29. นายประวัติ สุทธิประภา 30. นายศรายุทธ โอสุวรรณรัตน์ 31. นายยืนยง โพธิ์อุดม 32. นายวิชิต ตันจรัสสกุล 33. นายประมวล สีแสง 34. นายณัฐวุฒิ วงศ์เนียม 35. นายศุภเวศย์ รณะนันทน์ 36. นางสาวมาริสา สมคำพี่ 37. นางสาวอัจฉราภาดาพิสุทธิ์ สารคำ 38. นายพันศักดิ์ จันทร์ใบเล็ก 39. นายก้อง เพชรแก้ว 40. นายสุทิน ช่วยธานี 41. นายวัฒนพงษ์ จิตตรี 42. พ.ต.อ.กนิษฐ์ ประสานสุข 43. นายโรจนฤทธิ์ รักษ์กุล 44. นางสาวปทุมรัตน์ สุราฤทธิ์ 45. นายบุญโชค สังขาว 46. นางสาวสุดารัตน์ รัตนพงษ์ 47. นางสาวนิภาพรรณ โอทอง 48. นายบุญสืบ จันทร์แจ่มศรี 49. นายอภิรัฐ พันธ์สืบ 50. นางสาวพิชญาณี พรหมด้วง 51. นางนาตญา สุวรรณ์ชาติ 52. นายธีระพงษ์ ไชยรี 53. นายภูธเนศ โพธิประสิทธิ์ 54. นายประมวล ตรีเดช 55. นายประจวบ รัตนพงษ์ 56. นายพชร สงประเสริฐ 57. ดร.สุพัชรี สุปริยกุล 58. นายถาวร วงศ์ชนะ 59. นายอลงกรณ์ คงฉาง 60. นางสุวภัทร์ เหมโกทวีทรัพย์ 61. นายธนบดี บุญเกษมสมบัติ 62. นางสาวมุกรวี บุญงาม 63. นายธเนศพล อินทร์จันทร์ 64. จ.ส.อ.ทัดเทียม เพ็ชรศรี 65. นายพิเชฐ สุดเดือน 66. นายรัตนพล วงศ์เทวราช 67. นายพัลลภ เสนาดี 68. พ.ต.อ.ชัชชัย เศรษฐีพันล้าน 69. นายสัญญาลักษณ์ ยาทองไชย 70. นายสิริชัย ดุลยะมา 71. นายอัครพัชร์ เจริญชัยสง่า 72. นายอุดม สมรภูมิบูรพา 73. ร.ต.อ.วีรพงษ์ พิไสย 74. นางสาวศิริพร ถนอมพันธุ์รักษ์ 75. นางสาวกัญญารัตน์ สุวรรณราช 76. นายยงยุทธ อุดมฤทธิ์ 77. นายพีรพันธุ์ โพธิ์พันธ์ 78. นางสาวอัญญา โกสีย์ 79. นายชนินทร์ หาญชาญสิน พรรคไทยก้าวใหม่ (หมายเลข 49) 1. ศาสตราจารย์สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 2. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช 3. นายก้องเกียรติ กรสูต 4. นางสาวจิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร 5. นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา 6. นายศักย์ ทับพลี 7. นายคเณศ วังส์ไพจิตร 8. นายกิติ วงษ์กุหลาบ 9. นายจักรพันธ์ พรนิมิตร 10. นายณัฐวัฒน์ บูรณะกนก 11. นายชยพล เจียงกะรัต 12. นายภาณุรัช ดำรงไทย 13. นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล 14. นายเศรษฐฐากรณ์ วงษ์อารยะสกุล 15. นายเอกสิทธิ์ วงศ์เทพวาณิชย์ 16. นางสาวธัญชนก นานา 17. นายสุจินดา เสงี่ยมไพศาล 18. นายยุสรีย์ กอดิรีย์ 19. นายเอกรส จินตะมัย 20. นายเศษฐวิชช์ ศิริโภคานุสรณ์ 21. นางสาวอภิชชยา เทพโสธร 22. นางสาวชนิกานต์ นุ่มบัว 23. นายรุ่งโรจน์ สุวรรณสิชณน์ 24. นายกฤช จุลกะเศียน 25. นายกิตติเดช กิจมโนมัย 26. นายไตรรัตน์ มิ่งเมือง 27. ว่าที่ ร.อ. พรเนตร ศรีทอง 28. นายอำนาจ ทัดสวน 29. นายชิน จินตประยูร 30. นายหรรษวัธน์ ศิริฉัตรฐิติกุล 31. นางจิราภรณ์ บุญไกรสร 32. นายชัยวัฒน์ งามศักดิ์ทวีชัย 33. นายวัชรากร นาคทองกุล 34. นางสาวนิรินธร มีทรัพย์นิคม 35. นายรัชต์เชียร ทิพธนากิตติพร 36. นายกุลพงษ์ เกยานนท์ 37. นายชาติพฤษภา พงษ์อมาตย์ 38. นายสาโรจน์ คำพิทักษ์ 39. นายบุญเศรษฐ์ มานะดี 40. นายเปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป 41. นายทวีศักดิ์ อัชรางกูร 42. นายญาณกร วรากุลรักษ์ 43. นายเสน่ห์ ขาวโต 44. นางวิบูลย์ สุริยจักรยุทธนา 45. นายภพสุกานต์ ศิริพงศ์ภัค 46. นายพิธาน โตตระกูลพิทักษ์ 47. นายศิวฤทธิ์ นนทวุฒิสวัสดิ์ 48. นายสมเพชร ปาปะโข 49. นายสงวน ศรีม่วง 50. นายวรศักดิ์ ทองศิริ 51. นายวีระชัย นพปราชญ์ 52. นายนราธร สุขฉันทะ 53. นายธำรง ลิ่มประสิทธิ์ 54. นายเนติ เศรษฐเกียรติ 55. นายเนติธร พรพิทักษ์สิทธิ์ 56. นายปิติ จันทรุไทย 57. นายประเสริฐ เมืองแก้ว 58. นางชัญญาภัค แจ่มจำรัส 59. นายสมัครสุนทรเวทย์ ปรีชาชัยวัฒน์ 60. นายศราวุธ นาควิทยานนท์ * ข่าว * การเมือง * การเลือกตั้ง 2569 * การเลือกตั้ง * ปาร์ตี้ลิสต์ * สส.แบบบัญชีรายชื่อ
dlvr.it
December 28, 2025 at 11:19 AM
ศูนย์คามิลเลียนฯ ปราจีนบุรี ต้นแบบ 'สถานชีวาภิบาลชุมชน' ดูแลผู้สูงอายุพึ่งพิงครบวงจร
ศูนย์คามิลเลียนฯ ปราจีนบุรี ต้นแบบ 'สถานชีวาภิบาลชุมชน' ดูแลผู้สูงอายุพึ่งพิงครบวงจร
ศูนย์คามิลเลียนฯ ปราจีนบุรี ต้นแบบ 'สถานชีวาภิบาลชุมชน' ดูแลผู้สูงอายุพึ่งพิงครบวงจร auser15 Sun, 2025-12-28 - 16:53 “ศูนย์คามิลเลียนฯ ปราจีนบุรี” ร่วมเป็น “สถานชีวาภิบาล” ในระบบบัตรทอง ประสานความร่วมมือ “สสจ.ปราจีนบุรี - อบต.โคกปีบ -รพ.ศรีมโหสถ” ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ผู้ป่วยประคับประคอง ครบวงจร เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี และจากไปอย่างมีศักดิ์ศรี อนาคตเตรียมหารือเพื่อยกระดับศูนย์คามิลเลียนฯ ต่อไป บาทหลวงอัครพันธ์ นันทวานิช ที่ปรึกษาศูนย์สงเคราะห์ผู้สูงอายุคามิลเลียน โซเชียล เซนเตอร์ (ศูนย์คามิลเลียนฯ) นำคณะผู้บริหารจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์สงเคราะห์ผู้สูงอายุคามิลเลียน โซเชียล เซนเตอร์ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นสถานดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวและระยะท้าย โดยศูนย์ฯ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อเฉพาะด้าน “สถานชีวาภิบาล” ตามมาตรา 3 พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในพื้นที่ อาทิ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี องค์การบริหารส่วนตำบลโคกปีบ และโรงพยาบาลศรีมโหสถ ร่วมให้การต้อนรับและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงาน เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 บาทหลวงอัครพันธ์ กล่าวว่า มูลนิธิคามิลเลียนมีภารกิจช่วยเหลือผู้ยากไร้มาอย่างต่อเนื่อง เดิมเป็นสถานฟื้นฟูผู้ป่วยโรคเรื้อน แต่เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงปรับบทบาทให้สอดคล้อง ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อรับผู้สูงอายุที่ยากไร้และมีภาวะพึ่งพิงจากชุมชนโดยรอบเข้ามาดูแลที่มูลนิธิฯ ไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยรับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี (อบจ.ปราจีนบุรี) และเงินบริจาคอย่างต่อเนื่อง และต่อมาเมื่อทางศูนย์ฯ ได้รับรองเป็นสถานชีวาภิบาล เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 จึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อเฉพาะด้านตามมาตรา 3 และรับงบประมาณดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว (LTC) จาก สปสช. โดยตรง พร้อมได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลโคกปีบ ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพภายในศูนย์ฯ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ศูนย์คามิลเลียน ปราจีนบุรี รับดูแลผู้สูงอายุจำนวน 70 คน เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิง 40 คน โดยมีผู้ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง (Care Giver) ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร 420 ชั่วโมง จำนวน 18 คน ให้การดูแลแบบองค์รวม 4 มิติ ได้แก่ ร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ซึ่งการได้รับงบสนับสนุนได้ช่วยให้ศูนย์ฯ ทำให้สามารถจัดหาเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ อาหาร และพาผู้สูงอายุเข้ารับบริการทางการแพทย์ได้อย่างเหมาะสม ได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ บั้นปลายชีวิตมีความสุขและศักดิ์ศรีเพิ่มขึ้น พญ.อรรัตน์ จันทร์เพ็ญ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า จังหวัดปราจีนบุรีมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรในพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอศรีมโหสถที่เป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ทำให้ความต้องการบริการดูแลสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนจึงมีบทบาทสำคัญ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี (สสจ.ปราจีนบุรี) ได้บูรณาการความร่วมมือกับพื้นที่ ในการจัดบริการที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพและสังคม ควบคู่กับการช่วยลดอัตราครองเตียงในโรงพยาบาล และรองรับการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้ที่อยู่ในระยะท้ายของชีวิต ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนศูนย์คามิลเลียนฯ เป็นสถานชีวาภิบาล ได้ประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลศรีมโหสถ เพื่อให้ผู้สูงอายุทุกคนได้รับการประเมินสุขภาพก่อนเข้ารับการดูแล โดยมีทีมบุคลากรจากโรงพยาบาลติดตาม ประเมิน ให้คำปรึกษาเป็นรายกรณี และประสานการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในกรณีที่มีอาการรุนแรง นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจาก อปท. และ สปสช. ในด้านงบประมาณเพื่อสร้างเสริมสุขภาพและจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ “รู้สึกชื่นชมในความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้ง อปท. โรงพยาบาล และศูนย์คามิลเลียนฯ ที่ร่วมกันดูแลผู้สูงอายุด้วยความตั้งใจและจิตสาธารณะ และในอนาคตมีแผนหารือร่วมกับ สปสช. เพื่อพัฒนาการดูแลให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น อาทิ การนำบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) มาใช้ หรือการสนับสนุนงบกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในพื้นที่อย่างยั่งยืน” พญ.อรรัตน์ กล่าว ขณะที่ นายพิศิษฐ์ ธีรพนาศาสตร์ ปลัด อบต.โคกปีบ กล่าวว่า การดูแลผู้สูงอายุเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของ อบต. ที่แม้กำลังบุคลากรจะมีจำกัด แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธบทบาทดังกล่าว ที่ผ่านมาได้ประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาล และ สธ. เพื่อสนับสนุนด้านวิชาการและการให้ความรู้ พร้อมทั้งสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care : LTC) และหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.)  รวมถึงจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เช่น การควบคุมโรคไข้เลือดออก การพาผู้สูงอายุร่วมงานประเพณี และกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยเสริมคุณภาพชีวิต ทำให้การดูแลผู้สูงอายุในศูนย์ฯ มีความครบถ้วนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น น.ส.ดวงนภา พิเชษฐ์กุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช. ถือเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยสนับสนุน  โดยหน่วยบริการตามมาตรา 3 สามารถสนับสนุนการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงได้ปีละ 10,442 บาทต่อหัวประชากร ซึ่งศูนย์คามิลเลียนฯ ดำเนินการรวมเป็นระยะเวลา 1 ปี สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจากผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 46 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 480,332 บาท ช่วยให้ศูนย์คามิลเลียนฯ ดำเนินงานด้านการดูแลผู้สูงอายุระยะพึ่งพิงได้อย่างยั่งยืน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างหลักประกันให้ผู้สูงอายุอยู่ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีและปลอดภัย ทั้งนี้ ปัจจุบันสถานชีวาภิบาลตามมาตรา 3 มีทั้งหมด 57 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นหน่วยงานสังกัดรัฐ 11 แห่ง และเอกชน 46 แห่ง ซึ่งในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 6 ระยอง รับผิดชอบ 8 จังหวัด มีหน่วยบริการรับส่งต่อด้านสถานชีวาภิบาลจำนวน 6 แห่ง ใน 5 จังหวัด โดย สปสช. หวังว่าจะขยายเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและมีผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงจำนวนมาก * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สถานชีวาภิบาลชุมชน * สปสช. * สุขภาพ * ท้องถิ่น * สังคมสูงวัย * ศูนย์สงเคราะห์ผู้สูงอายุคามิลเลียน โซเชียล เซนเตอร์
dlvr.it
December 28, 2025 at 9:58 AM
'อนุทิน' ระบุ Joint Statement รมว.กลาโหม ไทย-กัมพูชา ชัดเจน 2 ฝ่ายจะไม่ละเมิดกันและกันอีก
'อนุทิน' ระบุ Joint Statement รมว.กลาโหม ไทย-กัมพูชา ชัดเจน 2 ฝ่ายจะไม่ละเมิดกันและกันอีก
'อนุทิน' ระบุ Joint Statement รมว.กลาโหม ไทย-กัมพูชา ชัดเจน 2 ฝ่ายจะไม่ละเมิดกันและกันอีก auser15 Sun, 2025-12-28 - 16:18 'อนุทิน' ระบุ Joint Statement รมว.กลาโหม ไทย-กัมพูชา ชัดเจน 2 ฝ่ายจะไม่ละเมิดกันและกันอีก แถม จีน เชิญ รมว.ต่างประเทศ ไทย-กัมพูชา ไปหารือสันติภาพ ที่คุนหมิง ต่อ 28-29 ธ.ค. 28 ธันวาคม 2568 NBT Connext รายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการลงนาม Joint Statement "แถลงการณ์ร่วม" การประชุม GBC ไทย-กัมพูชา จะเชื่อใจกัมพูชาได้หรือไม่ เพราะขณะนี้มีข่าวเครื่องบินขนส่งเบรารุสบินอ้อมไทย อาจขนอาวุธไปลงจอดที่กรุงพนมเปญ นายอนุทิน กล่าวว่า ข่าวแบบนี้ยังเชื่อถือไม่ได้ เมื่อถามต่อว่า จะต้องตรวจสอบเพิ่มเติมหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายกองทัพมีการข่าว และการตรวจสอบอยู่แล้ว ถ้าหากเป็นข้อเท็จจริง หรือ มีความเสี่ยงต้องมีการรายงานมา เมื่อถามว่า มีคนเป็นห่วงว่าช่วงหยุดยิงกัมพูชาจะมีการเติมอาวุธ และเติมกำลัง นายอนุทิน กล่าวว่า เรามีกฎของการปะทะอยู่แล้ว และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่เรียกร้องให้มีการเจรจาหยุดยิง  ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ให้ความร่วมมือ และมาประชุม 3 วัน โดยในเนื้อหาของ Joint Statement มีความชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ละเมิดกันและกันอีก ซึ่งก็หวังว่าครั้งนี้ ทางฝ่ายกัมพูชาจะรักษาสัญญา นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน เชิญรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของทั้งไทยและกัมพูชา ไปประชุมที่นครคุนหมิง เพราะจีนก็หวังให้เกิดสันติภาพภายในพื้นที่ ก็คงจะต้องมีการตอกย้ำและพูดคุยกัน  * ข่าว * การเมือง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 28, 2025 at 9:22 AM
กองทัพภาคที่ 2 แจ้งประชาชน สามารถเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาและที่พักอาศัยได้ตามปกติ
กองทัพภาคที่ 2 แจ้งประชาชน สามารถเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาและที่พักอาศัยได้ตามปกติ
กองทัพภาคที่ 2 แจ้งประชาชน สามารถเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาและที่พักอาศัยได้ตามปกติ auser15 Sun, 2025-12-28 - 16:07 กองทัพภาคที่ 2 แจ้งประชาชน สามารถเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาและที่พักอาศัยได้ตามปกติ โดยขอให้ใช้ความระมัดระวัง และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ 28 ธันวาคม 2568 เพจกองทัพภาคที่ 2 ประกาศสถานการณ์ จากเหตุการณ์การสู้รบที่ผ่านมาขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว กองทัพภาคที่ 2 แจ้งพี่น้องประชาชนสามารถเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา และที่พักอาศัยได้ตามปกติ โดยขอให้ใช้ความระมัดระวัง และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ยังคงปฏิบัติภารกิจด้วยความมุ่งมั่นและเต็มกำลัง ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ รวมถึงดูแลรักษาความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 28, 2025 at 9:09 AM
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ พลเอก แก่ 'บุญสิน พาดกลาง' พระราชทานเครื่องราชฯ 15 นาย
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ พลเอก แก่ 'บุญสิน พาดกลาง' พระราชทานเครื่องราชฯ 15 นาย
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ พลเอก แก่ 'บุญสิน พาดกลาง' พระราชทานเครื่องราชฯ 15 นาย auser15 Sun, 2025-12-28 - 15:48 โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศทหาร พลเอก แก่ พล.อ.บุญสิน พาดกลาง พร้อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้ "นายทหารราชองครักษ์พิเศษ" 15 นาย 28 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานยศทหาร และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้นายทหารราชองครักษ์พิเศษ จำนวน 15 นาย โดย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง เป็นกรณีพิเศษให้นายทหารราชองครักษ์พิเศษ เข้ารับพระราชทานยศในวันนี้ (28 ธ.ค.68) * ข่าว * การเมือง * บุญสิน พาดกลาง
dlvr.it
December 28, 2025 at 8:50 AM
กสม. เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 เพื่อลดผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน
กสม. เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 เพื่อลดผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน
กสม. เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 เพื่อลดผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน auser15 Sun, 2025-12-28 - 14:49 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 เพื่อลดผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2568 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ และนางสาวสุภัทรา  นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 42/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้ ประธาน กสม. มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 เพื่อลดผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามสถานการณ์มลพิษทางอากาศ จากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) รวมทั้งการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่สถานการณ์ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศซึ่งกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของประชาชนในวงกว้าง กสม. จึงได้ศึกษาข้อมูลรวมทั้งจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องในประเทศไทย โดยมีแหล่งกำเนิดจากหลายภาคส่วน ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคม ภาคป่าไม้ ภาคเกษตรกรรม ภาคเมือง รวมทั้งจากมลพิษข้ามพรมแดน ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสิทธิมนุษยชนด้านต่าง ๆ ดังนี้ (1) สิทธิในสุขภาพ โดยฝุ่น PM 2.5 ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ เช่น โรคผิวหนังอักเสบ โรคตาอักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (2) สิทธิทางเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและภาคบริการ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจนำเที่ยวที่ขาดรายได้ ขณะที่มาตรการห้ามเผาเด็ดขาดของรัฐที่ประกาศใช้เป็นการทั่วไป ยังส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยที่ต้องกำจัดเศษวัสดุทางการเกษตรและแบกรับต้นทุนการจัดการเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังส่งผลต่อวิถีชีวิตของชุมชนรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนหรือการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืนซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการบรรลุมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ และ (3) สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารหรือการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่รวดเร็ว ถูกต้อง ครอบคลุมและเข้าใจได้ง่าย ยังคงเป็นข้อท้าทายสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมรับมือและป้องกันตนเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก รวมทั้งผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างทั่วถึง ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ยังเป็นวิกฤตสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตและสิทธิของประชาชนในการมีอากาศที่สะอาดและปลอดภัย โดยธนาคารโลก (World Bank) ประเมินความเสียหายทางสุขภาพจากมลพิษทางอากาศของประเทศไทยมีมูลค่า 45,334 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.89 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และฝุ่น PM 2.5 ส่งผลต่อมูลค่าความเสียหาย ทางเศรษฐศาสตร์ต่อครัวเรือนไทยที่ 2.173 ล้านล้านบาท ซึ่งประเทศไทยมีพันธกิจดำเนินการคุ้มครอง สิทธิดังกล่าวตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี อาทิ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) อีกทั้ง คณะกรรมการประจำกติกา ICESCR ได้มีความเห็นทั่วไปลำดับที่ 27 ยืนยันว่า สิ่งแวดล้อมที่สะอาด มีสุขภาวะ และยั่งยืน เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการใช้สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และกำหนดให้รัฐต้องป้องกันและลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ รวมทั้งจัดให้มีกลไกการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดียังได้รับการรับรองจากสมัชชาสหประชาชาติว่าเป็นสิทธิมนุษยชน ดังนั้น การป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่รัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจังทั้งด้านกฎหมาย นโยบาย และการปฏิบัติ โดยมุ่งเน้นการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เผยแพร่ข้อมูลอย่างโปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งออกกฎหมายว่าด้วยอากาศสะอาดที่เข้มข้น ครอบคลุม และให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การคุ้มครองประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในขณะนี้ ประชาชนยังคงเผชิญผลกระทบอย่างต่อเนื่องและรุนแรง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐต้องเร่งดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับกระบวนการทางกฎหมาย ด้วยเหตุผลข้างต้น ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (นางสาวพรประไพ  กาญจนรินทร์) จึงมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2568 แจ้งข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้พิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ (1) ให้รัฐบาลผลักดันร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. ที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเพื่อให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว (2) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 - 2570 ครอบคลุมมาตรการป้องกัน ควบคุม และการลดมลพิษที่แหล่งกำเนิดอย่างเป็นระบบ (3) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบฐานข้อมูลคุณภาพอากาศโดยบูรณาการเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบตรวจวัดมลพิษทางอากาศที่สามารถระบุแหล่งกำเนิดมลพิษได้อย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเฝ้าระวัง การเตือนภัย และการสื่อสารให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม (4) ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เร่งกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อร่วมป้องกันแก้ไขปัญหา โดยจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอ มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย สนับสนุนองค์ความรู้และอุปกรณ์ด้านการตรวจวัดหรือเทคโนโลยีติดตามคุณภาพอากาศ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ (5) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องทบทวนมาตรการห้ามเผาเด็ดขาดโดยคำนึงบริบทเชิงพื้นที่และการเกษตรที่ยังพึ่งพาการเผาแบบไร่หมุนเวียน รวมถึงนำเทคโนโลยี อาทิ แอปพลิเคชัน Fire-D  สนับสนุนการบริหารจัดการการเผาที่ยืดหยุ่นและไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน (6) ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ควบคุมและกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมอย่างทั่วถึงและเข้มงวด โดยกำหนดให้ใช้ระบบตรวจวัดการระบายมลพิษแบบต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring System: CEMS) ซึ่งต้องเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส (7) ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรฐานไอเสียรถยนต์ให้เป็นไปตามเกณฑ์ EURO 6 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลกำหนดปริมาณการปล่อยมลพิษของรถยนต์ ตรวจจับรถยนต์ที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานในพื้นที่เสี่ยงอย่างจริงจัง (8) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง พัฒนาและส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีการจัดการเศษวัสดุการเกษตร โดยกำหนดมาตรการจูงใจทางเศรษฐกิจและมุ่งปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อลดหรือหลีกเลี่ยงการเผา (9) ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และชีวมวล เป็นต้น เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมถึงฝุ่น PM 2.5 จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคอุตสาหกรรม (10) ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อคุ้มครองประชาชนรวมถึงกลุ่มเสี่ยง อาทิ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคประจำตัว โดยจัดหาอุปกรณ์ป้องกันที่เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการปรับรูปแบบการเรียนการสอนในช่วงที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูง และ (11) ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้กลไกศูนย์ประสานงานอาเซียนว่าด้วยมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน (ASEAN Coordinating Centre for Transboundary Haze Pollution) ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเฝ้าระวังร่วมและการพัฒนามาตรการลดการเผาในประเทศต้นทาง รวมถึงกำหนดมาตรการคัดกรองหรือควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผาหรือกระบวนการผลิตที่ก่อให้เกิดมลพิษ * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ * กสม. * PM 2.5 * มลพิษ
dlvr.it
December 28, 2025 at 7:53 AM
รัฐบาลเผยโอนเงินรางวัลตรงถึงนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา 487 ล้านบาท
รัฐบาลเผยโอนเงินรางวัลตรงถึงนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา 487 ล้านบาท
รัฐบาลเผยโอนเงินรางวัลตรงถึงนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา 487 ล้านบาท auser15 Sun, 2025-12-28 - 14:41 รัฐบาลเผยโอนเงินรางวัลแบบเรียลไทม์ตรงถึงนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา รวมกว่า 487 ล้านบาท จากการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 เว็บไซต์รัฐบาลไทย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2568 ณ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก การกีฬาแห่งประเทศไทย นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีมอบเงินรางวัลและแสดงความยินดีแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอน สมาคมกีฬา และคณะเจ้าหน้าที่ ที่เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.พัฒพงศ์ พงษ์สกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (แทน) ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย,นายธนา ไชยประสิทธิ์  รองประธานและเลขาธิการโอลิคปิคแห่งประเทศไทยฯ นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย , และผู้บริหารการกีฬาแห่งประเทศไทย เข้าร่วมพิธี ทั้งนี้ รัฐบาลไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มอบเงินรางวัลสนับสนุนแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 487,365,000 บาท แบ่งเป็นเงินรางวัลนักกีฬา จำนวน 335,700,000 บาท, ผู้ฝึกสอน จำนวน 50,955,000 บาท และสมาคมกีฬา 100,710,000 บาท โดยดำเนินการโอนเงินในรูปแบบเรียลไทม์เข้าบัญชีของนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬาโดยตรง จากผลงาน 500 เหรียญรางวัล ประกอบไปด้วย 233 เหรียญทอง 154 เหรียญเงิน และ 113 เหรียญทองแดง ประกอบไปด้วย - สมาคมกีฬาเรือพายแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน  36,832,500 บาท ผลงาน 12 เหรียญทอง 9 เหรียญเงิน และ 5 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาฮอกกี้แห่งประเทศไทย​รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 34,020,000 บาท ผลงาน 4 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย   รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 25,207,500 บาท ผลงาน 6 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬายูยิตสูแห่งประเทศไทย   รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน  24,585,000 บาท ผลงาน 14 เหรียญทอง 11 เหรียญเงิน และ 5 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทย  รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน  24,900,000 บาท ผลงาน 11 เหรียญทอง 10 เหรียญเงิน และ 12 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬากาบัดดี้แห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 22,185,000  บาท ผลงาน 4 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 18,225,000 บาท ผลงาน 13 เหรียญทอง 13 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 14,490,000 บาท ผลงาน 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน - สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 14,010,000 บาท ผลงาน 2 เหรียญทอง และ 2 เหรียญเงิน - สมาคมกีฬาคริกเก็ตแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน  12,600,000 บาท ผลงาน 2 เหรียญทอง - สมาคมกีฬาวู้ดบอลแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 12,150,000 บาท ผลงาน 6 เหรียญทอง และ 2 เหรียญเงิน - สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 11,655,000 บาท ผลงาน 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาแฮนด์บอลแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 11,340,000 บาท ผลงาน 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน - สมาคมกีฬาฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้งแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 11,122,500 บาท ผลงาน 7 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬารักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 10,920,000 บาท   ผลงาน 2 เหรียญทอง - สมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 10,912,500  บาท ผลงาน 10 เหรียญทอง 7 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาหมากรุกสากลแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 10,350,000 บาท ผลงาน 5 เหรียญทอง - สมาคมกีฬายิมนาสติกแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 9,892,500 บาท ผลงาน 6 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาเบสบอลแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 8,400,000 บาท ผลงาน 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน - สมาคมกีฬาคาราเต้แห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 8,340,000 บาท ผลงาน 4 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาเปตองแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 8,212,500 บาท ผลงาน 5 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 8,100,000 บาท ผลงาน 4 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 5 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 7,987,500 บาท ผลงาน 10 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 7,965,000 บาท ผลงาน 5 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 7,740,000 บาท ผลงาน 1 เหรียญทอง และ 3 เหรียญเงิน - สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 7,275,000 บาท ผลงาน 3 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 6,862,500 บาท ผลงาน 6 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 6,862,500 บาท ผลงาน 14 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 6,412,500  บาท ผลงาน 11 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 6,412,500 บาท ผลงาน 3 เหรียญทอง 7 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬายูโดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน   5,782,500 บาท ผลงาน 4 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน  5,400,000 บาท ผลงาน 2 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน - สมาคมกีฬายิงธนูแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน  5,272,500 บาท ผลงาน 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาฟันดาบแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 5,175,000 บาท ผลงาน 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 6 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 5,062,500 บาท ผลงาน 3 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 4,837,500 บาท ผลงาน 9 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 4,725,000 บาท ผลงาน 3 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 4,410,000 บาท ผลงาน 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน - สมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 4,387,500 บาท ผลงาน 4 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬายิงเป้าบินแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 3,937,500 บาท ผลงาน 3 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาเทคบอลแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 3,600,000 บาท ผลงาน 5 เหรียญทอง - สมาคมกีฬาซอฟท์บอลแห่งประเทศไทย  รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 3,360,000 บาท ผลงาน 2 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 3,262,500 บาท ผลงาน 5 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 3,037,500 บาท ผลงาน 3 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาปันจักสีลัตแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 2,812,500 บาท ผลงาน 3 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาคิกบ๊อกซิ่งแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 2,587,500 บาท ผลงาน 4 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬายิงปืนรณยุทธแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 2,362,500 บาท ผลงาน 3 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาวูซูแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 2,250,000 บาท ผลงาน 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาโบว์ลิ่งแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 2,025,000 บาท ผลงาน 3 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาปีนหน้าผาแห่งประเทศไทย  รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 1,687,500 บาท ผลงาน 2 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาวินด์เซิร์ฟแห่งประเทศไทย  รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 1,575,000  บาท ผลงาน 3 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงิน - สมาคมกีฬาเนตบอลแห่งประเทศไทย  รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 1,260,000 บาท ผลงาน 1 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬามวยปล้ำแห่งประเทศไทย  รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 1,237,500 บาท ผลงาน 1 เหรียญเงิน และ 9 เหรียญทองแดง - สมาคมกีฬาปัญจกีฬาแห่งประเทศไทย รับเงินรางวัลสนับสนุนจำนวน 1,350,000 บาท ผลงาน 2 เหรียญทอง และ 4 เหรียญทองแดง นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า’ในนามของรัฐบาล ผมได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรี ท่านอนุทิน ชาญวีรกุล และรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ต้องขอแสดงความชื่นชมต่อ นักกีฬา ผู้ฝึกสอน สมาคมกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ร่วมกันสร้างความสำเร็จให้กับมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นเกียรติประวัติของประเทศชาติ เพราะประเทศไทยสามารถทำสถิติครองเหรียญรางวัลรวมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ความสำเร็จทั้งหมดนี้ เกิดจากความเสียสละ ความมุ่งมั่น และความร่วมมือของทุกภาคส่วน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของวงการกีฬาประเทศไทยอย่างชัดเจน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รางวัลและความสำเร็จที่ทุกท่านได้รับ จะเป็นขวัญและกำลังใจในการพัฒนาต่อยอดศักยภาพ สปิริต และความตั้งใจ ในฐานะตัวแทนของประเทศไทยต่อไป สำหรับนักกีฬาที่อาจยังไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน กีฬา มีแพ้ มีชนะ หากยังคงฝึกฝน พัฒนา และไม่ย่อท้อ โอกาสย่อมเป็นของทุกคนเสมอ” สุดท้ายนี้ ในนามของรัฐบาลและพี่น้องชาวไทย ผมขอกราบขอบพระคุณทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคมกีฬา และนักกีฬาทุกท่าน ที่ร่วมกันสนับสนุนและขับเคลื่อนวงการกีฬาของชาติอย่างต่อเนื่อง ขอให้ทุกท่านจงภาคภูมิใจ เพราะผลงานที่ท่านสร้าง ไม่เพียงเป็นเกียรติแก่ตนเองและครอบครัว แต่ยังเป็นเกียรติประวัติของประเทศชาติอีกด้วย” * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * กีฬา * ซีเกมส์
dlvr.it
December 28, 2025 at 7:44 AM
สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 เผย ปี 67-68 เด็ก-วัยรุ่นโทรขอเลิกบุหรี่พุ่ง 40%
สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 เผย ปี 67-68 เด็ก-วัยรุ่นโทรขอเลิกบุหรี่พุ่ง 40%
สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 เผย ปี 67-68 เด็ก-วัยรุ่นโทรขอเลิกบุหรี่พุ่ง 40% auser15 Sun, 2025-12-28 - 14:33 สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 สรุปผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2567–2568 พบว่า จำนวนผู้โทรเข้ารับบริการจะลดลงเมื่อเทียบกับเป้าหมาย แต่คุณภาพบริการโดยรวมดีขึ้น ระบุอัตราผู้ที่ตั้งใจเลิกบุหรี่และยินยอมให้ติดตามผล “เลิกบุหรี่ได้ต่อเนื่องมากกว่า 6 เดือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น” ขณะที่กลุ่มเด็กและเยาวชน วัยทำงานตอนต้น หันมาใช้บริการมากขึ้นอย่างชัดเจน 28 ธันวาคม 2568 รศ.ดร.จินตนา ยูนิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ในปี 2567–2568 มีเป้าหมายให้บริการผู้สูบบุหรี่จำนวน 18,960 ราย โดยในปี 2567 ให้บริการได้ 17,106 ราย และปี 2568 อยู่ที่ 16,486 ราย แม้ตัวเลขผู้ใช้บริการจะลดลงเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาเชิงคุณภาพกลับพบผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนผู้ที่มีความตั้งใจเลิกบุหรี่จริง การยินยอมให้ติดตามผล รวมถึงความสำเร็จในการเลิกบุหรี่แบบไม่สูบแม้แต่วันเดียวต่อเนื่องเกิน 6 เดือน ซึ่งในปี 2568 มีอัตราสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า ในด้านประสิทธิภาพการให้บริการ ปี 2568 สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 สามารถรับสายและให้บริการได้ถึง 87% ของสายที่โทรเข้ามาทั้งหมด ส่วนสายที่ไม่สามารถรับได้ ส่วนใหญ่เป็นกรณีวางสายก่อน หรือเป็นสายโทรเล่นและสายเสีย โดยพบว่าสายโทรเล่นมีจำนวนมากในช่วงเดือนกรกฎาคม และเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมและปลายปี ข้อมูลที่น่าสนใจอีกประเด็นคือ โครงสร้างอายุของผู้โทรเข้ามารับบริการเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หากย้อนดูตั้งแต่เริ่มให้บริการในปี 2552 กลุ่มอายุ 40–60 ปีเคยเป็นกลุ่มหลักที่โทรเข้ามาขอคำปรึกษา แต่ในช่วง 2 ปีหลังที่ผ่านมา ภายหลังการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า พบว่าผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และกลุ่มอายุ 21–30 ปี โทรเข้ามารับบริการรวมกันสูงถึง 40% ขณะที่กลุ่มอายุ 50–60 ปีมีสัดส่วนลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่าเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมักเริ่มสูบในช่วง 1–5 ปีแรก ตัดสินใจโทรเข้ามาขอความช่วยเหลือเร็วขึ้น เนื่องจากผลกระทบต่อสุขภาพเกิดขึ้นชัดเจนและรวดเร็ว ขณะที่ผู้สูบบุหรี่มวนมีแนวโน้มโทรเข้ามารับบริการลดลง เนื่องจากผลกระทบด้านสุขภาพใช้เวลานานกว่าจะปรากฏ อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานยังคงมีความท้าทายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การแทรกแซงของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าและสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเลิกบุหรี่ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มแข็ง ส่งผลให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย, การขาดการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับช่องทางบริการเลิกบุหรี่ โดยเฉพาะสายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 ซึ่งเป็นบริการฟรี มีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาและติดตามผลอย่างเป็นระบบ และปัญหาเชิงระบบในระดับพื้นที่และชุมชน ทั้งการอบรมบุคลากร และการเชื่อมโยงการดูแลต่อเนื่องในคลินิกเลิกบุหรี่ของสถานพยาบาล รศ.ดร.จินตนา ย้ำว่า ความสำเร็จของการเลิกบุหรี่ต้องอาศัย 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ ประชาชนรับรู้และเข้าถึงบริการ ระบบการให้บริการที่มีคุณภาพ และการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 พร้อมทำหน้าที่เป็นด่านหน้าสำคัญในการช่วยให้ผู้สูบทุกวัยเริ่มต้นเลิกบุหรี่อย่างถูกวิธี ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ หรือผู้ปกครองที่กังวลเกี่ยวกับการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าของบุตรหลาน โทรมาขอคำปรึกษาได้ที่ สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 ให้บริการฟรี มีทีมผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะการเลิกบุหรี่เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ และไม่จำเป็นต้องเดินคนเดียว * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 * บุหรี่ * สุขภาพ
dlvr.it
December 28, 2025 at 7:39 AM
สหรัฐฯ แถลงยินดีกัมพูชา-ไทยประกาศข้อตกลงหยุดยิง
สหรัฐฯ แถลงยินดีกัมพูชา-ไทยประกาศข้อตกลงหยุดยิง
สหรัฐฯ แถลงยินดีกัมพูชา-ไทยประกาศข้อตกลงหยุดยิง auser15 Sun, 2025-12-28 - 13:56 สถานทูตสหรัฐฯ เผยแพร่แถลงการณ์โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 'มาร์โค รูบิโอ' ยินดีกัมพูชา-ไทยประกาศข้อตกลงหยุดยิง 28 ธันวาคม 2568 สถานทูตสหรัฐฯ และสถานกงสุลในประเทศไทย เผยแพร่แถลงการณ์โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ ระบุว่า สหรัฐอเมริกายินดีที่กัมพูชาและประเทศไทยประกาศข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งหยุดความเป็นปรปักษ์บริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป เราเรียกร้องให้กัมพูชาและไทยปฏิบัติตามข้อผูกพันนี้โดยทันที และปฏิบัติตามเงื่อนไขในข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์อย่างครบถ้วน * ข่าว * ต่างประเทศ * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * สหรัฐอเมริกา
dlvr.it
December 28, 2025 at 7:08 AM
ดัชนี้การเมืองไทยสวนดุสิตโพล ธ.ค. 68 ลดลงเกือบทุกตัวชี้วัด คนหวังรัฐบาลใหม่เร่งฟื้นเศรษฐกิจ
ดัชนี้การเมืองไทยสวนดุสิตโพล ธ.ค. 68 ลดลงเกือบทุกตัวชี้วัด คนหวังรัฐบาลใหม่เร่งฟื้นเศรษฐกิจ
ดัชนี้การเมืองไทยสวนดุสิตโพล ธ.ค. 68 ลดลงเกือบทุกตัวชี้วัด คนหวังรัฐบาลใหม่เร่งฟื้นเศรษฐกิจ auser15 Sun, 2025-12-28 - 13:41 สวนดุสิตโพล สำรวจ 2,151 คน ดัชนีการเมืองไทยประจำเดือน ธ.ค. 68 พบลดลงเกือบทุกตัวชี้วัด คนหวังรัฐบาลใหม่เร่งฟื้นเศรษฐกิจ 28 ธันวาคม 2568 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนธันวาคม 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,151 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนธันวาคม 2568 เฉลี่ย 3.87 คะแนน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ได้ 3.90 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน เฉลี่ย 4.46 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ความโปร่งใส 3.39 คะแนน เมื่อถามถึงการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ตั้งใจจะไปใช้สิทธิ ร้อยละ 78.38 และอยากให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจมากที่สุด ร้อยละ 34.11 ทั้งนี้บุคคลที่อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 26.55  และเมื่อถามว่ารู้หรือไม่ว่าการเลือกตั้ง 69 สว.ไม่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบว่า รู้ ร้อยละ 62.72  และไม่รู้ ร้อยละ 37.28 ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนธันวาคม 2568 ลดลงเล็กน้อยหลังการยุบสภา สะท้อนการเมืองที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง โดยประชาชนส่งสัญญาณชัดว่าความหวังอยู่ที่ “เศรษฐกิจ” เพราะปัญหาปากท้องยังบีบคั้นชีวิตประจำวัน และพรรคใดเสนอทางออกที่จับต้องได้ แก้ได้จริง ไม่ใช่เพียงนโยบายเฉพาะหน้า ก็อาจได้เปรียบในสายตาผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ดร.งามประวัณ เอ้สมนึก คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ดัชนีการเมืองไทยเดือนธันวาคม 2568 มีเพียงไม่กี่ตัวชี้วัดที่ขยับเพิ่มขึ้น คือ “การมีส่วนร่วมของประชาชน” และ “สิทธิ–เสรีภาพ” การขยับดังกล่าวมิได้สะท้อนความสำเร็จของรัฐบาลเดิม หากสะท้อนการตื่นตัวของสังคมในช่วงหลังยุบสภาและก่อนเลือกตั้ง การเมืองกำลังกลับมาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน ผ่านเวทีดีเบตและการถกเถียงสาธารณะ ขณะเดียวกัน ตัวชี้วัดเกือบทั้งระบบกลับปรับลดลงพร้อมกัน ภาพรวมจึงชี้ว่าประชาชนเริ่มรับรู้ว่า “รัฐบาลเดิมกำลังเอาไม่อยู่” ต่ออำนาจนอกระบบและความไม่แน่นอนเชิงโครงสร้าง นี่คือเหตุผลเชิงลึกที่ทำให้สังคมไทยกำลังมองหา “ผู้นำทางการเมืองชุดใหม่” ทั้งนี้ แม้ประชาชนกว่า 78% จะตั้งใจไปเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองเป็นเครื่องมือเพื่อเอาตัวรอดมากกว่าพิธีกรรมประชาธิปไตยเพราะความต้องการอันดับต้นล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง ความปลอดภัย และปัญหาชายแดน สะท้อนการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการโหวตจากความกังวล มากกว่าการโหวตจากอุดมการณ์ ประชาชนเกือบหนึ่งในห้ายังลังเลต่อทางเลือกผู้นำ และที่น่ากังวลใจอย่างยิ่ง คือ กว่า 37% ยังไม่ทราบว่า สว. ไม่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี แสดงว่าประชาชนยังไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริงของ สว. และ  นี่คือภาพของประชาธิปไตยเชิงพิธีกรรมที่ประชาชนยังเข้าไม่ถึงโครงสร้างอำนาจ ดังนั้น การเลือกตั้ง 2569 จึงเป็นการทดสอบว่าระบบการเมืองยังพาประเทศไปสู่ความมั่นคงได้จริงหรือไม่ * ข่าว * การเมือง * สวนดุสิตโพล * โพล
dlvr.it
December 28, 2025 at 6:45 AM
กองทัพภาคที่ 2 เผยหลังหยุดยิงความรุนแรงลดลงชัดเจน
กองทัพภาคที่ 2 เผยหลังหยุดยิงความรุนแรงลดลงชัดเจน
กองทัพภาคที่ 2 เผยหลังหยุดยิงความรุนแรงลดลงชัดเจน auser15 Sun, 2025-12-28 - 13:25 กองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา หยุดยิงหลังเวลา 12.00 น. วันที่ 27 ธ.ค.2568 จึงทำให้ความรุนแรงลดลงอย่างชัดเจน โดยทหารไทยควบคุมพื้นที่ทั้งหมดที่ประเทศไทยยึดคืนกลับมาได้ - TMAC ประณามกัมพูชา ตรวจค้นฐานทหารพบหลักฐานยังวางทุ่นระเบิด 28 ธันวาคม 2568 กองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ตั้งแต่วานนี้ (27 ธ.ค.)  ตลอดช่วงเช้ามีการปะทะด้วยอาวุธยิงสนับสนุนหลายพื้นที่ โดยเฉพาะแนว จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะมีคำสั่ง “หยุดยิง” พร้อมกันหลังเวลา 12.00 น. ส่งผลให้สถานการณ์โดยรวมคลี่คลายลงชายแดนจังหวัด อุบลราชธานี พื้นที่ช่องบก ช่วงเช้าวานนี้ฝ่ายตรงข้ามใช้อาวุธยิงสนับสนุนและจรวดหลายลำกล้องจากด้านหลังเนิน 745 ฝ่ายไทยตรึงกำลังรับมือ ก่อนมีคำสั่งหยุดยิงช่วงเที่ยง ขณะที่พื้นที่ช่องอานม้าไม่พบความเคลื่อนไหวสำคัญ และเข้าสู่ภาวะหยุดยิงเช่นเดียวกัน ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ จุดปะทะหนาแน่น แนวซำแต–โดนตรวล–ภูผี–สัตตะโสม–พนมประสิทธิโส–ช่องตาเฒ่า ก่อนหยุดยิง มีการโต้ตอบกันอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยใช้อาวุธยิงต่อต้านที่ตั้งฝ่ายตรงข้าม พื้นที่สัตตะโสมมีกำลังพลไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิด 1 นาย แม้ไม่มีการรุกภาคพื้นขนาดใหญ่ แต่พบความพยายามแทรกซึมเป็นระยะ หลังหยุดยิงยังตรวจพบการเคลื่อนไหวบางจุด แนวผามออีแดง–ห้วยตามาเรีย พบการระดมยิงจากฝั่งตรงข้าม ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยการรวมอำนาจการยิงหลายระลอก มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดและแรงอัดหลายราย และหลังหยุดยิงยังพบความเคลื่อนไหวกำลังพลและยานพาหนะใกล้ปากช่องคานม้าและวัดแก้ว พื้นที่ภูมะเขือ–ช่องโดนเอาว์–พลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน ฝ่ายตรงข้ามโจมตีจากช่องโดนเอาว์และพยายามแทรกซึมหลายครั้ง ฝ่ายไทยใช้การยิงสกัด ทำให้แนวที่มั่นไม่เปลี่ยนแปลงหลังเข้าสู่ห้วงหยุดยิง ส่วนพื้นที่ช่องสะงำ แม้ไม่พบความเคลื่อนไหวภาคพื้นสำคัญ แต่ตรวจพบโดรนจำนวนมากตั้งแต่เช้ามืด ฝ่ายไทยใช้อากาศยาน รถถัง และโดรนโจมตีเป้าหมาย รวมถึงเกิดการปะทะเป็นช่วง ๆ ชายแดนจังหวัดสุรินทร์–บุรีรัมย์ สถานการณ์ทรงตัว หลายพื้นที่ใน จ.สุรินทร์ อาทิ ช่องจอม ช่องเปรอ ช่องระยี คนา ตาควาย เนิน 350 ช่องกร่าง และตาเมือนธม ไม่พบความเคลื่อนไหวสำคัญ และอยู่ในภาวะหยุดยิงหลังเที่ยงวัน โดยภาพรวมยังเป็นการกดดันด้วยอาวุธยิงไกล ไม่มีการเข้าตีประชิดชัดเจน ขณะที่ จ.บุรีรัมย์ พื้นที่ช่องสายตะกู สถานการณ์สงบและตรึงกำลังเดิม โดยภาพรวมทั้งวัน การปะทะรุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่เช้ามืดจนถึงช่วงเที่ยง โดยเฉพาะแนวเขาพระวิหาร–ผามออีแดง–ภูมะเขือ และแนวช่องบก–ช่องอานม้า ก่อนที่คำสั่งหยุดยิงหลังเวลา 12.00 น. วันที่ 27 ธ.ค.2568 จึงทำให้ความรุนแรงลดลงอย่างชัดเจนและสถานการณ์เข้าสู่ภาวะที่ไทยควบคุมได้ทั้งหมดทุกพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่ของไทย เราสามารถยึดคืนกลับมาได้ TMAC ประณามกัมพูชา ตรวจค้นฐานทหารพบหลักฐานยังวางทุ่นระเบิด Thai PBS รายงานว่า พ.อ.ศิวะ หว่างอากาศ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) กล่าวถึงกรณีเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. เวลา 12.19 ขณะที่ร้อย ร.112 พัน.ร.12 เข้าปฏิบัติภารกิจบริเวณเขาสัตตะโสม ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้เกิดเหตุพลทหารนรินทร์ เงาไพร ตำแหน่งพลยิง M203 ร้อย ร.112 พัน.ร.12 เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 อาการบาดเจ็บสาหัสขาขวาขาด ซึ่งเป็นการเกิดเหตุคนที่ 10 ของทหารไทย พ.อ.ศิวะ ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ยืนยันได้ว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีการปฏิบัติในการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ที่ไทยและกัมพูชาต่างเป็นรัฐภาคี อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง รวมทั้งจากการเข้าตรวจค้นพิสูจน์ทราบพื้นที่ฐานปฎิบัติการของทหารกัมพูชาก่อนละทิ้งฐาน ได้ตรวจพบหลักฐานหลายรายการ เช่น สมุดบันทึกการวางทุ่นระเบิดที่ระบุพิกัด GPS ในหลายพื้นที่ อีกทั้งยังพบบันทึกรายการแจกจ่ายทุ่นระเบิด PMN-2 อีกจำนวนมาก ซึ่งฝ่ายกัมพูชาไม่ควรใช้วาทะกรรมใดๆ ในการโต้แย้ง หรือปฏิเสธการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลต่อประชาคมโลกได้อีกต่อไป นอกจากนี้ จากเหตุการณ์ที่ทหารไทยประสบเหตุ รวมทั้งจำนวนทุ่นระเบิดตรวจพบและยึดได้ แสดงให้เห็นว่าในทุกบริเวณที่มีการประทะยังคงมีการปนเปื้อนของทุ่นระเบิดอีกเป็นจำนวนมาก โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กล่าวอีกว่า ขอประณามการกระทำดังกล่าวของกัมพูชาว่าเป็นการกระทำที่บ่งบอกถึงการจงใจละเมิดในทุกข้อตกลง และแสดงถึงความไม่จริงใจในการร่วมกันแก้ปัญหาให้เกิดความสงบสุขในภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันอยู่ในห้วงที่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชากำลังมุ่งดำเนินการเพื่อจัดทำถ้อยแถลงร่วมกันในการยุติการสู้รบ เพื่อคืนความสงบสุขให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ฝ่ายกัมพูชาจะได้แสดงออกถึงความจริงใจ และเปิดเผยทุกข้อมูลที่จะนำไปสู่กระบวนการแห่งการสร้างสันติภาพในภูมิภาคต่อไปอย่างยั่งยืน * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 28, 2025 at 6:27 AM
ผลการจับฉลากหมายเลขปาร์ตี้ลิสต์ 52 พรรค
ผลการจับฉลากหมายเลขปาร์ตี้ลิสต์ 52 พรรค
ผลการจับฉลากหมายเลขปาร์ตี้ลิสต์ 52 พรรค auser15 Sun, 2025-12-28 - 12:40 ผลการจับฉลากหมายเลขปาร์ตี้ลิสต์ 52 พรรค รวมไทยสร้างชาติ ได้หมายเลข 6, เพื่อไทย 9, เศรษฐกิจ 11, ประชาธิปัตย์ 27, ภูมิใจไทย 37, กล้าธรรม 42, พลังประชารัฐ 43, ประชาชน 46, ไทยสร้างไทย 48, พรรคไทยก้าวใหม่ 49 28 ธันวาคม 2568 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดการรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร จะเริ่มในเวลา 08.30 น. โดยผู้สมัครจากพรรคการเมืองที่มาลงทะเบียนก่อนเวลา 08.30 น. รวมทั้งหมด 52 พรรคการเมือง โดยทุกพรรคจะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนจึงจะมีสิทธิ์เข้าจับสลากได้ โดยผลการจับฉลากหมายเลขปาร์ตี้ลิสต์ทั้ง 52 พรรค มีดังนี้ หมายเลข 1 พรรคไทยทรัพย์ทวี หมายเลข 2 พรรคเพื่อชาติไทย หมายเลข 3 พรรคใหม่ หมายเลข 4 พรรคมิติใหม่ หมายเลข 5 พรรครวมใจไทย หมายเลข 6 พรรครวมไทยสร้างชาติ หมายเลข 7 พรรคพลวัต หมายเลข 8 พรรคประชาธิปไตยใหม่ หมายเลข 9 พรรคเพื่อไทย หมายเลข 10 พรรคทางเลือกใหม่ หมายเลข 11 พรรคเศรษฐกิจ หมายเลข 12 พรรคเสรีรวมไทย หมายเลข 13 พรรครวมพลังประชาชน หมายเลข 14 พรรคท้องที่ไทย หมายเลข 15 พรรคอนาคตไทย หมายเลข 16 พรรคพลังเพื่อไทย หมายเลข 17 พรรคไทยชนะ หมายเลข 18 พรรคสังคมใหม่ หมายเลข 19 พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย หมายเลข 20 พรรคฟิวชัน หมายเลข 21 พรรคไทรวมพลัง หมายเลข 22 พรรคก้าวอิสระ หมายเลข 23 พรรคปวงชนไทย หมายเลข 24 พรรควิชชั่นใหม่ หมายเลข 25 พรรคเพื่อชีวิตใหม่ หมายเลข 26 พรรคคลองไทย หมายเลข 27 พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 28 พรรคไทยก้าวหน้า หมายเลข 29 พรรคไทยภักดี หมายเลข 30 พรรคแรงงานสร้างชาติ หมายเลข 31 พรรคประชากรไทย หมายเลข 32 พรรคครูไทยเพื่อประชาชน หมายเลข 33 พรรคประชาชาติ หมายเลข 34 สร้างอนาคตไทย หมายเลข 35 พรรครักชาติ หมายเลข 36 พรรคไทยพร้อม หมายเลข 37 พรรคภูมิใจไทย หมายเลข 38 พรรคพลังธรรมใหม่ หมายเลข 39 พรรคกรีน หมายเลข 40 พรรคไทยธรรม หมายเลข 41 พรรคแผ่นดินธรรม หมายเลข 42 พรรคกล้าธรรม หมายเลข 43 พรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 44 พรรคโอกาสใหม่ หมายเลข 45 พรรคเป็นธรรม หมายเลข 46 พรรคประชาชน หมายเลข 47 พรรคประชาไทย หมายเลข 48 พรรคไทยสร้างไทย หมายเลข 49 พรรคไทยก้าวใหม่ หมายเลข 50 พรรคประชาอาสาชาติ หมายเลข 51 พรรคพร้อม หมายเลข 52 พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย * ข่าว * การเมือง * การเลือกตั้ง * การเลือกตั้ง 2569
dlvr.it
December 28, 2025 at 5:47 AM
กกต.เผยวันแรกสมัคร สส.เขตทั่วประเทศ 3,092 คน กทม.มากสุด 449 คน
กกต.เผยวันแรกสมัคร สส.เขตทั่วประเทศ 3,092 คน กทม.มากสุด 449 คน
กกต.เผยวันแรกสมัคร สส.เขตทั่วประเทศ 3,092 คน กทม.มากสุด 449 คน auser15 Sun, 2025-12-28 - 12:14 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง สรุปยอดผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขต วันแรกจาก 77 จังหวัด รวม 3,092 คน โดยกรุงเทพมหานครมีผู้สมัครมากที่สุด รองลงมานครราชสีมา เชียงใหม่ ขอนแก่น และชลบุรี ขณะที่ กกต.ยังเปิดรับสมัครถึง 31 ธันวาคมนี้ 28 ธันวาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เลขที่ 553/2568 วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568 สรุปยอดจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันแรกของการรับสมัคร (27 ธ.ค. 68) มีผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 77 จังหวัด จำนวน 3,092 คน (ข้อมูลวันที่ 27 ธ.ค. 68 เวลา 18.00 น. จังหวัดที่มีจำนวนผู้สมัครมากที่สุดได้แก่กรุงเทพมหานคร จำนวน 449 คน รองลงมาคือจังหวัดนครราชสีมา 120 คน เชียงใหม่ 93 คน ขอนแก่น 91 คน และชลบุรี 83 คน ทั้งนี้ กกต. ยังคงเปิดรับการสมัครรับเลือกตั้ง สส. ไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 เวลา 08.30 - 16.30 น. ณสถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งกำหนด โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้ง สส. ได้ทางเว็บไซต์ กกต. www.ect.go.th หรือ สำนักงาน กกต. ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่สายด่วน 1444 * ข่าว * การเมือง * สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง * กกต. * การเลือกตั้ง * การเลือกตั้ง 2569
dlvr.it
December 28, 2025 at 5:19 AM
ยืนหยุดขัง-ล้อมวงหม่ำ หน้าศาลอาญา ส่งท้ายปีเก่า‘68 ย้ำ 55 ผู้ต้องขังการเมืองถูกขังข้ามปี
ยืนหยุดขัง-ล้อมวงหม่ำ หน้าศาลอาญา ส่งท้ายปีเก่า‘68 ย้ำ 55 ผู้ต้องขังการเมืองถูกขังข้ามปี
ยืนหยุดขัง-ล้อมวงหม่ำ หน้าศาลอาญา ส่งท้ายปีเก่า‘68 ย้ำ 55 ผู้ต้องขังการเมืองถูกขังข้ามปี รายงานข่าวและภาพโดยแมวส้ม auser15 Sun, 2025-12-28 - 11:59 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2568 ตั้งแต่เวลา 16.30 น. ที่บริเวณหน้าศาลอาญา รัชดาฯ ประชาชนร่วมกิจกรรม “ยืนหยุดขัง“ ส่งท้ายปี 2568 เพื่อย้ำเตือนว่ายังมีผู้ต้องขังทางการเมืองอีกอย่างน้อย 55 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ โดยใช้เวลายืนหยุดขัง 1 ชั่วโมง 12 นาที พร้อมทั้งถือป้ายรูปภาพผู้ต้องขังทางการเมือง จากนั้นต่อด้วย “ล้อมวงหม่ำ” ผู้ร่วมกิจกรรมได้นำอาหารและขนมมาล้อมวงรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน โดยมี อาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ และหนวด ริมทาง ร่วมเล่นดนตรีด้วย ก่อนยุติกิจกรรม เวลา 19.30 น. ได้มีการแจกพวงกุญแจอานนท์ นำภา เป็นของที่ระลึกให้ผู้ร่วมกิจกรรม * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ยืนหยุดขัง
dlvr.it
December 28, 2025 at 5:01 AM
การเมืองแห่งความหวังในโลกความเป็นจริงที่ไร้สาระ
การเมืองแห่งความหวังในโลกความเป็นจริงที่ไร้สาระ
การเมืองแห่งความหวังในโลกความเป็นจริงที่ไร้สาระ นักปรัชญาชายขอบ   sarayut Sun, 2025-12-28 - 07:20 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่าง 50 ถึง 85 ล้านคน หลังสงครามนักปรัชญาสายอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ตั้งคำถามถึงธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ และความหมายของการมีชีวิตอยู่กันมากขึ้น เช่นว่าถ้าธรรมชาติของมนุษย์คือความเป็นผู้มีเหตุผล (rational being) และด้วยการใช้เหตุผลจะพามนุษย์ไปสู่ความมีศีลธรรม และมีสังคมการเมืองที่ดี ตามที่นักปรัชญากรีกจนถึงนักปรัชญาสมัยใหม่ยืนยัน แต่สิ่งที่เป็นจริงคือ ด้วยความสามารถในการใช้เหตุผลของมนุษย์ ได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุดกลับเป็นอาวุธสงครามที่สามารถทำลายล้างโลกได้ชั่วพริบตา ขณะที่ความตาย การพลัดพราก และความสูญเสียมหาศาลจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เหมือนจะไม่ได้ให้ “บทเรียน” ที่สังคมมนุษย์จะเชื่อมั่นในสันติภาพที่สะท้อนออกมาจากธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ผู้มีเหตุผล มากไปกว่าการแข่งขันกันสร้างแสนยานุภาพของกองทัพและขีปนาวุธ เพื่อใช้เป็นหลักประกันสันติภาพที่มีความหมายเพียงว่า “สันติภาพกับสงครามคือเหรียญคนละด้าน” ภายใต้แนวคิดที่ว่าเราทำสงครามเพื่อเป็นเงื่อนไขไปสู่การเจรจาสันติภาพ ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่มีสันติภาพ เราต่างก็จัดเตรียมกองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พร้อมรบอยู่เสมอ นี่คือความเป็นจริงของโลกที่ไม่ได้เป็นไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็น เพราะถ้ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผล และด้วยเหตุผลที่ควรจะเป็นสังคมมนุษย์ก็ควรเป็นสังคมที่มีศีลธรรม และการเมืองภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ ก็ควรเป็นการเมืองเพื่อสันติภาพที่ถาวร หรือถ้ามนุษย์ถูกพระเจ้าสร้างมาในฐานะเป็น “จินตภาพ” ของพระองค์ตามความเชื่อของปรัชญาคริสต์ จิตใจของมนุษย์ก็ย่อมจะเต็มเปี่ยมด้วยความรักและการให้อภัย สงครามที่เกิดจากความเคียดแค้นชิงชัง ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้ หนึ่งในนักปรัชญาสายอัตถิภาวนิยมที่ไม่เชื่อใน “ธรรมชาติที่แน่นอน” ของความเป็นมนุษย์อย่างที่เชื่อกันในปรัชญากรีกและปรัชญาคริสต์ (เป็นต้น) คืออัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) สำหรับกามูส์มนุษย์ไม่ได้มีธรรมชาติที่แน่นอน เช่น ความเป็นผู้มีเหตุผล หรือเป็นจินตภาพของพระเจ้า ความหมายหรือคุณค่าของชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติที่แน่นอนของมนุษย์ก็ไม่มีอยู่จริงด้วยเช่นกัน โลกตามที่เป็นจริงและชีวิตตามที่เป็นอยู่จริงนั้น “ไร้สาระ” (absurd) นั่นคือโลกและชีวิตตามที่เป็นจริงไม่ได้เป็นไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็น หากแต่มักจะสวนทางกับเหตุผลที่ควรจะเป็น กามูส์ใช้ตัวอย่าง “เทพนิยายซิซีฟัส” (The Myth of Sisyphus) มาอธิบายให้เห็นความไร้สาระของชีวิตว่าซิซีฟัสทำผิดต่อเทพเจ้า จึงถูกเทพเจ้าลงโทษด้วยการสาบให้เขาเข็นก้อนหินขึ้นไปบนยอดเขา แต่พอถึงยอดเขาทีไร ก้อนหินก็กลิ้งลงมาที่พื้นราบ แล้วซิซีฟัสก็กลับลงมากลิ้งขึ้นไปใหม่ เขาต้องทำงานหนักเหนื่อย ไร้ความหมาย ไร้จุดหมายและจุดจบอยู่เช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน แรกๆ เขารู้สึกทุกข์ทรมานเหนื่อยหน่ายกับการมีชีวิตอยู่อย่างไร้สาระที่ไม่จบสิ้นเช่นนั้น แต่วันหนึ่งเขาฉุกคิดได้ว่าที่เทพเจ้าลงโทษเราก็เพราะต้องการให้เราทุกข์ทรมาน และมีชีวิตอยู่อย่างยอมจำนนต่อความทุกข์ทรมานไม่ใช่หรือ แต่ถ้าเราไม่ยอมจำนนให้เป็นไปตามความต้องการของเทพเจ้าล่ะ การลงโทษของเทพเจ้าก็ย่อมไม่มีความหมายอะไรต่อจิตใจของเรา เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซิซีฟัสก็ทำงานเข็นก้อนกินที่จำเจเช่นนั้นอย่างไม่ทุกข์ทรมานทางจิตใจอีกต่อไป การลงโทษของเทพเจ้าเพื่อให้ซิซีฟัสทุกข์ทรมานทางจิตใจจึงไร้ผล ในมุมมองแบบกามูส์โลกและชีวิตในความเป็นจริงก็เป็นแบบนี้แหละ คือมันไร้สาระหรือไร้ความหมาย การมีชีวิตอยู่ไม่ใช่การแสวงหาคุณค่าหรือความหมายของชีวิต แต่คือการทำความเข้าใจความเป็นจริงของโลกและชีวิตที่ไร้สาระ และอยู่กับความเป็นจริงที่แสนจะเหลือทนต่างๆ นานาได้โดยไม่ฆ่าตัวตาย หรือไม่หลีกหนีจากความเป็นจริงไปพึ่งพาศาสนา ศีลธรรม หรือความเชื่ออื่นใดที่ให้ “ความหมาย” หรือ “คุณค่า” บางอย่างให้เรายึดเหนี่ยว เพราะถึงที่สุดแล้วเราก็ไม่อาจยึดเหนี่ยวสิ่งใดๆ ได้จริง บทเรียนทางประวัติศาสตร์บอกเราชัดเจนแล้วว่าในนามศาสนา ศีลธรรม ความหมาย หรือคุณค่าตามอุดมการณ์หรือความเชื่อแบบใดๆ ก็มักจะพาเราเป็นสู่ความเป็นจริงที่ไร้สาระเสมอๆ เช่น ในนามของความรักพระเจ้า รักชาติ รักกษัตริย์ และการกระทำเพื่ออุดมการณ์อื่นๆ ก็มักจะพาสังคมมนุษย์ไปสู่สงคราม การเข่นฆ่า การกดขี่ และความรุนแรงอย่างไร้เหตุผลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ในความขัดแย้งทางการเมืองกว่าสองทศวรรษในบ้านเรา ยิ่งเห็นความเป็นจริงของ “การเมืองที่ไร้สาระ” หรือ “absurd politics” อย่างชัดเจนภายใต้อำนาจของรัฐพันลึก นั่นคือการเมืองที่ไม่ได้เป็นไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็น เพราะถ้าการเมืองเป็นไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็น เมื่อบ้านเราสามารถยกระดับการแข่งขันทางการเมืองจากการแข่งขันเพื่อให้ได้ “คนดี” มาปกปครองบ้านเมืองสู่การแข่งขัน “เชิงนโยบาย” จนประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์จากนโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นต้นแล้ว ก็ควรจะก้าวไปสู่การแข่งขันเชิงนโยบายอื่นๆ ที่เกิดประโยชน์แก่ประชาชนส่วนใหญ่มากขึ้นๆ แต่กลับเกิดรัฐประหารที่อ้างคนดีมีคุณธรรมมาปกครองบ้านเมือง ทว่าสุดท้ายวาทกรรมเรื่องคนดีมีคุณธรรมก็ล้วนไร้สาระ การปฏิรูปประชาธิปไตยผ่านการทำรัฐประหารก็กลับสร้างหายนะแก่การเมืองและเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วมีพรรคก้าวไกลเสนอนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อเปิดทางให้สังคมมีเสรีภาพและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น พรรคการเมืองอื่นๆ ถูกกระแสสื่อและสังคมกดดันให้แสดง “จุดยืนแก้ 112” แต่ในที่สุดก็ถูกการเมืองไร้สาระของรัฐพันลึกยุบพรรคก้าวไกล และในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองอื่นๆ กลับเป็นฝ่ายกดดันให้พรรคประชาชนแสดง “จุดยืนไม่แก้ 112” นี่คือความเป็นจริงของการเมืองไร้สาระ ที่ไม่เป็นไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็น ยังไม่นับความเป็นจริงทางการเมืองที่ไร้สาระอื่นๆ เช่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะผู้สั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงด้วยกระสุนจริงที่มีคนตายร่วมร้อย แต่กลับได้คืนสู่การเลือกตั้งครั้งนี้อย่างชิลๆ ขณะที่ผู้นำที่ถูกทำรัฐประหารอย่างทักษิณ ชินวัตรถูกขังคุก ทว่าสื่อต่างๆ ก็กลับ “จี้ถาม” ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยว่าจะถูกครอบงำโดยทักษิณไหม ขณะที่อภิสิทธิ์นอกจากจะไม่ถูกจี้ถามถึง “ความรับผิดชอบ” ต่อการสลายการชุมนุมร่วมร้อยศพแล้ว ตัวเขาเองยังเป็นฝ่ายจี้ถาม “จุดยืนไม่แก้ 112” กับพรรคประชาชนอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น ความไร้สาระมากที่สุดของการเมืองภายใต้รัฐพันลึก คือการไม่นิรโทษกรรมคดี 112 เพื่อปล่อยนักโทษทางความคิดออกจากคุก แถมยังมีการใช้มาตรา 112 ขังคุกคนคิดต่างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้การเลือกตั้งไร้ความหมายต่อการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือพูดอีกอย่างคือการเมืองที่มีการเลือกตั้งที่เราเรียกกันว่าเป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็ไม่มีความหมายเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เพราะถ้าเป็นประชาธิปไตยจริงก็ต้องมีเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก จึงต้องไม่มีนักโทษทางความคิดแม้แต่คนเดียว  นึกถึงคำพูดของฟรีดริช นีทเช่ (Friedrich Nietzsche) ที่ว่า “หากอยากรู้ว่าใครเป็นคนมีหัวใจหรือไม่ จงดูวิธีที่เขาปฏิบัติต่อสัตว์” แต่การเมืองของประเทศนี้ปฏิบัติต่อ “คน” ที่สู้เพื่อประชาธิปไตยแบบไหนกัน? กับอีกคำพูดหนึ่งของนีทเช่คือ “ทุกสิ่งที่รัฐพูดล้วนเป็นเรื่องโกหก และทุกสิ่งที่รัฐมีล้วนเป็นสิ่งที่ปล้นมา” นี่คือความเป็นจริงของการเมืองไร้สาระที่เราเผชิญอยู่ ทุกสิ่งที่รัฐพันลึกพูด ไม่ว่าเรื่องสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ การเมืองสุจริตตรวจสอบได้ คุณธรรมความดี คนดีและอื่นๆ กระทั่งความจำเป็นของการทำสงครามกับเพื่อนบ้าน ล้วนเป็นเรื่องโกหก และทุกสิ่งที่รัฐมี คืออำนาจและผลประโยชน์ต่างๆ ที่แตะต้องไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้ ล้วนเป็นสิ่งที่ปล้นมาจากประชาชน ด้วยการทำรัฐประหาร และการใช้นิติสงครามปราบปรามประชาชนที่คิดต่าง นอกจากนั้น เรายังเผชิญกับ “สงครามไร้สาระ” ระหว่างไทย-กัมพูชาในช่วงเวลาของการหาเสียงเลือกตั้ง ที่ว่าเป็นสงครามไร้สาระเพราะไม่ใช่สงครามที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาข้อพิพาทเรื่องพื้นที่ทับซ้อนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาได้จริง วิธีแก้ปัญหาต้องทำตามหลักสากลเท่านั้น คือการเจรจาระหว่างสองประเทศ หรือไม่ก็ไปศาลโลก การรบไม่ได้จบปัญหาได้ด้วยตัวมันเอง เพราะสุดท้ายก็ต้องกลับสู่การเจรจาอยู่ดี จึงเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่ชนชั้นนำสองประเทศส่งทหารชั้นผู้น้อยไปฆ่ากันตาย ประชาชนตามแนวชายแดนทั้งสองประเทศต้องอพยพหนีตาย ผู้คนตกงาน และเศรษฐกิจระหว่างประเทศเสียหายนับแสนล้าน ที่ว่ามา (เป็นต้น) คือตัวอย่างของโลกความเป็นจริงที่ไร้สาระที่เราหลีกหนีไม่พ้น มองแบบกามูส์นี่คือโลกไร้สาระที่เราต้องอยู่กับมัน และอยู่ให้ได้โดยที่ไม่ถูกความไร้สาระเหล่านั้นทำให้เราพ่ายแพ้หรือยอมจำนน ทว่าหลายๆ ครั้งที่เราท้อ แต่คนอยู่ในคุกอย่างอานนท์ นำภา และคนอื่นๆ กลับยังสื่อสารออกมาว่าเขายังสู้ และยังมีความหวังว่าสังคมเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ควรจะเป็น แต่ยิ่งนานวัน ผมเองยิ่งไม่แน่ใจว่าโลกความเป็นจริงที่ไร้สาระจะเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็นจริงหรือ เพราะผมนึกไม่ออกว่าถ้าเราไม่มีเสรีภาพที่จะพูดว่าเราต้องการมีชีวิตที่ดีตามความฝันของตนเองอย่างไร เราก็ไม่มีความเป็นคน แต่ในความเป็นคนของเรามีความเป็นสัตว์สังคม (social animal) และความเป็นสัตว์การเมือง (political animal) อยู่ด้วย ดังนั้นเราจึงต้องมีเสรีภาพที่จะพูดถึงสังคมและการเมืองที่ดีตามความใฝ่ฝันของตนได้ การเลือกตั้งจะมีความหมายอะไร ถ้าไม่นำไปสู่การปล่อยนักโทษทางความคิดที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการพูดถึงการมีชีวิตที่ดีในสังคมและการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นธรรมออกจากคุก แต่ช่างเถอะ ถึงไม่แน่ใจว่าโลกของความเป็นจริงที่ไร้สาระจะเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็น แต่เราก็ควรจะมีความหวังกับการเมืองที่สร้างความหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นในด้านต่างๆ ว่าสักวันหนึ่งจะกลายเป็นการเมืองที่ “มีหัวใจ” ไม่ปล่อยให้นักโทษทางความคิดถูกขังลืม เสมือนว่าพวกเขาไม่มีความเป็นคน! * บทความ * การเมือง * นักปรัชญาชายขอบ * พรรคประชาชน * เลือกตั้ง 69
dlvr.it
December 28, 2025 at 12:31 AM
สงครามกับความรุนแรงทางเพศ บทวิเคราะห์ผ่านมุมมองเฟมินิสต์
สงครามกับความรุนแรงทางเพศ บทวิเคราะห์ผ่านมุมมองเฟมินิสต์
สงครามกับความรุนแรงทางเพศ บทวิเคราะห์ผ่านมุมมองเฟมินิสต์ ดอกหญ้า   sarayut Sat, 2025-12-27 - 18:10 กว่าที่โลกจะได้ยินเสียงระเบิด ทุกครอบครัวในพื้นที่สงครามได้ยินเสียงหัวใจตัวเองแตกสลายไปก่อนแล้ว ไม่มีใครอยากตื่นมาพร้อมคำสั่งอพยพ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากอุ้มลูกวิ่งหนีระเบิดในรุ่งเช้า และไม่มีใครควรต้องออกจากบ้านโดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกหรือเปล่า แต่สงครามก็ยังเกิดขึ้น เพราะการตัดสินใจของคนไม่กี่คนที่เชื่อว่าอำนาจจากปลายกระบอกปืนสำคัญกว่าความปลอดภัยของประชาชน ทั้งที่ความจริงแล้ว ไม่มีอาวุธใดแก้ไขปัญหาที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ ผู้ชนะในสงครามมีเพียงบนโต๊ะเจรจา แต่ผู้แพ้คือผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับบาดแผลตลอดไป จากกรณีระหว่างไทย – กัมพูชา สงครามไม่ใช่เพียงการปะทะริมเส้นเขตแดนแต่มันคือการต่อสู้ของ “ชาตินิยม” ที่รัฐใช้เป็นเครื่องมือ คือการเล่นเกมอำนาจของผู้นำซึ่งไม่เคยอยู่ในหมู่บ้านที่ลูกระเบิดตกใส่  และนั่นคือการสร้าง “ศัตรู” เพื่อรวบรวมคะแนนนิยม และเป็นการผลักประชาชนธรรมดาให้เข้าไปอยู่ในความเสี่ยงที่พวกเขาไม่เคยเลือก ทุกครั้งที่การยิงปืนเริ่มขึ้นที่พรมแดน ผู้ที่เป็นข่าวคือรัฐมนตรีและผู้นำทหารชั้นผู้ใหญ่ แต่ผู้ที่ร้องไห้ในความมืดคือแม่ของทหารชั้นผู้น้อยที่เสียชีวิตในชายแดน คือผู้หญิงที่ต้องอุ้มลูกวิ่งหนีระเบิด คือภรรยาที่ไม่รู้ว่าสามีจะกลับมาไหม คือเด็กที่ต้องอยู่ในหลุ่มหลบภัยมากกว่าในห้องเรียน คือผู้สูงอายุที่ต้องเสียลูกหลาน พวกเขาเหล่านั้นคือผู้ที่ต้องเผชิญชะตากรรมที่สังคมไทยไม่อยากพูดถึง และนั่นจึงเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่าเรากำลังปกป้องดินแดน หรือกำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปทีละคน สงครามครั้งนี้ใครได้ ใครเสีย การพลัดถิ่นของประชาชนจำนวนมากและความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนพลเรือนหลายหมื่นคนต้องอพยพ และพื้นที่การเกษตรเกิดความสุญเสียทางรายได้อย่างหนัก ในทางตรงกันข้ามฝ่ายที่ได้ประโยชน์ระยะสั้นคือกลุ่มที่มีส่วนได้เสียจากการใช้กำลัง ทั้งกองทัพที่ขยายบทบาท และการเมืองเชิงชาตินิยมที่เสริมความชอบธรรมให้กับผู้นำบางกลุ่ม กลุ่มผู้ค้าอาวุธสงครามที่ได้รับผลประโยชน์จากการขายอาวุธ รวมถึงงบประมาณของกองทัพในการจัดซื้ออาวุธ หรือสวัสดิการจากภาครัฐในสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนผู้แพ้คือประชาชนชายขอบชนบท โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กที่ถูกทิ้งให้แบกรับภาระทั้งทางร่างกายและจิตใจ  การเมืองระหว่างประเทศในระดับท้องถิ่นอย่างไทย - กัมพูชา มักถูกขับเคลื่อนด้วยวาทกรรมชาตินิยมและการชิงอำนาจเชิงภูมิศาสตร์ ซึ่งผู้ได้รับผลประโยชน์คือผู้นำทางการเมืองที่สามารถใช้ความขัดแย้งเป็นเครื่องมือรวมศูนย์อำนาจหรือเบี่ยงความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ ในขณะเดียวกันการเผชิญหน้าทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นถูกชะงัก ไม่ว่าจะเป็นตลาด การท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร ล้วนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง คนหาเช้ากินค่ำยิ่งจนลง เป็นหนี้เพิ่มจากภาวะสงคราม และทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าสงครามไม่เคยพาความมั่นคงมาสู่ประชาชน แต่ส่งมอบความมั่งคั่งให้กลุ่มอำนาจที่เกี่ยวกับรัฐและทุนที่เกี่ยวข้องกับสงครามเท่านั้น  การตัดสินใจบนฐานอำนาจทางเพศ ระหว่างแพทองธารกับอนุทิน ในบริบทของการเมืองไทย เมื่อศึกษาการตัดสินใจแก้ไขความขัดแย้งผ่านกรอบแนวคิดเฟมินิสต์ เราจะเห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างผู้นำที่มีเพศกำหนดหญิงอย่าง แพทองธาร ชินวัตร กับผู้นำที่มีเพศกำหนดชายอย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล โดยเรามองว่าอำนาจไม่ใช่แค่การถือครองตำแหน่งรัฐ แต่เป็นโครงสร้างทางสังคมที่กำหนดใครได้รับการคุ้มครอง ใครถูกมองเป็นประเด็นรอง และภาษาที่ใช้ในการอธิบายปัญหาความขัดแย้งเป็นแบบใด ในกรณีของแพทองธาร การตัดสินใจมักสะท้อนการให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อพลเรือน โดยเฉพาะผู้หญิงและครอบครัว มากกว่าการแสดงอำนาจทางทหารหรือความเข้มแข็งของรัฐ เน้นการเจรจาเพื่อลดระดับความตึงเครียด  ขณะที่อนุทิน ในฐานะผู้นำที่มีเพศกำหนดชายและตัวแทนของระบบชายเป็นใหญ่ มักใช้ภาษาทางการเมืองแบบความมั่นคง(ตามแบบทหาร) อำนาจและศักดิ์ศรีของรัฐเป็นตัวกำหนดนโยบาย โดยมักให้ความสำคัญกับการปกป้องอธิปไตยและความเข้มแข็งของรัฐมากกว่าการคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิตพลเรือนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง โดยอ้างความมั่นคง เสียงของทหารและหน่วยงานความมั่นคงจึงถูกให้น้ำหนักสูง การแก้ไขปัญหาจึงมุ่งเน้นไปที่อาวุธไม่ใช่การเจรจา  เหตุการณ์นี้สะท้อนความท้าทายเชิงโครงสร้าง การเมืองไทยยังขาดการยอมรับพื้นที่ตัดสินใจของผู้มีเพศกำหนดหญิง ทั้งในเชิงนโยบายและตัวแทน ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักที่ทำให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของทุกเพศ ดังนั้น ภายใต้กรอบเฟมินิสต์ ความแตกต่างระหว่างแนวทางของผู้นำที่มีเพศกำหนดหญิงและผู้นำที่มีเพศกำหนดชายไม่ใช่เรื่อง “ลักษณะนิสัยส่วนบุคคล” แต่เป็นผลจากโครงสร้างทางเพศที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมและระบบการเมืองไทย ซึ่งทำให้เสียงของผู้หญิงในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งยังคงถูกมองข้าม และเป็นเหตุผลว่าทำไมการตัดสินใจเชิงนโยบายยังไม่อาจแก้ไขปัญหาความรุนแรงและความไม่เท่าเทียมได้อย่างทั่วถึงในสังคมปัจจุบัน   เผยแพร่ครั้งแรกใน: เฟสบุ๊ก เฟมินิสต์โขงชีมูน-เฟมปลาแดก * บทความ * การเมือง * วัฒนธรรม * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * สงคราม * ความรุนแรงทางเพศ * เฟมินิสต์ * ดอกหญ้า * เฟมินิสต์โขงชีมูน * เฟมปลาแดก * ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 27, 2025 at 11:22 AM
ชีวิตแบบ “ทิดดล” ผู้ไม่รู้เท่าทันโลกเพราะบวชนาน มีอยู่จริงหรือ?
ชีวิตแบบ “ทิดดล” ผู้ไม่รู้เท่าทันโลกเพราะบวชนาน มีอยู่จริงหรือ?
ชีวิตแบบ “ทิดดล” ผู้ไม่รู้เท่าทันโลกเพราะบวชนาน มีอยู่จริงหรือ? เจษฎา บัวบาล   sarayut Sat, 2025-12-27 - 17:02 เกริ่นนำ ซีรีส์ “สาธุ” ทั้ง 2 ภาค ได้นำเสนอเรื่องราวของชีวิตคนในวงการสงฆ์ได้ลึกมาก ซึ่งมีทั้งมุมของพระดีและพระไม่ดี รวมทั้งการต้องต่อรอง/ปรับตัวของพระเมื่อต้องอยู่กับชุมชน อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะยกตัวอย่างเรื่องราวของพระดลหรือทิดดล เพื่อเสนอว่า “เป็นชีวิตในจินตนาการของชาวพุทธ ที่มักมองว่าพระที่บวชมานานจะไร้เดียงสา ไม่รู้เท่าทันโลก” ทั้งที่จริงๆ แล้ว “ชีวิตพระไม่ได้แยกขาดจากชาวบ้าน และพระสายเรียนกับสายปฏิบัติก็ไม่ได้แยกจากกันขนาดนั้น” สาธุ เป็นซีรีส์ที่เก็บรายละเอียดได้ลึก ตั้งแต่ภาคแรก (2567) ที่เจ้าคณะอำเภอกับเลขาฯ (ซึ่งดูคล้ายกะเทย) อัดคลิปพูดบทกลอนลงโซเชียล “เมื่อมั่งมีมากมายมิตรหมายมอง” ซึ่งก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร เป็นกลอนที่ได้ฟังซ้ำๆ อยู่บ่อยครั้ง หนังได้สะท้อนให้เห็นว่าท่านดังได้เพราะสถานะพระ จุดพีคคือเมื่อพูดจบก็ปิดไม่เป็น ต้องให้พระเลขาฯ ช่วยกดให้ ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงของพระมีอายุที่พยายามใช้เทคโนโลยี ในภาคที่สอง (2568) หลวงพี่เอกชัยต้องมีคนคอยจัดการเรื่องภาพลักษณ์ มุมในการสัมภาษณ์ หาคนดังมาร่วมพิธีเพื่อโปรโมทวัดและสร้างบารมีให้ตัวเอง ฯลฯ อันนี้ก็ลึกมาก ผมเองที่บวชมา 18 ปีได้พบเหตุการณ์แบบนี้บ่อย เช่นเจ้าอาวาสบางรูปจะพยายามหาผู้ใหญ่/คนดัง มาเป็นเจ้าภาพ (หลายครั้งท่านต้องเข้าหาญาติโยมให้ช่วยติดต่อ บ้างก็ให้วัตถุ/เงินทอง เพื่อขอให้เขาช่วยดำเนินการให้) นั่นก็คือ การเป็นผู้มีชื่อเสียง/ผู้มีบารมีไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่มาจากการสร้างเรื่องราวและเครือข่าย บวชตั้งแต่เด็ก จึงไม่รู้เท่าทันโลก ? ชาวพุทธดูจะเชื่อวาทกรรมนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วก็เห็นอยู่ว่าคนที่สึกมาก็ยังใช้ชีวิตได้ปกติ เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักทิดที่บวชมานานแล้วได้เป็นครูบาอาจารย์หรือทำอาชีพค้าขาย พวกเขาก็ใช้ชีวิตปกติ บางคนใช้ฝีปากที่อบรมมาจากการเทศน์ (ที่ทำให้กล้าพูดในที่สาธารณะตั้งแต่เป็นเณร) ประกอบกิจการได้ร่ำรวย ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไปประหม่าหรือพูดไม่เก่งเท่าพระด้วยซ้ำ ตอนผมเรียน ป.โท ปีแรก มีเพื่อน 2 คนที่คุ้นเคยกัน คนหนึ่งเพิ่งสึกมาจากเณร (บวชเรียนตั้งแต่ ม.1-ม.6) เขาได้เกรดเยอะที่สุดในชั้นและทำธุรกิจขายของออนไลน์ เขายังรับงานเป็นล่ามแปลภาษา (ไทย-อังกฤษ) ในวันหยุดด้วย ขณะที่อีกคนไม่เคยบวชมาก่อน ใช้ชีวิตในทางโลกมาตลอด 22 ปี แต่เขาดูเชื่องช้า พูดไม่เก่ง เข้ากับคนไม่ค่อยได้ การเปรียบเทียบสองคนนี้ทำให้พวกเราในกลุ่มได้ข้อสรุปร่วมกันว่า “การจะทันคน/ทันโลก ไม่เกี่ยวกับการบวชหรือไม่บวช แต่อยู่ที่ความสนใจและนิสัยส่วนตัว” เพราะจริงๆ แล้วชีวิตในวัดไม่ได้ตัดขาดจากโลก แม้จะเป็นวัดป่า เราต้องไม่ลืมว่าวัดเป็น center ที่คนจะหมุนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งในสถานะพระที่อยู่ประจำและฆราวาสผู้มาทำบุญ คนที่อยู่วัดจะมีโอกาสพบคนได้หลากหลาย พระที่เข้ามาบวชแม้จะเป็นระยะสั้น เช่น 3 เดือนหรือ 1 สัปดาห์ จะกลายเป็นตัวเชื่อมคนในวัดกับคนข้างนอก ที่มีทั้งการบอกเล่าประสบการณ์และพาญาติพี่น้องเขามาสนิทสนมกับคนในวัดด้วย (นี่ยังไม่ต้องพูดถึงตอนที่พระมีโทรศัพท์/ใช้อินเตอร์เน็ตด้วยซ้ำ) คนที่อยู่บ้านและคลุกคลีแต่กับชุมชน/ญาติตัวเอง อาจโลกแคบกว่าคนอยู่ในวัดด้วย วัดไม่ได้ตัดขาดจากชุมชน แม้จะเป็นวัดป่า / พระป่า ก็ตัดขาดจากชาวบ้านไม่ได้ และนี่ก็กลายเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของพุทธเถรวาท ที่พระพุทธเจ้าออกแบบให้พระอาศัยชาวบ้านด้วยการบิณฑบาต พระเถรวาทจึงเก็บอาหารไว้กินหรือเปิดโรงครัวหุงข้าวกันเองไม่ได้ หรือจะอยู่ป่าปลูกมันเก็บผลไม้กินแบบฤษีก็ไม่ได้ (ในทางทฤษฎี) พระจึงต้องพึ่งชุมชน ต้องออกไปบิณฑบาตเห็นวิถีชาวบ้านทุกวัน หรือวัดทั่วๆ ไปที่มีการรับสังฆทาน รับฟังเรื่องราวความฝันที่เขาต้องมาทำบุญ รับฟังปัญหาที่เขาอยากมารดน้ำมนต์หรือดูดวงเพื่อให้เขาไปทำธุรกิจ ฯลฯ เป็นตัวอย่างที่บอกว่า พระไม่มีทางหลับตาจนไม่รู้เรื่องอะไรเลย วัดป่าของไทยที่แม้จะเคร่งจนพระไม่รับเงิน ก็จะมีโยมมาทำหน้าที่ดูแล พระก็จะคุ้นเคยกับครอบครัวคนดูแลวัด พระป่ายังทำงานก่อสร้าง เลื่อยไม้ ทำชั้นวางของ ต่อท่อประปา ซ่อมไฟเบื้องต้น ฯลฯ ได้ด้วย แม้ช่วงเวลาส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการปฏิบัติธรรม แต่ก็มีเวลาว่างเช่นช่วง 4 โมงเย็น ที่พระจะมารวมตัวกันทำงานบูรณะซ่อมแซม กวาดขยะ และได้อบสมุนไพร ดื่มน้ำปานะร่วมวงสนทนากัน การนำเสนอภาพว่าพระที่บวชนานหรืออยู่วัดป่าจะไร้เดียงสา ดูจะพบได้บ่อยจากทั้งคนในและคนนอก คนที่บวชมานานก็มักจะพูดแบบนี้ เช่น เพื่อนผมซึ่งบวชเณรมา 6 ปี แต่โรงเรียนของเราเน้นการเรียนสายสามัญ จึงไม่บังคับทำวัตรเช้า-เย็น ปกติคนที่ไปทำวัตรมีเพียง 3 คน คือ เจ้าอาวาส พระเลขาที่คอยดูแลท่าน และพระใหม่ที่บวชในช่วงนั้นๆ แต่ความน่าสนใจคือ เมื่อเพื่อนของผมสึกออกไป เขามักถ่ายรูปนั่งกินเบียร์เล่นกีต้าร์กับเพื่อน และโพสต์พร้อมกับข้อความว่า “ถ้าเราไม่สึก ตอนนี้คงสวดมนต์นั่งสมาธิอยู่สินะ” นั่นคือเขาได้สร้างภาพคนในวัดให้เป็นคู่ตรงข้ามกับคนข้างนอก ทั้งที่เขาก็รู้ดีว่าชีวิตในวัดเป็นอย่างไร จึงไม่แปลกที่คนข้างนอกเองก็ยังจะเชื่อแบบนั้น ขนาดคนที่เคยอยู่มาก็ยังจินตนาการสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมาใหม่ได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุผลเรื่อง “คนบวชมานานจะไร้เดียงสา ตามโลกไม่ทัน” มันมีประโยชน์มากในแง่ที่ปลอบประโลมใจให้เราสามารถให้อภัยพระได้เมื่อท่านทำผิด เช่น เอาเงินวัดไปให้สีกา แม้พฤติกรรมนี้เกิดได้ในชีวิตฆราวาสเช่น “เสี่ยเปย์ นศ.” แต่การเชื่อว่าท่านไร้เดียงสาทำให้เรามองว่า ท่านคงไม่ได้เจตนาร้ายแต่ท่านตกเป็นเหยื่อ วัดป่า : พื้นเป็นที่ที่ใช้สร้างความบริสุทธิ์ สังคมไทยมักแยกพระบ้านและพระป่าออกจากกัน มักมองว่าพระบ้านจะเน้นการเรียนและสร้างวัด รวมทั้งบริการชุมชน ขณะที่พระป่าเน้นการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมตามแบบครูบาอาจารย์ ซึ่งจริงๆ แล้วพระเรียนก็มักไปใช้ชีวิตช่วงปิดเทอมในวัดป่า ทำนองเดียวกัน พระป่าก็จะถูกขอให้ไปเรียนหรือส่งมาอยู่วัดบ้านเป็นระยะๆ ต้องไม่ลืมว่า คณะสงฆ์ไทยอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม ซึ่งมีการสอนและสอบนักธรรมประจำปี พระป่าเองก็ต้องเรียน/สอบนักธรรม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดในการประเมินผลงานในการรับ/เลื่อนตำแหน่งเจ้าอาวาสด้วย หลวงปู่มั่นและหลวงตามหาบัวเป็นตัวอย่างพระป่าที่ผ่านการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยมาก่อน แต่เมื่อมีภาพลักษณ์ของพระป่า ลูกศิษย์ก็พากันสรรเสริญว่าความรู้ทางธรรมที่ลึกซึ้งนั้นมาจากการปฏิบัติ ทั้งที่สิ่งที่ท่านสอนสอดรับกับสิ่งที่อยู่ในหลักสูตรนักธรรม (แม้จะมีปาฏิหาริย์บางอย่างเพิ่มมา แต่ก็คล้ายกันกับที่พบในหนังสือพุทธ/อนุพุทธประวัติ) กล่าวคือ ท่านใช้ชีวิตบางช่วงเพื่อศึกษาและบางช่วงเพื่อการปฏิบัติ พระธรรมทูตไทย (ธรรมยุต) ในอินโดนีเซียหลายรูปมาจากวัดป่า หลายคนเปลี่ยนจากการไม่จับเงินมารับเงิน ไม่เคยฉันข้าวหลังเที่ยงวันก็มาฉันช้าเช่นบ่ายโมงเพราะการเดินทาง ฯลฯ พวกท่านถูกขอให้มาเป็นธรรมทูต เพราะพระในสายธรรมยุตมีน้อย การสอบแข่งขันจึงน้อยกว่าของมหานิกาย และคนที่อยากมาสอบก็หายาก จากการสัมภาษณ์ บางรูปเล่าว่ารับคำสั่งเจ้าอาวาสมาด้วยเงื่อนไขว่าจะอยู่ต่างประเทศแค่ 5 ปี หลังจากนั้นจะกลับไปใช้ชีวิตวัดป่าตามเคย เขาเล่าด้วยว่า “แม้วันนี้ศีลจะไม่บริสุทธิ์ แต่เขาจะกลับไปชำระหรือเป็นพระดีอีกครั้งเมื่อกลับไปวัดป่า” (เจษฎา บัวบาล, 2567, น. 48) หากย้อนดูเรื่องการแต่งตั้งสังฆราชของไทยช่วงปี 2559-2560 ภาพลักษณ์ของพระบ้านและพระป่าก็ถูกเปรียบเทียบอย่างชัดเจน นั่นคือสมเด็จฝ่ายมหานิกายมีข่าวอื้อฉาวเรื่องสะสมรถหรู (บีบีซีไทย, 2559) ขณะที่สมเด็จฝ่ายธรรมยุต (แม้จะอยู่วัดในกรุงเทพฯ และมีสมณศักดิ์) แต่ก็มีภาพของผู้สันโดษ มีการนำเสนอว่าเป็นศิษย์สายพระป่า (มติชน, 2560) วัดป่าดูจะเป็นตัวแทนของพระที่ปฏิบัติจริง รักษาธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดและคู่ควรแก่การกราบไหว้มากกว่า ตรงกับเรื่องราวที่ซีรีส์ “สาธุ” นำเสนอ คือแม้จะมีเรื่องทางลบของพระจำนวนมาก แต่นั่นก็เป็นพระบ้าน ซีรีส์ได้เหลือที่ทางไว้ให้พระดีๆ ที่ดูไร้เดียงสา สนใจการปฏิบัติจริงๆ และจะใช้พุทธธรรมดำเนินชีวิตต่อไปแบบหลวงพี่ดลผู้อยู่สายป่า ซึ่งชีวิตที่ไม่เท่าทันโลกนี้มักออกมาในการผลิตซ้ำภาพของคนที่แม้สึกไปแล้วยังจะ ...      ใส่เสื้อสีขาว      ติดกระดุมจนถึงคอ      สะพายย่าม      พูดช้าๆ / พูดอ้อม      ถูกเพื่อนหลอก      และ .. พร้อมจะกลับมาบวชอีกเมื่อเจอปัญหาหนัก ทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่ใกล้เคียงกับความจริงได้มากที่สุดอาจเป็นข้อสุดท้าย แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ค่อยว่ากันอีกที   อ้างอิง เจษฎา บัวบาล. (2567). พุทธเเบบไทยในอินโดนีเซีย : พิธีกรรม อำนาจรัฐและปฏิสัมพันธ์กับคนต่างศาสนาของพระไทยผ่านการศึกษาทางมานุษยวิทยา. เข้าถึงจาก https://tinyurl.com/4ykhnx5t บีบีซีไทย. (2559). เส้นทางการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20. เข้าถึงจาก https://www.bbc.com/thai/thailand-38905450 มติชน. (2560). จริยวัตรงดงาม! ภาพถ่ายสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 สมัยจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี และวัดถ้ำขาม จ.สกลนคร. เข้าถึงจาก https://www.matichon.co.th/local/education/news_457334 ภาพจาก: Netflix * บทความ * การเมือง * วัฒนธรรม * เจษฎา บัวบาล * พุทธศาสนา * ภาพยนตร์ * สาธุ
dlvr.it
December 27, 2025 at 11:04 AM
10 ข่าวคอร์รัปชันแห่งปี 2568 ผลกระทบและสิ่งที่ควรไปต่อในปี 2569
10 ข่าวคอร์รัปชันแห่งปี 2568 ผลกระทบและสิ่งที่ควรไปต่อในปี 2569
10 ข่าวคอร์รัปชันแห่งปี 2568 ผลกระทบและสิ่งที่ควรไปต่อในปี 2569 auser15 Sat, 2025-12-27 - 15:52 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ชวนสังคมทบทวนผลกระทบจากการโกงกินแผ่นดินกันเป็น “เครือข่าย” ครอบคลุมทุกวงการผ่าน “10 ข่าวคอร์รัปชันแห่งปี 2568” จับตา “3 กรณีใหญ่ 6 เรื่องร้อน” ที่จ่อคิวรอพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมและหลักนิติรัฐไทย พร้อมฝากความหวังไว้กับ “เลือกตั้งใหม่” ทั้ง “อบต.-สส.” ใช้ 1 สิทธิ์ที่มีไม่เอาคนโกง 27 ธันวาคม 2568 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดยนายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรฯ ได้สื่อสารกับประชาชนผ่านช่องทาง https://www.facebook.com/share/p/1CtzWYJ1fi/ ว่า  ปี 2568 เป็นปีแห่งการ “โกงเป็นเครือข่าย” มีหลายเหตุการณ์ที่นักการเมืองและชนชั้นนำได้กระทำเรื่องผิดความคาดหวังของสังคมอย่างไม่เกรงกลัวใคร ไม่สนใจจริยธรรม ขณะที่ ส.ว. และกรรมการองค์กรอิสระฯ จำนวนมากกลายเป็นภาระของบ้านเมือง จนการต่อต้านคอร์รัปชันเป็นเรื่องยาก ฉุดรั้งนิติรัฐและสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ดังกรณี 10 ข่าวคอร์รัปชัน ต่อไปนี้ 1. อาคาร สตง. ถล่ม คอร์รัปชันที่ทำให้คนตายมากถึง 86 คน เสียหายกว่า 2 พันล้านบาท แต่ไม่ปรากฏตัวคนบงการและสาเหตุที่ตึกถล่มอย่างแท้จริง เพราะรายงานการสอบสวนอย่างเป็นทางการถูกปกปิดอยู่ในลิ้นชักของ ป.ป.ช. และรัฐบาล นำไปสู่การตั้งคำถามถึงมาตรฐานความปลอดภัยของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย และการประเมิน ITA โดย ป.ป.ช. ว่าเชื่อถือได้เพียงใด 2. วงการสงฆ์ เกิดวิกฤต “ศรัทธาและความไว้วางใจ” หลังปรากฏข่าวพระระดับเจ้าคุณหลายรูปโกงเงินวัด เฉพาะกรณีสีกากอล์ฟ มีมากถึง 13 ราย ในห้วงเวลา 3 ปีที่ตรวจสอบมีความเสียหายราว 385 ล้านบาท พฤติกรรมโกงเงินโกงศรัทธาสาธุชนยังถูกแฉต่อเนื่องถึงพระชื่อดังอื่น เช่น ข่าวพระอลงกต และอีก 181 ราย ที่ตำรวจสอบสวนกลางปูพรมไล่จับ 3. การยึดและอายัดทรัพย์ 3 เครือข่ายสแกมเมอร์กว่าหมื่นล้านบาท มีชื่อที่ถูกตั้งข้อสงสัยโดยรัฐบาล และ ป.ป.ง. คือ “ยิม เลียก - เบน สมิธ - ก๊ก อาน และ เฉิน จื้อ” แต่ที่สะกิดใจสังคมมากคือข่าวและภาพถ่ายของคนดังที่ปรากฏสู่สังคมต่อเนื่องว่าพวกเขาเกี่ยวข้องได้เสียกันขนาดไหน เรื่องนี้ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกันระหว่าง “ส่วยสินบนของตำรวจ นักการเมือง นักธุรกิจไทย กับเครือข่ายทุนเทาระดับโลก” ที่ครอบงำอำนาจรัฐ จนสร้างความเดือดร้อนแก่คนไทยถึง 115,300 ล้านบาทต่อปี ท่ามกลางกลไกตรวจสอบของรัฐที่อ่อนแอ เลือกปฏิบัติ เต็มไปด้วยความลับ แต่พร้อมจะเล่นงานใครก็ตามที่คิดจะเปิดโปง 4. รพ.ทหารผ่านศึก ถูกเปิดโปงการขบวนการทุจริตยาที่ทำมานาน 7 ปี มีหมอและผู้ร่วมขบวนการกว่า 20 คน สร้างความเสียหายราว 80 ล้านบาท ถูกเปิดโปงโดยหญิง “ผู้กล้า” ที่สละเวลาสองปีในการสืบสาวข้อมูล การทุจริตยายังถูกแฉซ้ำด้วยข่าวของหมอตำรวจหรือหมอแอร์ค้ายาเสียสาว และข่าวหมอทหารฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปลอมให้คนไข้ การคดโกงในโรงพยาบาลที่เกิดขึ้นทั่วไปมายาวนาน จนกระทบต่อคุณภาพการให้บริการระบบบัตรทองและ 30 บาทรักษาทุกโรค และโรงพยาบาลของรัฐจำนวนมากกำลังขาดเงินหมุนเวียน 5. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคนแรกที่ติดคุกจริง หลังติดคุกทิพย์เป็นเวลานานโดยอาศัย “ขบวนการบิดเบือนกฎหมายและความจริง” ด้วยนักการเมืองร่วมกับบางคนในกรมราชทัณฑ์และหมอในโรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งมีการพิสูจน์ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่นำไปสู่คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง การเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องและบิดเบือนการบังคับใช้กฎหมายครั้งนี้ ได้ทำลายความเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของไทยในสายตานานาชาติและสังคมไทย 6. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมพวกกว่า 200 นาย ถูกคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) มีมติชี้มูลความผิดทางวินัย ข้อหารับเงินจากขบวนการส่วยเว็บพนันออนไลน์ นับเป็นข่าวมัวหมองที่สุดของวงการตำรวจในรอบปี จนเกิดคำถามว่า “แล้วประชาชนจะพึ่งใคร?” เมื่อความไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรมสั่นคลอน ความมั่นใจในการใช้ชีวิตอย่างมั่นคง ปลอดภัยของผู้คนย่อมเสื่อมลงไปเช่นกัน 7. นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาผู้แทน ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพ้นจากตำแหน่ง เพราะ “ทำผิดรัฐธรรมนูญ” จากการเสนองบประมาณโครงการที่มีลักษณะเป็นการจัดงบ เพื่อลงพื้นที่ตัวเอง เข้าข่ายมีส่วนได้เสียในใช้งบประมาณมูลค่า 443 ล้านบาท ในปี 2568 พฤติกรรมเช่นนี้เป็นเรื่องปรกติของรัฐสภาไทย เพียงแต่ไม่ถูกเปิดเผยและเป็นคดี ทำให้งบประมาณกระจุกตัวในพื้นที่ของนักการเมืองบางคน สร้างความไม่เป็นธรรมแก่คนไทยทั้งประเทศ 8 สำนักงานประกันสังคม กับข่าวฉาวในการจัดทำปฏิทินปีละ 50 ล้านบาท ซื้อตึกเก่า 7 พันล้านบาท แพงกว่าราคาตลาดเท่าตัว จ้างทำแอปพลิเคชันแพงเว่อร์มูลค่า 850 ล้านบาท และที่ลืมไม่ได้คือ ความพยายามขาย “หุ้นบางจาก” ให้กับบริษัท ชาเตอร์ กรุ๊ป จนตกเป็นข่าวอื้อฉาว อย่าลืมว่า ความมั่นคงและทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของสำนักงานประกันสังคม คือหลักประกันในชีวิตและสุขภาพของประชาชนกว่า 24.8 ล้านคนที่ควักเงินจ่ายคนละ 750 บาทต่อเดือน 9. ห้องลับในเรือนจำ เพื่อบริการนักโทษ VVIP ตามบงการของ ผบ. เรือนจำ ข่าวนี้ตอกย้ำอีกครั้งว่าเรือนจำว่าแทบทุกแห่งเต็มไปด้วยการ “โกงเงินหลวง” และ “รับส่วยสินบนจากนักโทษ” เพื่อสิทธิพิเศษ ที่ใครๆ ก็รู้ แต่ผู้มีอำนาจต่างช่วยกันปฏิเสธตลอดมา เช่น เลื่อนชั้นนักโทษ ย้ายเข้าโรงพยาบาลทั้งที่ไม่ป่วยจริง ทุจริตค่าอาหาร การก่อสร้าง ฯลฯ 10. 3 ป. จับสด เจ้าหน้าที่รัฐเก็บส่วย/รับสินบน/รีดไถ/โกงหลวง ผลงานหลายสิบคดีที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงความละโมบไม่เกรงกลัวกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น จับนักการเมืองท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพลบุกรุกป่า พระชั้นผู้ใหญ่โกงเงินวัด เป็นต้น ดังนั้นการจับสดจึงเป็นก้าวใหม่ของความร่วมมือระหว่างตำรวจ ป.ป.ป., ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. ที่คนไทยขอปรบมือให้ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันยังกล่าวต่อไปว่า ตลอดปี 2568 ยังปรากฏข่าวที่น่าเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติว่าจะเดินต่อไปอย่างไร?  ประกอบด้วย เรื่องแรก การปล่อยผีสองคดีสินบนข้ามชาติ คือ คดีสวนปาล์มที่อินโดนีเซียและคดีสินบนโรลล์ รอยส์ ใน ปตท. อีกคดีดังคือคดีฮั้วประมูลสร้างโรงพักทั่วประเทศ 6 พันล้านบาท ทั้งหมดนี้เอาผิดผู้บงการไม่ได้เลย เรื่องที่สอง ศึกเขากระโดงและคดีฮั้ว ส.ว. เป็นพฤติกรรมชัดแจ้งในการใช้อำนาจของหน่วยงานรัฐและข้าราชการ มาเป็นเครื่องต่อรอง ทำลายล้างทางการเมือง จนหลักนิติรัฐของไทยตกต่ำ เรื่องที่สาม ความพยายามแก้สัญญาสัมปทานร้านค้าดิวตี้ฟรี และสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นเรื่องน่ากังขาว่า อะไรสำคัญกว่ากันระหว่างผลประโยชน์ของชาติกับผลประโยชน์ทางธุรกิจของพวกพ้อง กฎหมายและธรรมาภิบาลในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐคืออะไรกันแน่ ทั้งสองโครงการจะเป็นเครื่องพิสูจน์ศักดิ์ศรีของไทยในสายตานานาชาติ ปิดท้ายด้วยข่าวการเมืองการเลือกตั้งในรอบปี เริ่มจากวาทะดังออกสื่อของผู้ชนะเลือกตั้งเทศบาลธัญญบุรี ว่า “ชาวบ้านชอบกินหญ้าหวาน” อย่างไม่ละอายใจน่าอดสูอย่างยิ่ง และอีกปรากฏการณ์ที่ต้องจับตาว่า คนไทยตื่นตัวเพียงใดในการเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไปที่จะมาถึงนี้ คือเราจะต่อต้านพวกใช้เงินสกปรกจากธุรกิจผิดกฎหมายและทุนเทา มาซื้อเสียง ซื้อตัวนักการเมือง ได้อย่างไร? หากหยุดไม่ได้คนโกงจะแปลงร่างเป็นนักการเมืองเข้าปกครองประเทศอย่างแน่นอน “ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า ข่าวการยึดและอายัดทรัพย์ 3 เครือข่ายสแกมเมอร์กว่าหมื่นล้านบาท ของวงการธุรกิจผิดกฎหมายพวกฟอกเงินนั้นได้สร้างผลกระทบต่อสังคมในระดับโครงสร้าง เพราะเข้าไปเชื่อมต่อผลประโยชน์กับคนหลากหลายกลุ่ม และเอื้อประโยชน์ให้เกิดทุนเทาเข้าไปบั่นทอนกลไกการเมืองและไหลลามต่อกลไกเศรษฐกิจ ท้ายที่สุดย่อมส่งผลต่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน”  นายมานะกล่าวและว่า ในการเลือกตั้ง อบต. วันที่ 11 มกราคม และเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วประเทศ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ขอให้คนไทยมาทำให้ 1 สิทธิ์ที่มีเป็น “1 สิทธิ์พลิกชีวิตมหาศาล” เลือกคนเก่ง คนดี เข้ามาทำงานรับใช้บ้านเมือง หยุดเลือกตั้งแบบเดิมๆ ที่กาให้คนซื้อเสียง คนของบ้านใหญ่นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล คนที่มีประวัติคดโกงทำมาหากินผิดกฎหมาย * ข่าว * การเมือง * องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน * ACT
dlvr.it
December 27, 2025 at 8:59 AM
บ้านสมเด็จโพลสำรวจความเห็นคน กทม. ส่วนใหญ่เลือก 'พรรคประชาชน'
บ้านสมเด็จโพลสำรวจความเห็นคน กทม. ส่วนใหญ่เลือก 'พรรคประชาชน'
บ้านสมเด็จโพลสำรวจความเห็นคน กทม. ส่วนใหญ่เลือก 'พรรคประชาชน' auser15 Sat, 2025-12-27 - 15:33 บ้านสมเด็จโพล สำรวจความเห็นคน กทม. 1,145 คน ระบุ สส.แบบแบ่งเขต จะเลือก 'พรรคประชาชน' 35.2% ยังไม่ตัดสินใจ 24.1% 'พรรคภูมิใจไทย' 14.9% สส.แบบแบบบัญชีรายชื่อ 'พรรคประชาชน' 35.2% ยังไม่ตัดสินใจ 24.3% 'พรรคภูมิใจไทย' 14.9% 27 ธันวาคม 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ก่อนการรับสมัคร) โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยมีการกระจายการเก็บข้อมูลในกลุ่มเขตชั้นใน กลุ่มเขตชั้นกลาง กลุ่มเขตชั้นนอก จำนวนทั้งสิ้น 1,145 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 23 – 26 ธันวาคม 2568  ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่าประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ก่อนการรับสมัคร) เนื่องจากภายหลังมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 และคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เวลา 08.00 – 17.00 น. เป็น วันเลือกตั้ง โดยระหว่างวันที่ 27 – 31 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. เป็นวันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งกำหนด และระหว่างวันที่ 28 – 30 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. และ วันที่ 31 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.00 น. วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองมีมติจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิดในการเตรียมตัวในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และความนิยมของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พรรคการเมือง และการเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ก่อนการรับสมัคร) โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะออกไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ร้อยละ 67.8 และคิดว่าจะตัดสินใจในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรทั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมืองเดียวกันร้อยละ 55.2 ปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ในการเลือกตั้งครั้งนี้มากที่สุด อันดับแรกคือ นโยบายของพรรคการเมือง ร้อยละ 27.5 อันดับสองคือ ตัวผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ร้อยละ 26.3 อันดับสามคือ พรรคการเมือง ร้อยละ 19.9 อันดับสี่คือ ไม่แน่ใจ / ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 16.1 และอันดับห้าคือ การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 10.2 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ อยากได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรแบบแบ่งเขต ที่มีคุณสมบัติ อันดับแรกคือ ผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 30.2 อันดับสองคือ ผู้ที่มีความเสียสละเพื่อสังคม ทำงานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 24.9 อันดับสามคือ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่และทำงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 17.1 อันดับสี่คือ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีประวัติการศึกษาและการทำงานอย่างมากมาย ร้อยละ 13.4 และอันดับห้าคือ ผู้ที่เป็นลูกหลาน ตระกูลนักการเมือง ร้อยละ 6.3 และอยากได้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรแบบบัญชีรายชื่อ ที่มีคุณสมบัติ อันดับแรกคือ ผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 40.6 อันดับสองคือ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีประวัติการศึกษาและการทำงานอย่างมากมาย ร้อยละ 19.9 อันดับสามคือ ผู้ที่มีความเสียสละเพื่อสังคม ทำงานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 13.1 อันดับสี่คือ ผู้ที่เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ ร้อยละ 8.6 และอันดับห้าคือ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่และทำงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 7.2 ในส่วนของนโยบายที่อยากให้พรรคการเมืองให้ความสำคัญ อันดับแรกคือ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 24.7 อันดับสองคือ ด้านเศรษฐกิจและการส่งเสริมอาชีพ ร้อยละ 22.9 อันดับสามคือ ด้านการศึกษาและคุณภาพชีวิต ร้อยละ 19.5 อันดับสี่คือ ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 10.3 และอันดับห้าคือ ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 8.2 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ตัดสินใจเลือกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรแบบแบ่งเขต จากพรรคการเมือง อันดับแรกคือ พรรคประชาชน ร้อยละ 35.2 อันดับสองคือ ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 24.1 อันดับสามคือ พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 14.9 อันดับสี่คือ พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 7.6 อันดับห้าคือ พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 5.1 อันดับหกคือ พรรคกล้าธรรม ร้อยละ 4.5 อันดับเจ็ดคือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 2.8 อันดับแปดคือ พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.9 อันดับเก้าคือ พรรคไทยก้าวใหม่ ร้อยละ 1.7 และอันดับสิบคือ พรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 0.6 และตัดสินใจเลือกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรแบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมือง อันดับแรกคือ พรรคประชาชน ร้อยละ 35.2 อันดับสองคือ ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 24.3 อันดับสามคือ พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 14.9 อันดับสี่คือ พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 7.5 อันดับห้าคือ พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 5.1 อันดับหกคือ พรรคกล้าธรรม ร้อยละ 4.5 อันดับเจ็ดคือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 2.8 อันดับแปดคือ พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.9 อันดับเก้าคือ พรรคไทยก้าวใหม่ ร้อยละ 1.7 และอันดับสิบคือ พรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 0.6 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คิดว่าบุคคลใดเหมาะสมกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากที่สุด  อันดับแรกคือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 31.9 อันดับสองคือ ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 25.9 อันดับสามคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 16.9 อันดับสี่คือ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ร้อยละ 6.4 อันดับห้าคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 5.7 อันดับหกคือ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ร้อยละ 5.5 อันดับเจ็ดคือ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ร้อยละ 2.7 อันดับแปดคือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ร้อยละ 2 อันดับเก้าคือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ร้อยละ 1.5 และอันดับสิบคือ พลเอก รังษี กิติญาณทรัพย์ ร้อยละ 1.5 * ข่าว * การเมือง * โพล * บ้านสมเด็จโพล * การเลือกตั้ง 2569
dlvr.it
December 27, 2025 at 8:36 AM